ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน

 ทนายความ อาสา ปรึกษาฟรี

 

ทนาย ลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์

ติดต่อเรา โทร. 085-9604258 

 

(อ่าน)คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2658–2663/2568 เป็นคดีฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการเลิกสัญญาว่าจ้าง อดีตผู้บริหารทั้งห้าได้ทำสัญญาเป็นที่ปรึกษากับบริษัทจำเลย แต่ถูกเลิกจ้างโดยมิชอบ ศาลเห็นว่าสัญญาเป็น “จ้างบริการ” ไม่ใช่ “จ้างทำของ” เพราะไม่มีการผูกพันผลสำเร็จ เมื่อจำเลยเลิกสัญญาโดยฝ่ายเดียว จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 ให้จำเลยที่ 1 ถึง 4 จ่ายเงินแก่โจทก์ ส่วนจำเลยที่ 5 ถึง 7 ไม่ใช่คู่สัญญา จึงไม่ต้องร่วมรับผิด

 

สรุปฎีกา 2658-2663/2568: ศาลฎีกาวินิจฉัยสัญญาจ้างบริการ ไม่ใช่จ้างทำของ เลิกสัญญาโดยปริยาย ผู้ว่าจ้างผิดสัญญาต้องชดใช้ค่าเสียหาย

 

(อ่าน)คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1396-1481/2568 ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้ง 86 คนเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 ตำแหน่งพนักงานจัดเรียงสินค้า ทำสัญญาจ้างเป็นรายปี ต่อสัญญาต่อเนื่อง จำเลยที่ 1 ภายหลังควบรวมกับจำเลยที่ 4 ยุบแผนกจัดเรียงสินค้า เลิกจ้างลูกจ้างทั้งหมดเมื่อ 30 ก.ย. 2562 และว่าจ้างบริษัทภายนอกดำเนินการแทน โดยมีการประชุมแจ้งล่วงหน้า 2 เดือน จ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย เงินช่วยเหลือพิเศษ และจัดโครงการสมัครใจลาออก รวมทั้งประสานให้ลูกจ้างสมัครงานกับบริษัทใหม่ แม้กิจการยังไม่ขาดทุน แต่เป็นดุลพินิจทางธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแข่งขัน ศาลเห็นว่าจำเลยมีเหตุอันสมควร ไม่ใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตามมาตรา 49 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานฯ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องโบนัสหรือสวัสดิการอื่นเกินสัญญา ส่วนกรณีโจทก์ที่ 36–38 รับค่าชดเชยซ้ำซ้อน ต้องคืนเงินให้จำเลยที่ 1 ศาลฎีกาจึงยืนตามศาลแรงงานกลางและศาลอุทธรณ์ คดีนี้ถือว่าเลิกจ้างโดยชอบ ไม่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม

 

ฎีกา 1396-1481/2568: จำเลยยุบแผนกจัดเรียงสินค้า เลิกจ้าง 86 คน โดยแจ้งล่วงหน้า 2 เดือน จ่ายค่าชดเชยและเงินช่วยเหลือ ศาลชี้มีเหตุสมควร ไม่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตาม ม.49 พ.ร.บ.ศาลแรงงาน โจทก์บางรายต้องคืนเงินซ้ำซ้อน

 

(ฎีกาที่ 3006-3081/2567)

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับประเด็นการนับอายุงานต่อเนื่องและสิทธิค่าชดเชยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน มาตรา 118 ศาลวินิจฉัยว่าอายุงานที่สิ้นสุดไปแล้วไม่นับรวม เว้นแต่มีข้อตกลงหรือกฎหมายกำหนด และการสิ้นสุดสัญญาจ้างถือเป็นการเลิกจ้างโดยชอบ

ข้อเท็จจริง

ลูกจ้างกว่า 100 คนทำงานโครงการ 1133 ของบริษัทโทรคมนาคม ผ่านบริษัทเอกชนผู้รับเหมารายปี

ทุกปีมีการประมูลใหม่ เมื่อลูกจ้างอ้างสิทธิค่าชดเชยตามอายุงานต่อเนื่อง ศาลต้องพิจารณา

คำวินิจฉัย

ศาลแรงงานและศาลอุทธรณ์เห็นตรงกันว่าเลิกจ้างต้องจ่ายค่าชดเชย แต่ไม่นับอายุงานต่อเนื่อง

