
ติดต่อเรา โทร. 085-9604258
(อ่าน)คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2658–2663/2568 เป็นคดีฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการเลิกสัญญาว่าจ้าง อดีตผู้บริหารทั้งห้าได้ทำสัญญาเป็นที่ปรึกษากับบริษัทจำเลย แต่ถูกเลิกจ้างโดยมิชอบ ศาลเห็นว่าสัญญาเป็น “จ้างบริการ” ไม่ใช่ “จ้างทำของ” เพราะไม่มีการผูกพันผลสำเร็จ เมื่อจำเลยเลิกสัญญาโดยฝ่ายเดียว จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 ให้จำเลยที่ 1 ถึง 4 จ่ายเงินแก่โจทก์ ส่วนจำเลยที่ 5 ถึง 7 ไม่ใช่คู่สัญญา จึงไม่ต้องร่วมรับผิด
(อ่าน)คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1396-1481/2568 ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้ง 86 คนเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 ตำแหน่งพนักงานจัดเรียงสินค้า ทำสัญญาจ้างเป็นรายปี ต่อสัญญาต่อเนื่อง จำเลยที่ 1 ภายหลังควบรวมกับจำเลยที่ 4 ยุบแผนกจัดเรียงสินค้า เลิกจ้างลูกจ้างทั้งหมดเมื่อ 30 ก.ย. 2562 และว่าจ้างบริษัทภายนอกดำเนินการแทน โดยมีการประชุมแจ้งล่วงหน้า 2 เดือน จ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย เงินช่วยเหลือพิเศษ และจัดโครงการสมัครใจลาออก รวมทั้งประสานให้ลูกจ้างสมัครงานกับบริษัทใหม่ แม้กิจการยังไม่ขาดทุน แต่เป็นดุลพินิจทางธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแข่งขัน ศาลเห็นว่าจำเลยมีเหตุอันสมควร ไม่ใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตามมาตรา 49 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานฯ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องโบนัสหรือสวัสดิการอื่นเกินสัญญา ส่วนกรณีโจทก์ที่ 36–38 รับค่าชดเชยซ้ำซ้อน ต้องคืนเงินให้จำเลยที่ 1 ศาลฎีกาจึงยืนตามศาลแรงงานกลางและศาลอุทธรณ์ คดีนี้ถือว่าเลิกจ้างโดยชอบ ไม่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
(ฎีกาที่ 3006-3081/2567) บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับประเด็นการนับอายุงานต่อเนื่องและสิทธิค่าชดเชยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน มาตรา 118 ศาลวินิจฉัยว่าอายุงานที่สิ้นสุดไปแล้วไม่นับรวม เว้นแต่มีข้อตกลงหรือกฎหมายกำหนด และการสิ้นสุดสัญญาจ้างถือเป็นการเลิกจ้างโดยชอบ ข้อเท็จจริง • ลูกจ้างกว่า 100 คนทำงานโครงการ 1133 ของบริษัทโทรคมนาคม ผ่านบริษัทเอกชนผู้รับเหมารายปี • ทุกปีมีการประมูลใหม่ เมื่อลูกจ้างอ้างสิทธิค่าชดเชยตามอายุงานต่อเนื่อง ศาลต้องพิจารณา คำวินิจฉัย • ศาลแรงงานและศาลอุทธรณ์เห็นตรงกันว่าเลิกจ้างต้องจ่ายค่าชดเชย แต่ไม่นับอายุงานต่อเนื่อง • ศาลฎีกายืนยันว่าอายุงานนับเฉพาะปีสุดท้ายเท่านั้น เว้นแต่มีข้อตกลงหรือกฎหมายให้นับรวม • การเลิกจ้างกรณีนี้ถือว่ามีเหตุสมควร ไม่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ประเด็นกฎหมาย • มาตรา 118: สิทธิค่าชดเชยขึ้นกับอายุงานต่อเนื่อง • มาตรา 20: ให้นับรวมอายุงานได้เฉพาะกรณีที่กฎหมายกำหนด • มาตรา 577 ป.