
ติดต่อเรา โทร. 085-9604258
(อ่าน)คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 891/2568 โครงการจัดสรรแบ่ง 14 แปลง มีถนนกลางเป็นทางออกสาธารณะ ต่อมาจำเลยซื้อที่ดินพิพาทและอีก 13 แปลง แล้วกั้นรั้ว–ทุบถนน โจทก์ (เจ้าของแปลงที่ยังเหลือ) ฟ้องรื้อ–จดทะเบียนภาระจำยอมและค่าเสียหาย ศาลชั้นต้นยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้รื้อ–จดทะเบียน–ชดใช้ 2,000 บาท/เดือน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็น “การจัดสรร” ตามประกาศคณะปฏิวัติ 286 ถนนกลางตกเป็นภาระจำยอม ผู้รับโอนต้องบำรุงรักษา ห้ามทำให้ประโยชน์ลดลง แม้ไม่ใช้ทางเกิน 10 ปีก็ไม่สิ้นสุดภาระจำยอม เพราะกฎหมายเฉพาะ (ประกาศ 286) เหนือ มาตรา 1399 การปิดกั้น–ทุบถนนเป็นละเมิด ต้องรื้อถอนและจดทะเบียนภาระจำยอม ชดใช้ค่าเสียหาย ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์
(อ่าน)คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1282/2568 วินิจฉัยคดีสิทธิฟ้องในกรณีที่จำเลยยื่นคำร้องฝ่ายเดียวต่อศาลชั้นต้นเพื่อขอรับกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยครอบครองปรปักษ์ ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ตามที่ขอ ต่อมาโจทก์ซึ่งมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินฟ้องเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่า คดีครอบครองปรปักษ์ที่จำเลยยื่นนั้นเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทตาม ป.วิ.พ. มาตรา 188 ไม่ผูกพันบุคคลภายนอก คำสั่งศาลจึงไม่ตัดสิทธิของโจทก์ แม้โจทก์จะไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องในคดีเดิมก็ตาม การส่งหมายแจ้งวันนัดไปยังภูมิลำเนาของโจทก์และมีผู้อื่นรับแทน ไม่อาจทำให้โจทก์เป็นคู่ความโดยปริยายได้ ศาลฎีกาวินิจฉัยยืนยันว่าโจทก์ยังคงมีสิทธิตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 ในการติดตามและเอาคืนทรัพย์ของตนจากผู้ครอบครอง และการที่ศาลชั้นต้นเคยมีคำสั่งให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์จากการครอบครองปรปักษ์ มิได้หมายความว่าโจทก์สละสิทธิในที่ดิน ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ภาค 4 ให้เพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่จำเลย พร้อมแก้ไขเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมให้ถูกต้อง
|
หน้า 1/1 1 | [Go to top] |