ศาลฎีกายืนยันว่าอายุงานนับเฉพาะปีสุดท้ายเท่านั้น เว้นแต่มีข้อตกลงหรือกฎหมายให้นับรวม

การเลิกจ้างกรณีนี้ถือว่ามีเหตุสมควร ไม่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม

ประเด็นกฎหมาย

มาตรา 118: สิทธิค่าชดเชยขึ้นกับอายุงานต่อเนื่อง

มาตรา 20: ให้นับรวมอายุงานได้เฉพาะกรณีที่กฎหมายกำหนด

มาตรา 577 ป.พ.พ. และมาตรา 13 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน: ใช้กรณีโอนสิทธิหรือเปลี่ยนแปลงนิติบุคคล

หากไม่มีข้อตกลงหรือตัวบทกฎหมายกำหนด จะไม่นับรวมอายุงาน

IRAC สรุป

Issue: จะนับอายุงานต่อเนื่องเพื่อค่าชดเชยได้หรือไม่

Rule: ตามมาตรา 118 ต้องต่อเนื่อง เว้นแต่กฎหมายหรือข้อตกลงให้

Application: การจ้างรายปีถือว่าสัญญาขาดตอน ไม่มีการโอนสิทธิ

Conclusion: ลูกจ้างมีสิทธิค่าชดเชยเพียง 1 ปีสุดท้าย พิพากษายืน

ข้อคิดทางกฎหมาย

1. การจ้างงานรายปีทำให้อายุงานไม่ต่อเนื่อง ลูกจ้างต้องตระหนักสิทธิ

2. นายจ้างควรทำสัญญาชัดเจนเรื่องการนับอายุงาน

3. คำพิพากษาย้ำว่าอายุงานต้องต่อเนื่อง เว้นแต่กฎหมายหรือข้อตกลงกำหนด



ภาพประกอบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3006-3081/2567 เกี่ยวกับอายุงานต่อเนื่องและสิทธิค่าชดเชยแรงงาน แสดงแนวคิดการเลิกจ้างลูกจ้าง การสิ้นสุดสัญญาจ้าง และหลักกฎหมายแรงงานตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน มาตรา 118

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3106 - 3109/2567

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้เกี่ยวกับข้อพิพาทแรงงานช่วงโควิด-19 ประเด็นคือการหยุดกิจการชั่วคราวถือเป็น “เหตุสุดวิสัย” หรือไม่ ศาลวินิจฉัยว่าไม่ใช่ นายจ้างยังต้องจ่ายค่าจ้าง 75% ตามมาตรา 75 และศาลแรงงานมีอำนาจพิพากษาเกินคำขอเพื่อความเป็นธรรม

ข้อเท็จจริงโดยสรุป

บริษัทจำเลยให้บริการจองห้องพัก รายได้ลดจากโควิด-19

หยุดกิจการชั่วคราว (พ.ค.-ส.ค. 63) เสนอจ่ายเงินช่วยเหลือแทนค่าจ้าง

ลูกจ้างฟ้องขอค่าจ้าง 75% และค่าชดเชย

ศาลแรงงานกลางเห็นว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ยกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จ่ายค่าจ้าง 75%

จำเลยฎีกา

ประเด็นข้อกฎหมาย

1. การหยุดกิจการจากโควิด-19 เป็นเหตุสุดวิสัยหรือไม่

2. ศาลแรงงานพิพากษาเกินคำขอได้หรือไม่

คำวินิจฉัยศาลฎีกา

โควิด-19 ทำให้ธุรกิจลำบากแต่ยังดำเนินกิจการได้ ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้าง 75%

ศาลแรงงานมีอำนาจพิพากษาเกินคำขอเพื่อความเป็นธรรม ตามมาตรา 52

การวิเคราะห์

เหตุสุดวิสัยต้องทำให้กิจการทำต่อไม่ได้โดยสิ้นเชิง

มาตรา 75 มีเจตนารมณ์ถ่วงดุลสิทธิ หากยกเว้นนายจ้าง ลูกจ้างเสียเปรียบ

ศาลแรงงานมีบทบาทปกป้องฝ่ายลูกจ้างแม้เกินคำขอ

IRAC

Issue: การหยุดกิจการโควิด-19 เป็นเหตุสุดวิสัยหรือไม่

Rule: มาตรา 75 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน, มาตรา 52 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานฯ

