
ติดต่อเรา โทร. 085-9604258
(อ่าน)คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1174/2568 เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทเรื่องหนี้ที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตและสินเชื่อเงินสด โดยจำเลยอ้างว่าเป็นหนี้บัตรเครดิตซึ่งมีกำหนดอายุความ 2 ปี แต่โจทก์ยืนยันว่าเป็นหนี้เงินกู้ผ่อนชำระรายเดือนซึ่งต้องใช้อายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 (2) ศาลฎีกาพิจารณาข้อเท็จจริงว่า จำเลยสมัครขอสินเชื่อเงินสดและมีการกำหนดให้ผ่อนชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นงวด ๆ จึงเข้าลักษณะหนี้เงินกู้ ไม่ใช่หนี้บัตรเครดิต แม้โจทก์อ้างว่ามีการชำระหนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2560 อันอาจทำให้อายุความสะดุดหยุดลง แต่พยานหลักฐานยังมีข้อสงสัยและไม่อาจรับฟังได้ ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่าการฟ้องร้องเมื่อปี 2564 เกิน 5 ปีนับจากการผิดนัดครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2558 ทำให้คดีนี้ขาดอายุความและมีคำพิพากษายกฟ้อง
(อ่าน)คำพิพากษาฎีกา 2140/2568 จำเลยถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดตาม ป.อ. มาตรา 149, 151, 157 และกฎหมาย ป.ป.ช. เหตุเกิดปี 2555 ป.ป.ช. ไต่สวนปี 2560 และมีมติปี 2564 ศาลชั้นต้นยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษา จำเลยฎีกา อ้างว่าเกินเวลาตามมาตรา 48 ศาลฎีกาย้ำว่า มาตรา 48 เป็นกรอบเวลา ไม่ใช่อายุความ คดีนี้ยังไม่พ้น 15–20 ปี ป.ป.ช. มีอำนาจฟ้อง ศาลพิพากษายืน
(อ่าน)คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1685/2568 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้การวางเงินชำระค่าที่ดินตามสัญญาประนีประนอมถือเป็นการบังคับคดีโดยวิธีอื่นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 276 แต่ก็ต้องกระทำภายในอายุความ 10 ปีตามมาตรา 274 คดีนี้ครบกำหนดวันที่ 15 มกราคม 2566 แต่โจทก์วางเงินปลายกุมภาพันธ์ 2566 เกินกำหนด สิทธิบังคับคดีจึงขาดไป
(อ่าน)คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1856/2568 โจทก์ฟ้องหน่วยงานของรัฐให้รับผิดตามมาตรา 5 พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ซึ่งไม่กำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ ศาลจึงให้นำมาตรา 193/30 ป.พ.พ. กำหนดอายุความ 10 ปี และให้นับตั้งแต่วันที่คดีอาญาถึงที่สุดตามมาตรา 193/12 ส่วนการยึดรถยนต์เป็นของกลางเป็นไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 85 วรรคสาม ซึ่งเจ้าพนักงานมีอำนาจยึดจนกว่าคดีจะสิ้นสุด เมื่อคดีถึงที่สุดวันที่ 23 ธันวาคม 2563 โจทก์ยื่นฟ้องวันที่ 16 เมษายน 2564 ยังอยู่ในกำหนดอายุความ คดีจึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3329/2567 บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้เกี่ยวข้องกับการชำระหนี้เงินกู้ที่กำหนดเป็นงวดและการนับอายุความ ศาลวางหลักว่า หนี้แต่ละงวดต้องนับอายุความแยกกัน ไม่หมดอายุความพร้อมกัน อีกทั้งหนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยลงนามยังมีผลผูกพัน เนื่องจากพยานหลักฐานของโจทก์น่าเชื่อถือมากกว่า
สรุปข้อเท็จจริง • โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ 825,000 บาท • ศาลชั้นต้นยกฟ้อง • ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ชำระ 390,000 บาท • จำเลยฎีกา อ้างว่าคดีขาดอายุความและเอกสารปลอม
