
(ฎีกา 2140/2568)คดีทุจริต ป.ป.ช. & อายุความ ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับคดีทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งศาลต้องวินิจฉัยว่า การไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่เกิน 2–3 ปีตามมาตรา 48 พ.ร.บ.ป.ป.ช. 2561 จะทำให้หมดอำนาจฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า บทบัญญัติดังกล่าวกำหนดเพียงกรอบเวลาเชิงบริหาร มิใช่อายุความตามกฎหมายอาญา เมื่อยังอยู่ในอายุความ 15–20 ปีตามมาตรา 95 ป.อ. การฟ้องคดีจึงชอบด้วยกฎหมาย
ข้อเท็จจริงของคดี 1. จำเลยถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ระหว่างวันที่ 26 มีนาคม – กันยายน 2555 2. คณะกรรมการ ป.ป.ช. เริ่มไต่สวนเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2560 และมีมติชี้มูลความผิดวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 3. ข้อหาตามฟ้อง ได้แก่ o ป.อ. มาตรา 149, 151, 157 o พ.ร.บ.ป.ป.ช. 2542 มาตรา 123/1 o พ.ร.บ.ป.ป.ช. 2561 มาตรา 172 4. ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง 5. ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ย้อนคดีกลับไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยความผิด 6. จำเลยฎีกา โดยอ้างว่า ป.ป.ช. ขาดอำนาจฟ้องเนื่องจากเกินระยะเวลาไต่สวน
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา • มาตรา 48 พ.ร.บ.ป.ป.ช. 2561 กำหนดเพียงกรอบเวลาในการทำงานของ ป.ป.ช. (2–3 ปี) เพื่อให้การไต่สวนมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่ “อายุความ” • วรรคห้าของมาตรา 48 ระบุชัดว่า แม้พ้นกำหนดเวลาดังกล่าว ป.ป.ช. ยังคงมีอำนาจไต่สวนและมีมติชี้มูลได้ • อายุความที่แท้จริงต้องอ้างตาม ป.อ. มาตรา 95 (1) และ (2) ซึ่งคดีนี้มีอายุความ 20 ปี และ 15 ปี • เนื่องจาก ป.ป.ช. เริ่มไต่สวนและมีมติภายในกำหนดอายุความทางอาญา จึงชอบด้วยกฎหมาย • ศาลฎีกายืนยันว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง และพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์
การวิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย 1. ความหมายของมาตรา 48 พ.ร.บ.ป.ป.ช. • เป็น “กรอบเวลาเชิงบริหาร” เพื่อเร่งรัดการทำงาน ไม่ใช่เงื่อนไขการหมดอำนาจฟ้อง • หาก ป.ป.ช. ล่าช้า อาจถูกสอบสวนทางวินัย แต่ไม่ทำให้คดีสิ้นสุด 2. อายุความคดีทุจริต • มาตรา 95 ป.อ. (1) และ (2) กำหนดอายุความ 20 ปี และ 15 ปี ขึ้นอยู่กับโทษสูงสุดของคดี • การไต่สวนในคดีนี้ยังอยู่ภายในกรอบอายุความ 3. อำนาจฟ้องของโจทก์ • การฟ้องเป็นสิทธิของโจทก์ตามขั้นตอนกฎหมายอาญา เมื่อคดีไม่ขาดอายุความ • การตีความเช่นนี้ทำให้ไม่เกิดช่องว่างให้จำเลยพ้นผิดเพราะความล่าช้าทางธุรการ
IRAC Analysis Issue (ประเด็น) การไต่สวนของ ป.ป.ช. ที่เกิน 2–3 ปีตามมาตรา 48 พ.ร.บ.ป.ป.ช. 2561 ทำให้หมดอำนาจฟ้องหรือไม่ Rule (กฎหมายที่ใช้บังคับ) • พ.ร.บ.ป.ป.ช. 2561 มาตรา 48 • ป.อ. มาตรา 95 (1), (2) • ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 149, 151, 157 Application (การปรับใช้) มาตรา 48 กำหนดเพียงระยะเวลาเชิงบริหาร มิได้ตัดอำนาจของ ป.ป.ช. เมื่อวินิจฉัยว่าคดีนี้ยังอยู่ในอายุความ 15–20 ปีตาม ป.อ. ป.ป.ช. จึงมีอำนาจไต่สวนและชี้มูล จำเลยไม่อาจอ้างเหตุหมดอำนาจฟ้องได้ Conclusion (ข้อสรุป) การฟ้องของโจทก์เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์
ข้อคิดทางกฎหมาย • กำหนดเวลาตามมาตรา 48 พ.ร.บ.ป.ป.ช. 2561 มีวัตถุประสงค์เพียงกำกับการทำงานของ ป.ป.ช. มิใช่อายุความ • อายุความในคดีทุจริตต้องอ้างอิงจากประมวลกฎหมายอาญาเท่านั้น • คดีนี้ยืนยันหลักว่า แม้การไต่สวนล่าช้า แต่หากยังไม่พ้นอายุความ โจทก์ยังมีสิทธิฟ้อง
English Summary The Supreme Court Decision No. 2140/2025 concerns corruption charges against a public official. The key issue was whether the NACC lost its power to prosecute because its inquiry exceeded the 2–3 year timeframe under Section 48 of the Organic Act on Anti-Corruption B.E. 2561. The Court ruled that this provision sets only administrative guidelines, not a statute of limitations. Since the case remained within the 15–20 year criminal limitation under Section 95 of the Penal Code, the prosecution was valid. The Supreme Court upheld the appellate decision. สรุปความภาษาไทย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2140/2568 เกี่ยวข้องกับคดีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานทุจริต โดยประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สิ้นอำนาจในการฟ้องหรือไม่ เนื่องจากการไต่สวนเกินกำหนดเวลา 2–3 ปี ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า บทบัญญัติดังกล่าวมีลักษณะเป็นเพียงแนวทางการปฏิบัติทางธุรการ มิใช่บทบัญญัติว่าด้วยอายุความ เมื่อคดียังอยู่ภายในอายุความทางอาญา 15–20 ปี ตามมาตรา 95 แห่งประมวลกฎหมายอาญา การฟ้องร้องจึงชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ 📌 15 คำศัพท์กฎหมายที่น่าสนใจ 1. corruption charges – ข้อหาทุจริต 2. public official – เจ้าหน้าที่ของรัฐ 3. key issue – ประเด็นสำคัญ 4. power to prosecute – อำนาจในการฟ้องคดีอาญา 5. inquiry – การไต่สวน 6. timeframe – ระยะเวลาที่กำหนด 7. Section 48 of the Organic Act – มาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ 8. provision – บทบัญญัติแห่งกฎหมาย 9. administrative guidelines – แนวทางทางธุรการ 10. statute of limitations – อายุความ 11. criminal limitation – อายุความทางอาญา 12. Section 95 of the Penal Code – มาตรา 95 แห่งประมวลกฎหมายอาญา 13. prosecution – การฟ้องร้องดำเนินคดี 14. upheld – พิพากษายืน 15. appellate decision – คำพิพากษาศาลอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2140/2568 แม้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 48 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า เมื่อความปรากฏต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ว่าจะมีการกล่าวหาหรือไม่ว่ามีการกระทำความผิดที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจโดยพลัน โดยในกรณีที่จำเป็นต้องมีการไต่สวน ต้องไต่สวนและมีความเห็นหรือวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนด ซึ่งต้องไม่เกินสองปีนับแต่วันเริ่มดำเนินการไต่สวน และวรรคสาม บัญญัติว่า ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นอันไม่อาจดำเนินการให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง คณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจขยายระยะเวลาออกไปตามที่จำเป็นได้ แต่รวมแล้วต้องไม่เกินสามปี เว้นแต่เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องเดินทางไปไต่สวนในต่างประเทศ หรือขอให้หน่วยงานของต่างประเทศดำเนินการไต่สวนให้ หรือขอรับเอกสารหลักฐานจากต่างประเทศ จะขยายระยะเวลาออกเท่าที่จำเป็นก็ได้ ซึ่งนำมาใช้บังคับแก่คดีนี้ บ่งชี้ให้เห็นว่าบทบัญญัติดังกล่าวมีเจตนารมณ์ในการจัดให้มีมาตรการหรือแนวทางที่จะทำให้การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล เกิดความรวดเร็ว สุจริต และเที่ยงธรรมก็ตาม แต่บทบัญญัตินั้นเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับระยะเวลาในการไต่สวนและมีความเห็นหรือวินิจฉัยเท่านั้น จึงมิใช่บทบัญญัติที่เป็นการตัดอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการไต่สวนและมีความเห็นหรือวินิจฉัยกรณีที่มีการกล่าวหาหรือไม่มีการกล่าวหาว่ามีการกระทำความผิดที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดังเห็นได้จากวรรคห้าของบทบัญญัติดังกล่าวที่บัญญัติว่า ภายใต้กำหนดอายุความ เมื่อพ้นกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสาม หรือตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้แล้ว คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังคงมีหน้าที่และอำนาจที่จะดำเนินการไต่สวนและมีความเห็นหรือวินิจฉัย หรือดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป แต่ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาสอบสวนและดำเนินการลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องตามควรแก่กรณีโดยเร็ว ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ยังคงให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าที่และอำนาจดำเนินการไต่สวนและมีความเห็นหรือวินิจฉัยต่อไปเมื่อพ้นระยะเวลาตามมาตรา 48 วรรคหนึ่งและวรรคสามแล้ว นอกจากนี้ยังให้อำนาจคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่จะพิจารณาสอบสวนและดำเนินการลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องในการไต่สวนที่ไม่ดำเนินการไต่สวนให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ตามมาตรา 4 วรรคหนึ่งและวรรคสามด้วย ดังนี้ เมื่อมาตรา 48 วรรคหนึ่งและวรรคสาม เป็นเพียงระยะเวลาในการไต่สวนและมีความเห็นหรือวินิจฉัยดังวินิจฉัยข้างต้น จึงหาใช่อายุความตามประมวลกฎหมายอาญาไม่
คดีนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 149 มาตรา 151 และมาตรา 157 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ซึ่งความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าวมีอายุความ 20 ปี และ 15 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 95 (1) (2) ตามลำดับ จำเลยกระทำความผิดเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2555 ถึงประมาณปลายเดือนกันยายน 2555 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวนคดีนี้เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2560 และมีความเห็นหรือวินิจฉัยเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 จึงเป็นการไต่สวนและมีความเห็นหรือวินิจฉัยภายในอายุความ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149, 151, 157 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172, 192 จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาในปัญหาที่ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า แม้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 48 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า เมื่อความปรากฏต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ว่าจะมีการกล่าวหาหรือไม่ว่ามีการกระทำความผิดที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจโดยพลัน โดยในกรณีที่จำเป็นต้องมีการไต่สวน ต้องไต่สวนและมีความเห็นหรือวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนด ซึ่งต้องไม่เกินสองปีนับแต่วันเริ่มดำเนินการไต่สวน และวรรคสาม บัญญัติว่า ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นอันไม่อาจดำเนินการให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง คณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจขยายระยะเวลาออกไปตามที่จำเป็นได้ แต่รวมแล้วต้องไม่เกินสามปี เว้นแต่เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องเดินทางไปไต่สวนในต่างประเทศ หรือขอให้หน่วยงานของต่างประเทศดำเนินการไต่สวนให้ หรือขอรับเอกสารหลักฐานจากต่างประเทศ จะขยายระยะเวลาออกเท่าที่จำเป็นก็ได้ ซึ่งนำมาใช้บังคับแก่คดีนี้ดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยให้เหตุผลไว้แล้ว บ่งชี้ให้เห็นว่าบทบัญญัติดังกล่าวมีเจตนารมณ์ในการจัดให้มีมาตรการหรือแนวทางที่จะทำให้การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล เกิดความรวดเร็ว สุจริต และเที่ยงธรรมก็ตาม แต่บทบัญญัตินั้นเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับระยะเวลาในการไต่สวนและมีความเห็นหรือวินิจฉัยเท่านั้น จึงมิใช่บทบัญญัติที่เป็นการตัดอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการไต่สวนและมีความเห็นหรือวินิจฉัยกรณีที่มีการกล่าวหาหรือไม่มีการกล่าวหาว่ามีการกระทำความผิดที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดังเห็นได้จากวรรคห้าของบทบัญญัติดังกล่าวที่บัญญัติว่า ภายใต้กำหนดอายุความ เมื่อพ้นกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสาม หรือตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้แล้ว คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังคงมีหน้าที่และอำนาจที่จะดำเนินการไต่สวนและมีความเห็นหรือวินิจฉัย หรือดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป แต่ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาสอบสวนและดำเนินการลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องตามควรแก่กรณีโดยเร็ว ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ยังคงให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าที่และอำนาจดำเนินการไต่สวนและมีความเห็นหรือวินิจฉัยต่อไปเมื่อพ้นระยะเวลาตาม มาตรา 48 วรรคหนึ่งและวรรคสามแล้ว นอกจากนี้ยังให้อำนาจคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่จะพิจารณาสอบสวนและดำเนินการลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องในการไต่สวนที่ไม่ดำเนินการไต่สวนให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ตาม มาตรา 4 วรรคหนึ่งและวรรคสามด้วย ดังนี้ เมื่อมาตรา 48 วรรคหนึ่งและวรรคสาม เป็นเพียงระยะเวลาในการไต่สวนและมีความเห็นหรือวินิจฉัยดังวินิจฉัยข้างต้น จึงหาใช่อายุความตามประมวลกฎหมายอาญาไม่ คดีนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 มาตรา 151 และมาตรา 157 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 และมาตรา 172 ซึ่งความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าวมีอายุความ 20 ปี และ 15 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95 (1) (2) ตามลำดับ จำเลยกระทำความผิดเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2555 ถึงประมาณปลายเดือนกันยายน 2555 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวนคดีนี้เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2560 และมีความเห็นหรือวินิจฉัยเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 จึงเป็นการไต่สวนและมีความเห็นหรือวินิจฉัยภายในอายุความ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ![]() |