Application: โควิดกระทบหนักแต่ไม่ถึงขั้นหยุดกิจการโดยสิ้นเชิง ต้องจ่ายค่าจ้าง 75%

Conclusion: ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย ศาลแรงงานพิพากษาเกินคำขอได้

ข้อคิดทางกฎหมาย

การอ้างเหตุสุดวิสัยต้องตีความแคบ

โควิด-19 ไม่ลบหน้าที่นายจ้างในการจ่ายค่าจ้าง

ศาลแรงงานเน้นสร้างความเป็นธรรมแม้เกินคำฟ้อง


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3106-3109/2567 คดีแรงงานช่วงโควิด-19 นายจ้างหยุดกิจการชั่วคราว ไม่ถือเป็นเหตุสุดวิสัย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่ายังต้องจ่ายค่าจ้างลูกจ้างไม่น้อยกว่า 75% ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พร้อมย้ำอำนาจศาลแรงงานในการพิพากษาเกินคำขอเพื่อความเป็นธรรม

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3110 - 3113/2567

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้เกี่ยวกับสิทธิของลูกจ้างเมื่อถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม โดยศาลวินิจฉัยว่าลูกจ้างสามารถยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานเพื่อค่าชดเชย และต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์เพื่อค่าเสียหายได้ แม้ได้รับค่าชดเชยแล้วก็ยังมีสิทธิฟ้องเพิกถอนคำสั่งและเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมได้

ข้อเท็จจริงโดยสรุป

โจทก์ทั้งสี่เป็นแรงงานต่างด้าวเมียนมา ถูกเลิกจ้างระหว่างที่บันทึกข้อตกลงสภาพการจ้างยังมีผล

ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์แต่ถูกยกคำร้อง ต่อมาร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานและได้รับค่าชดเชยครบถ้วน

ภายหลังยังคงฟ้องเพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์และขอค่าเสียหาย

ประเด็นกฎหมาย

1. การร้องต่อสองหน่วยงานถือเป็นการใช้สิทธิซ้ำซ้อนหรือไม่

2. ลูกจ้างยังมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมหรือไม่

คำวินิจฉัยศาลฎีกา

พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน และ พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ เป็นกฎหมายต่างฉบับ ลูกจ้างใช้สิทธิทั้งสองทางได้ ไม่ซ้ำซ้อน

แม้ได้รับค่าชดเชยแล้ว ก็ยังเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมได้

ศาลแรงงานภาค 6 ต้องพิจารณาต่อว่านายจ้างกระทำอันไม่เป็นธรรมหรือไม่ และหากใช่ต้องชดใช้ค่าเสียหาย

วิเคราะห์กฎหมาย

พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ให้สิทธิค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าว

พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ เปิดทางให้เรียกค่าเสียหายหรือให้รับกลับเข้าทำงาน

มาตรา 7 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ยืนยันการใช้สิทธิซ้อนกับกฎหมายอื่นได้

คำพิพากษานี้ยืนยันหลักคุ้มครองแรงงานและการเยียวยาที่เสริมกัน

IRAC

Issue: ลูกจ้างที่ได้ค่าชดเชยแล้วยังฟ้องค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมได้หรือไม่

Rule: พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ม.123–124, ม.7 และ พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ ม.121, 123, 41(4)

Application: ค่าชดเชยไม่ตัดสิทธิเรียกค่าเสียหาย เพราะเป็นสิทธิภายใต้กฎหมายอีกฉบับ

Conclusion: ลูกจ้างยังมีสิทธิฟ้องค่าเสียหายได้ แม้ได้รับค่าชดเชยแล้ว

ข้อคิดทางกฎหมาย

ลูกจ้างใช้สิทธิได้หลายช่องทางโดยไม่ซ้ำซ้อน

กฎหมายแรงงานคุ้มครองทั้งค่าชดเชยและความเป็นธรรมในการเลิกจ้าง

คำพิพากษานี้เป็นแนวทางสำคัญในการตีความสิทธิแรงงาน


สรุปคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3110-3113/2567 คดีเลิกจ้างไม่เป็นธรรม สิทธิค่าชดเชยและค่าเสียหายตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน มาตรา 123, 124 และ พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ มาตรา 121, 123, 41(4) พร้อม IRAC และข้อคิดทางกฎหมาย สิทธิของลูกจ้าง การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ค่าชดเชยแรงงาน