คำวินิจฉัยศาลฎีกา 1. อายุความ • หนี้งวดแต่ละงวดมีอายุความ 5 ปีแยกกัน (ป.พ.พ. มาตรา 193/30) • งวดก่อนปี 2560 ขาดอายุความแล้ว แต่หนี้ตั้งแต่มกราคม 2560–7 ม.ค. 2565 ยังไม่ขาด 2. หนังสือรับสภาพหนี้ • จำเลยลงชื่อจริง แม้อ้างว่าเป็นเอกสารเปล่า • ศาลเห็นว่าข้ออ้างไม่น่าเชื่อถือ เพราะโจทก์มีพยานบุคคลและเอกสารยืนยันชัด
ขยายประเด็นทางกฎหมาย • อายุความหนี้งวด: แต่ละงวดครบกำหนดต่างกัน ต้องนับอายุความแยก ไม่ถือรวมทั้งหมด • หนังสือรับสภาพหนี้: หากลูกหนี้ลงชื่อ จะทำให้อายุความเริ่มนับใหม่ (ป.พ.พ. มาตรา 193/12)
ข้อคิดทางกฎหมาย • หนี้งวดต้องนับอายุความแยก ไม่หมดสิทธิเรียกร้องพร้อมกัน • หนังสือรับสภาพหนี้เป็นหลักฐานสำคัญ ตัดข้ออ้างเรื่องอายุความได้ • ลูกหนี้ควรตรวจสอบเอกสารก่อนลงนามทุกครั้ง
IRAC Issue: หนี้งวดหมดอายุความพร้อมกันหรือไม่ และหนังสือรับสภาพหนี้มีผลหรือไม่ Rule: มาตรา 193/30 และ 193/12 ป.พ.พ. Application: หนี้งวดก่อนปี 2560 ขาดอายุความ แต่หนี้หลังปี 2560 ยังฟ้องได้ เอกสารรับสภาพหนี้มีผล Conclusion: จำเลยยังต้องรับผิดตามหนี้ ศาลฎีกาพิพากษายืน
English Summary
Supreme Court Decision No. 3329/2024 clarified that each debt installment has a separate five-year limitation period. Earlier installments had expired, but later ones remained enforceable. The Court also confirmed the validity of the debtor’s signed acknowledgment, finding the creditor’s evidence more convincing.
บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้เกี่ยวข้องกับการฟ้องเรียกหนี้ค่ารักษาพยาบาล เมื่อบุตรลงชื่อรับผิดแทนมารดาที่เข้ารับการรักษา ศาลเห็นว่าถือเป็นการรับผิดในฐานะลูกหนี้ชั้นต้น สิทธิเรียกร้องของโรงพยาบาลจึงมีอายุความ 2 ปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (11) แต่การฟ้องเกินกำหนดทำให้คดีขาดอายุความ
ข้อเท็จจริงโดยย่อ • ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในปี 2556 ค่ารักษาพยาบาลกว่า 1.4 ล้านบาท • จำเลยลงชื่อรับผิดชอบ และชำระไปแล้ว 700,000 บาท เหลือหนี้ 478,852.45 บาท • โรงพยาบาลออกใบแจ้งหนี้ 22 ก.ย. 2556 • โจทก์ฟ้อง 28 ก.ย. 2564 เกิน 2 ปี
คำวินิจฉัย • การลงชื่อคือการรับผิดเป็น ลูกหนี้โดยตรง ไม่ใช่ผู้ค้ำประกัน • สิทธิเรียกร้องตาม มาตรา 193/34 (11) มีอายุความ 2 ปี • การฟ้องเกินกำหนดจึง ขาดอายุความ • ศาลฎีกาพิพากษายืนยกฟ้อง
วิเคราะห์ประเด็นกฎหมาย 1. ฐานะของจำเลย – ลงชื่อรับผิดผูกพันในฐานะลูกหนี้ ไม่ใช่เพียงผู้ค้ำประกัน 2. อายุความ – สิทธิเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลต้องฟ้องภายใน 2 ปีนับจากวันออกใบแจ้งหนี้ 3. ผลของการฟ้องล่าช้า – แม้มีหนี้จริง แต่เมื่อฟ้องเกินกำหนด สิทธิบังคับตามกฎหมายย่อมสิ้นไป
ข้อคิดทางกฎหมาย • ผู้ที่ลงชื่อรับผิดค่ารักษาพยาบาลถือเป็นลูกหนี้โดยตรง • โรงพยาบาลควรฟ้องร้องภายใน 2 ปี ไม่เช่นนั้นสิทธิเรียกร้องจะหมดไป • คดีนี้ตอกย้ำความสำคัญของหลักอายุความในกฎหมายแพ่ง
IRAC (สรุปสั้น) • Issue: ฟ้องเรียกหนี้ค่ารักษาพยาบาลเกิน 2 ปี ขาดอายุความหรือไม่ • Rule: ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (11) กำหนดอายุความ 2 ปี • Application: จำเลยเป็นลูกหนี้โดยตรง แต่โจทก์ฟ้องช้าเกินกำหนด • Conclusion: คดีขาดอายุความ ศาลฎีกายืนยกฟ้อง
English Summary The Supreme Court Decision No. 3376/2024 ruled that signing as responsible for medical expenses makes the defendant a primary debtor. Hospital claims prescribe in two years under Section 193/34 (11). Since the case was filed late, the claim was time-barred and dismissed.
ตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/9 ที่บัญญัติว่า “สิทธิเรียกร้องใดๆ ถ้ามิได้บังคับภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด สิทธิเรียกร้องนั้นเป็นอันขาดอายุความ” และมาตรา 193/10 “สิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความ ลูกหนี้มีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้” อายุความเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเนื่องจากมีผลกระทบถึงสิทธิในการดำเนินคดีในทางกฎหมายไม่ว่าในทางคดีแพ่ง หรือในคดีอาญา โดยในทางแพ่งหากเจ้าหนี้ไม่ใช้สิทธิเรียกร้องภายในกำหนดอายุความ ลูกหนี้ย่อมปฏิเสธการชำระหนี้ได้ ส่วนในทางอาญาถ้าไม่ได้ตัวผู้กระทำความผิดมาฟ้องภายในกำหนดอายุความสิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับ ย่อมไม่อาจนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้ ด้วยความสำคัญดังที่กล่าวมานั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจในเรื่องนี้ให้ชัดเจน โดยต้องเข้าใจคำว่า "อายุความ" หมายความว่าอย่างไร ทำไมต้องกำหนดอายุความไว้ด้วย ในแต่ละคดีมีกรณีแตกต่างกันอย่างไร และอายุคววามจะมีผลกระทบกับสิทธิและหน้าที่ในทางกฎหมายอย่างไร ความหมายเรื่องอายุความ เรื่องอายุความนั้นโดยสรุปแล้วก็คือระยะเวลาที่กฎหมายในทางสารบัญญัติกำหนดให้ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง มิฉะนั้นจะเกิดความเสียหายแก่สิทธิของผู้นั้นหรือทำให้ไม่อาจดำเนินการเพื่อให้บรรลุผลตามที่กฎหมายมุ่งประสงค์ซึ่งสามารถพิจารณาได้ดังนี้คือ 1. ในทางแพ่ง อายุความคือระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดให้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลหรือระยะเวลาที่กฎหมายบังคับผู้ทรงสิทธิเรียกร้องให้ต้องฟ้องคดีต่อศาล หากไม่ดำเนินการตามที่กำหนดอาจจะเกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิได้ คือมีผลให้ "สิทธิเรียกร้องขาดอายุความ" มาตรา 193/9 ที่บัญญัติว่า “สิทธิเรียกร้องใดๆ ถ้ามิได้บังคับภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด สิทธิเรียกร้องนั้นเป็นอันขาดอายุความ” และยังหมายรวมถึงระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ให้ผู้ที่ดำเนินการตามเงื่อนไขจนครบระยะเวลาดังกล่าวได้สิทธิอย่างใดอย่างหนึ่งด้วย สำหรับอายุความในทางแพ่งนั้นมีได้ 2 ประเภทกล่าวคือ "อายุความเสียสิทธิ" และ "อายุความได้สิทธิ" อายุความเสียสิทธิ คืออายุความที่กฎหมาย กำหนดให้ผู้ทรงสิทธิบังคับใช้สิทธิ เรียกร้อง หากไม่ดำเนินการภายในกำหนดเช่นนั้นจะทำให้เกิดผลเสียหายแก่ผู้ทรงสิทธิได้หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าเป็นกำหนดเวลาที่ทำให้สิทธิเรียกร้องขาดสิทธิฟ้องร้องโดยต้องเข้าใจว่าอายุความเสียสิทธินี้คือสิทธิเรียกร้องที่ต้องยื่นฟ้องคดีต่อศาล ไม่ใช่ระยะเวลาที่กำหนดไว้ให้เรียกร้องทวงหนี้ แก่ลูกหนี้แต่อย่างใด เช่นสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย อันเกิดแต่มูลละเมิดมีกำหนดอายุความ 1 ปีนับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้ที่จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือ 10 ปีนับแต่วันทำละเมิด มาตรา 448 วรรคหนึ่ง ผู้ต้องเสียหายซึ่งเป็นเจ้าหนี้ต้องฟ้องร้องลูกหนี้ต่อศาลภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว มิฉะนั้นสิทธเรียกร้องย่อมเป็นอันขาดอายุความ และกรณีที่คดีขาดอายุความหากลูกหนี้ยกเรื่องอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ตัดฟ้องซึ่งเรื่องคดีขาดอายุความหรือ ไม่ ในทางแพ่งไม่ใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลยกขึ้นพิจารณาเองไม่ได้ ถ้าคดีขาดอายุความศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้อง มาตรา 448 สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดนั้น ท่านว่าขาดอายุความเมื่อพ้นปีหนึ่งนับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่วันทำละเมิด
|
หน้า 1/1 1 | [Go to top] |