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้เกี่ยวกับสิทธิค่าชดเชยเมื่อครบอายุเกษียณ 55 ปี หากนายจ้างยังให้ลูกจ้างทำงานต่อโดยไม่จ่ายค่าชดเชย ถือว่าสัญญาจ้างเดิมยังไม่สิ้นสุด เมื่อนายจ้างเลิกจ้างในภายหลัง ต้องนับอายุงานต่อเนื่องและจ่ายค่าชดเชยตามมาตรา 118 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน

ข้อเท็จจริง

โจทก์ทำงานตั้งแต่ปี 2553 ตำแหน่งผู้ควบคุมการเงิน ค่าจ้างเดือนละ 304,351 บาท

คู่มือพนักงานกำหนดอายุเกษียณ 55 ปี แต่ขยายได้เป็นรายกรณี

โจทก์ครบเกษียณปลายปี 2560 แต่ยังทำงานต่อโดยไม่รับค่าชดเชย

11 มิ.ย. 2563 นายจ้างเลิกจ้าง มีผล 1 ก.ค. 2563 และจ่ายค่าชดเชย 240 วัน

โจทก์อ้างว่ายังได้รับไม่ครบ จึงร้องเรียนและฟ้องศาล

คำวินิจฉัยของศาล

ศาลแรงงานภาค 2: สัญญาจ้างไม่สิ้นสุดเมื่อครบ 55 ปี

ศาลอุทธรณ์: เห็นว่าเป็นสัญญาใหม่ ต้องจ่ายค่าชดเชยแยกเป็นสองช่วง

ศาลฎีกา: เห็นว่าเป็นเพียงการขยายเกษียณ ไม่ใช่สัญญาใหม่ นายจ้างไม่ต้องจ่ายเมื่อครบ 55 ปี แต่ต้องจ่ายเมื่อเลิกจ้างปี 2563 โดยนับอายุงานต่อเนื่อง

การวิเคราะห์กฎหมาย

1. การเกษียณอายุ

o มาตรา 118/1 กำหนดว่าเกษียณถือเป็นเลิกจ้าง หากนายจ้างไม่ให้ทำงานต่อ

o แต่หากยังทำงานต่อโดยไม่จ่ายค่าชดเชย ถือว่าสัญญาเดิมยังคงอยู่

2. การนับอายุงาน

o ต้องนับตั้งแต่ปี 2553 ถึงปี 2563 รวมกว่า 6 ปี ได้ค่าชดเชยไม่น้อยกว่า 240 วัน

3. ข้อแตกต่าง

o ศาลอุทธรณ์มองว่าเป็นสัญญาใหม่ แต่ศาลฎีกายืนยันว่าเป็นเพียงการขยายอายุเกษีย

IRAC

Issue: ต้องจ่ายค่าชดเชยเมื่อครบ 55 ปี หรือเมื่อเลิกจ้างจริง?

Rule: พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน มาตรา 118, 118/1 และ ป.พ.พ. มาตรา 582

Application: ลูกจ้างยังทำงานต่อโดยไม่รับค่าชดเชย แสดงว่าสัญญาเดิมยังอยู่ การเลิกจ้างจริงเกิดปี 2563

Conclusion: นายจ้างไม่มีหน้าที่จ่ายเมื่อครบ 55 ปี แต่ต้องจ่ายเมื่อเลิกจ้างปี 2563 โดยนับอายุงานต่อเนื่อง

ข้อคิดทางกฎหมาย

หากนายจ้างกำหนดเกษียณแต่ยังให้ลูกจ้างทำงานต่อโดยไม่จ่ายค่าชดเชย ถือว่าสัญญาเดิมยังอยู่ การเลิกจ้างภายหลังต้องนับอายุงานต่อเนื่องทั้งหมด นายจ้างจึงควรระมัดระวังในการกำหนดนโยบายเกษียณและค่าชดเชย

สรุปคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3114/2567 คดีแรงงาน กรณีเกษียณอายุ 55 ปี การเลิกจ้างและค่าชดเชยตามมาตรา 118 และ 118/1 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าสัญญาจ้างเดิมยังไม่สิ้นสุดเมื่อลูกจ้างทำงานต่อ ต้องนับอายุงานต่อเนื่องและจ่ายค่าชดเชยเมื่อเลิกจ้าง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3116/2567

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้เกี่ยวข้องกับคดีแรงงานของผู้ปฏิบัติงานในสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ศาลชี้ว่า การอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการคุ้มครองหรือการฟ้องศาลแรงงานเป็นสิทธิทางเลือก ต้องเลือกเพียงทางเดียว หากเลือกฟ้องศาลแรงงานแล้วถือว่าสละสิทธิอุทธรณ์ การอุทธรณ์ภายหลังไม่ตัดสิทธิฟ้อง

สรุปข้อเท็จจริง

โจทก์เป็นอาจารย์ มหาวิทยาลัยเอกชน เลิกจ้างวันที่ 15 ธ.ค. 2563

โจทก์ฟ้องศาลแรงงานกลางวันที่ 17 ธ.ค. เรียกค่าชดเชยและค่าเสียหายกว่า 18 ล้านบาท

วันถัดมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการคุ้มครอง

ศาลแรงงานกลางยกฟ้อง → ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์มีสิทธิฟ้อง → จำเลยฎีกา

คำวินิจฉัยของศาลฎีกา

ประเด็น: การฟ้องศาลแรงงานและอุทธรณ์ภายหลังเป็นสิทธิซ้ำซ้อนหรือไม่

ข้อกฎหมาย: กฎกระทรวงฯ 2549, พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานฯ ม.49, ป.วิ.พ. ม.18

เหตุผล: สิทธิทั้งสองเป็นสิทธิทางเลือก เมื่อเลือกฟ้องศาลแรงงานแล้วถือว่าสละสิทธิอุทธรณ์ การอุทธรณ์ภายหลังไม่ทำให้อำนาจฟ้องสิ้นไป

คำพิพากษา: พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ โจทก์มีอำนาจฟ้อง

วิเคราะห์กฎหมาย

1. ผู้ปฏิบัติงานต้องเลือกช่องทางเพียงหนึ่ง ไม่ทำคู่ขนาน

2. การฟ้องศาลแรงงานกับการอุทธรณ์ไม่ใช่สิทธิซ้ำซ้อน แต่การฟ้องถือเป็นการเลือกสิทธิแล้ว

3. การอุทธรณ์ภายหลังไม่ตัดสิทธิการฟ้อง

ข้อคิดทางกฎหมาย

ต้องเลือกใช้สิทธิให้ชัดเจนตั้งแต่ต้น

การฟ้องศาลแรงงานหมายถึงการสละสิทธิอุทธรณ์

การเข้าใจสิทธิทางเลือกช่วยป้องกันการถูกยกฟ้อง

IRAC Analysis

Issue: การฟ้องแล้วอุทธรณ์ภายหลังถือเป็นสิทธิซ้ำซ้อนหรือไม่

Rule: กฎกระทรวงฯ 2549, พ.ร.บ.ศาลแรงงานฯ ม.49, ป.วิ.พ. ม.18

Application: ฟ้องศาลแรงงานเป็นสิทธิทางเลือก ไม่จำเป็นต้องอุทธรณ์ก่อน และไม่ใช่การซ้ำซ้อน

 

Conclusion: โจทก์ยังคงมีอำนาจฟ้อง ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์

สรุปคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3116/2567 คดีแรงงาน มหาวิทยาลัยเอกชน เลือกสิทธิอุทธรณ์หรือฟ้องศาลแรงงานได้เพียงทางเดียว ข้อเท็จจริง คำวินิจฉัย ประเด็นกฎหมาย วิเคราะห์สิทธิซ้ำซ้อน อำนาจฟ้อง และ IRAC Analysis

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3119 - 3135/2567

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้เกี่ยวกับการเลิกจ้างลูกจ้าง 17 คน โดยนายจ้างอ้างเหตุผลจากการขาดทุนต่อเนื่องของฝ่ายผลิต 3 และผลกระทบจากโควิด-19 ศาลฎีกาเห็นว่ามีเหตุผลสมควรเพียงพอ จึงไม่ถือเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตามมาตรา 49 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงาน

สรุปข้อเท็จจริง

ลูกจ้างทั้ง 17 คนอยู่ฝ่ายผลิต 3 ที่ขาดทุนต่อเนื่องหลายปี

นายจ้างเลิกจ้างเพื่อปรับโครงสร้าง รับมือสถานการณ์โควิด-19

ศาลแรงงานภาค 1 เห็นว่าเลิกจ้างไม่เป็นธรรม

ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาเห็นว่ามีเหตุผลสมควร ยกฟ้อง

ประเด็นทางกฎหมาย

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง: มาตรา 49 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงาน

เกณฑ์พิจารณา: ต้องมีเหตุผลสมควร มาตรการแก้ไขก่อนเลิกจ้าง และการคัดเลือกที่เป็นธรรม

ศาลฎีกาเห็นว่า

ฝ่ายผลิต 3 ขาดทุนต่อเนื่องแม้ในช่วงโควิด

นายจ้างลดพนักงานหลายฝ่ายและมีเกณฑ์คัดเลือกที่ชัดเจน

จึงถือว่าเป็นการเลิกจ้างด้วยเหตุผลทางธุรกิจ ไม่ใช่การกลั่นแกล้ง

วิเคราะห์ทางกฎหมาย

เหตุผลสมควรต้องพิจารณาระดับหน่วยงาน ไม่ใช่กำไรบริษัทโดยรวม

การขาดทุนต่อเนื่องของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงพอที่จะเลิกจ้างได้

ศาลตอกย้ำสิทธินายจ้างในการบริหารงานภายใต้กรอบความเป็นธรรม

IRAC ย่อ

Issue: การเลิกจ้างลูกจ้าง 17 คนเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมหรือไม่

Rule: มาตรา 49 กำหนดว่าเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ศาลอาจสั่งชดใช้ค่าเสียหาย

Application: ฝ่ายผลิต 3 ขาดทุนต่อเนื่อง นายจ้างมีมาตรการและเกณฑ์คัดเลือกเป็นธรรม

Conclusion: ศาลฎีกาเห็นว่ามีเหตุผลสมควร ไม่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม

ข้อคิดทางกฎหมาย

นายจ้างเลิกจ้างได้หากพิสูจน์ว่ามีเหตุผลสมควรและปฏิบัติอย่างเป็นธรรม

แม้บริษัทโดยรวมมีกำไร แต่การขาดทุนเฉพาะหน่วยงานก็ใช้เป็นเหตุเลิกจ้างได้

อินโฟกราฟิกคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3119 - 3135/2567 คดีเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ลูกจ้าง 17 คน ฝ่ายผลิต 3 ขาดทุนต่อเนื่อง นายจ้างอ้างเหตุผลจากโควิด-19 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเลิกจ้างมีเหตุผลสมควรและเพียงพอ ไม่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตามมาตรา 49 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงาน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3306/2567

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้เกี่ยวกับการเลิกจ้างผู้จัดการภาคที่ปรับเงินผู้ใต้บังคับบัญชาโดยไม่มีบัญญัติในข้อบังคับการทำงาน ศาลวินิจฉัยว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนแต่ไม่ใช่กรณีร้ายแรง เนื่องจากไม่มีหลักฐานทุจริต และการเลิกจ้างโดยไม่เคยตักเตือนเป็นหนังสือมาก่อน จึงต้องชำระค่าชดเชยและค่าจ้างวันหยุดพักผ่อนตามกฎหมายแรงงาน

ข้อเท็จจริงโดยสรุป

โจทก์ทำงานตั้งแต่ปี 2546 เลิกจ้างในปี 2563 ด้วยข้อกล่าวหาปรับเงินลูกน้อง

ศาลแรงงานกลางสั่งให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยบางส่วน

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นกรณีร้ายแรง ไม่ต้องชดเชย

ศาลฎีกากลับวินิจฉัยว่าไม่ใช่กรณีร้ายแรง และต้องจ่ายค่าชดเชยพร้อมสิทธิวันหยุดพักผ่อน

คำวินิจฉัยของศาลฎีกา

1. การฝ่าฝืนข้อบังคับ

o การปรับเงินเป็นการฝ่าฝืน แต่ไม่มีการหาประโยชน์ส่วนตน

2. การเลิกจ้างและค่าชดเชย

o การเลิกจ้างโดยไม่ตักเตือน ไม่เข้าข่าย ม.119

o จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชย 838,950 บาท พร้อมดอกเบี้ย 15%

3. สิทธิวันหยุดพักผ่อน

o โจทก์เหลือ 1.5 วัน ได้รับค่าจ้าง 4,194.75 บาท พร้อมดอกเบี้ย

การวิเคราะห์กฎหมาย

หากการกระทำไม่ร้ายแรงจนถึงขั้นเลิกจ้างทันที นายจ้างต้องตักเตือนก่อน

การตีความ “กรณีร้ายแรง” ต้องพิจารณาพฤติการณ์และผลกระทบ ไม่ใช่แค่การฝ่าฝืนข้อบังคับ

ลูกจ้างยังมีสิทธิวันหยุดพักผ่อนและค่าจ้าง แม้ถูกเลิกจ้าง

English Summary

The Supreme Court Decision No. 3306/2567 ruled that imposing fines on subordinates, though a breach of regulations, was not a serious offense as there was no personal gain. Since the dismissal occurred without prior written warning, the employer was ordered to pay compensation, unused annual leave, and statutory interest.


ภาพสรุปคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3306/2567 เกี่ยวกับคดีแรงงาน การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ผู้จัดการภาคถูกกล่าวหาปรับเงินผู้ใต้บังคับบัญชา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าไม่ใช่ความผิดร้ายแรง นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชย ค่าจ้างวันหยุดพักผ่อน และดอกเบี้ยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน



(ฎีกา2658-2663/2568)คดีสัญญาจ้างบริการ vs. จ้างทำของ & เลิกสัญญา
(ฎีกา1396-1481/2568) – คดีเลิกจ้างพนักงานจัดเรียงสินค้า (เลิกจ้างไม่เป็นธรรม?)
(ฎีกาที่ 3006-3081/2567) เรื่องอายุงานต่อเนื่องและสิทธิค่าชดเชยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน
(ฎีกาที่ 3106 - 3109/2567): การหยุดกิจการชั่วคราว โควิด-19 ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย นายจ้างยังต้องจ่ายค่าจ้าง 75%
(ฎีกาที่ 3110-3113/2567) การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ค่าชดเชย และสิทธิเรียกร้องตามกฎหมายแรงงาน, พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน, พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์, สิทธิของลูกจ้าง
(ฎีกาที่ 3114/2567) กรณีเกษียณอายุลูกจ้าง การเลิกจ้าง และสิทธิค่าชดเชย, สิทธิของลูกจ้าง, นายจ้าง
(ฎีกาที่ 3116/2567) คดีแรงงาน สถาบันอุดมศึกษาเอกชน เลือกใช้สิทธิอุทธรณ์หรือฟ้องศาลแรงงานได้เพียงทางเดียว
(ฎีกาที่ 3119 - 3135/2567): คดีเลิกจ้างไม่เป็นธรรมกับการขาดทุนต่อเนื่องของฝ่ายผลิตในช่วงโควิด-19, คดีแรงงาน, มาตรา 49,
(ฎีกาที่ 3306/2567) การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ค่าชดเชย และสิทธิวันหยุดพักผ่อน
(ฎีกาที่ 3680/2567) กรณีการตีความฐานะนายจ้างตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน มาตรา 11/1
(ฎีกาที่ 3969-3975/2567): การคำนวณค่าชดเชย-สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และการตีความเวลาทำงานปกติ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1966-2406/2546: การหยุดกิจการชั่วคราวและสิทธิจ่ายค่าจ้างตามมาตรา 75 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5307/2567: เวลาพักในรถบรรทุกไม่ใช่เวลาทำงานตามกฎหมายแรงงาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6067/2567: คดีแรงงาน สิทธิฟ้องในคดีเงินทดแทน และการวินิจฉัยนิติสัมพันธ์นายจ้าง–ลูกจ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 587/2563: เลิกจ้างโดยสุจริตหรือไม่? ศาลฎีกาวินิจฉัยใหม่
การจำกัดความรับผิดของผู้ค้ำประกัน, การค้ำประกันของพนักงานรัฐวิสาหกิจ, คดีละเมิดของพนักงานรัฐวิสาหกิจ
คำเตือนให้ชำระหนี้โดยชอบตามมาตรา 204 วรรคหนึ่ง, การเรียกร้องเงินทดแทนค่ารักษาพยาบาล ประกันสังคม
ผู้รับเหมาชั้นต้นมีสิทธิไล่เบี้ยเงินค่าจ้างที่ได้จ่ายแทนนายจ้างไปแล้ว
ตัวแทนทำสัญญาแทนตัวการซึ่งอยู่และมีภูมิลำเนาต่างประเทศ
ลูกจ้างส่งภาพโป๊ลามกอนาจารในเวลาทำงาน
ลูกจ้างจะต้องเลือกใช้สิทธิทางใดทางหนึ่ง
หน้าที่นายจ้างวางเงินก่อนฟ้องคดี
ฝ่าฝืนข้อบังคับการทำงานร้ายแรง
เลิกจ้างไม่เป็นธรรม-สินจ้างแทนการบอกกล่าว
ลูกจ้างชั่วคราวของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาฝ่ายเดียวต้องดำเนินการภายใน 7 วัน
เล่นอินเตอร์เน็ตในเวลาทำงานเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรมแล้ว
ค่าจ้างค้างจ้ายกับดอกเบี้ยผิดนัดที่ลูกจ้างมีสิทธิคิดเอากับนายจ้าง
เลิกจ้างได้โดยไม่ต้องตักเตือนเป็นหนังสือ
นายจ้างมอบอำนาจบังคับบัญชาให้ผู้อื่น
คำนวณจ่ายค่าชดเชย-ค่าครองชีพเป็นค่าจ้างหรือไม่
ถือไม่ได้ว่าลูกจ้างจงใจขัดคำสั่งนายจ้าง
บำเหน็จดำรงชีพกับบำเหน็จตกทอด
อ้างเหตุเลิกจ้างไม่จ่ายค่าชดเชย
การจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาจะกระทำได้แต่จ้างงานในโครงการเฉพาะ
การจงใจฝ่าฝืนคำสั่งนายจ้าง คำสั่งให้ลูกจ้างไปทำงานในตำแหน่งใหม่
การเลิกจ้างเพราะเกษียณอายุไม่อาจถอนได้
เรียกค่าเสียหายกรณีเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม
ฝ่าฝืนระเบียบนายจ้างมิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
เลิกจ้างโดยไม่ได้ตักเตือนก่อนเป็นหนังสือต้องจ่ายค่าชดเชย
ทุจริตต่อหน้าที่และฝ่าฝืนข้อบังคับในกรณีร้ายแรง
สิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษ | ย้ายสถานประกอบกิจการ
คำสั่งพนักงานตรวจแรงงานเป็นที่สุด
ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเพื่อคำนวณจ่ายค่าชดเชย
ตำแหน่งพนักงานขับรถ-สัญญาจ้างแรงงาน หรือสัญญาจ้างทำของ?
ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลงเมื่อสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง
แม่บ้านทำงานบ้านฟ้องเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
นายจ้างให้ลูกจ้างขับรถขนส่งทำงานติดต่อกันถึงวันละ 24 ชั่วโมงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
การโยกย้ายหน้าที่ลูกจ้างเป็นอำนาจบริหารจัดการของนายจ้าง
นายจ้างประกอบกิจการขนส่งย้ายที่ลงเวลาทำงานไปตั้งอยู่ที่อื่น
สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
ลูกจ้างทุจริตต่อหน้าที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
โจทก์ฟ้องเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานฝ่ายลูกจ้างไม่คัดค้าน
ดอกเบี้ยผิดนัดหนี้ค่าจ้างและค่าชดเชย 15% ต่อปีไม่ใช่ 7.5%
สัญญาจ้างแรงงานสิ้นสุดทำให้สิทธิรับค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเที่ยวระงับด้วย
ลูกจ้างฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน
สัญญาจ้างทดลองงาน | สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
บทความเกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน
นายจ้างฟ้องไล่เบี้ยลูกจ้างให้รับผิดฐานละเมิดต่อบุคคลภายนอก
นายจ้างขอให้ศาลเลิกจ้างกรรมการลูกจ้าง
หน้า 1/1
1
[Go to top]