พ.พ. และมาตรา 13 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน: ใช้กรณีโอนสิทธิหรือเปลี่ยนแปลงนิติบุคคล • หากไม่มีข้อตกลงหรือตัวบทกฎหมายกำหนด จะไม่นับรวมอายุงาน IRAC สรุป Issue: จะนับอายุงานต่อเนื่องเพื่อค่าชดเชยได้หรือไม่ Rule: ตามมาตรา 118 ต้องต่อเนื่อง เว้นแต่กฎหมายหรือข้อตกลงให้ Application: การจ้างรายปีถือว่าสัญญาขาดตอน ไม่มีการโอนสิทธิ Conclusion: ลูกจ้างมีสิทธิค่าชดเชยเพียง 1 ปีสุดท้าย พิพากษายืน ข้อคิดทางกฎหมาย 1. การจ้างงานรายปีทำให้อายุงานไม่ต่อเนื่อง ลูกจ้างต้องตระหนักสิทธิ 2. นายจ้างควรทำสัญญาชัดเจนเรื่องการนับอายุงาน 3. คำพิพากษาย้ำว่าอายุงานต้องต่อเนื่อง เว้นแต่กฎหมายหรือข้อตกลงกำหนด ![]()
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3106 - 3109/2567
บทนำ
คำพิพากษาศาลฎีกานี้เกี่ยวกับข้อพิพาทแรงงานช่วงโควิด-19 ประเด็นคือการหยุดกิจการชั่วคราวถือเป็น “เหตุสุดวิสัย” หรือไม่ ศาลวินิจฉัยว่าไม่ใช่ นายจ้างยังต้องจ่ายค่าจ้าง 75% ตามมาตรา 75 และศาลแรงงานมีอำนาจพิพากษาเกินคำขอเพื่อความเป็นธรรม
ข้อเท็จจริงโดยสรุป • บริษัทจำเลยให้บริการจองห้องพัก รายได้ลดจากโควิด-19 • หยุดกิจการชั่วคราว (พ.ค.-ส.ค. 63) เสนอจ่ายเงินช่วยเหลือแทนค่าจ้าง • ลูกจ้างฟ้องขอค่าจ้าง 75% และค่าชดเชย • ศาลแรงงานกลางเห็นว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ยกฟ้อง • ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จ่ายค่าจ้าง 75% • จำเลยฎีกา
ประเด็นข้อกฎหมาย 1. การหยุดกิจการจากโควิด-19 เป็นเหตุสุดวิสัยหรือไม่ 2. ศาลแรงงานพิพากษาเกินคำขอได้หรือไม่ คำวินิจฉัยศาลฎีกา • โควิด-19 ทำให้ธุรกิจลำบากแต่ยังดำเนินกิจการได้ ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้าง 75% • ศาลแรงงานมีอำนาจพิพากษาเกินคำขอเพื่อความเป็นธรรม ตามมาตรา 52
การวิเคราะห์ • เหตุสุดวิสัยต้องทำให้กิจการทำต่อไม่ได้โดยสิ้นเชิง • มาตรา 75 มีเจตนารมณ์ถ่วงดุลสิทธิ หากยกเว้นนายจ้าง ลูกจ้างเสียเปรียบ • ศาลแรงงานมีบทบาทปกป้องฝ่ายลูกจ้างแม้เกินคำขอ
IRAC • Issue: การหยุดกิจการโควิด-19 เป็นเหตุสุดวิสัยหรือไม่ • Rule: มาตรา 75 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน, มาตรา 52 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานฯ • Application: โควิดกระทบหนักแต่ไม่ถึงขั้นหยุดกิจการโดยสิ้นเชิง ต้องจ่ายค่าจ้าง 75% • Conclusion: ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย ศาลแรงงานพิพากษาเกินคำขอได้
ข้อคิดทางกฎหมาย • การอ้างเหตุสุดวิสัยต้องตีความแคบ • โควิด-19 ไม่ลบหน้าที่นายจ้างในการจ่ายค่าจ้าง • ศาลแรงงานเน้นสร้างความเป็นธรรมแม้เกินคำฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3110 - 3113/2567
บทนำ
คำพิพากษาศาลฎีกานี้เกี่ยวกับสิทธิของลูกจ้างเมื่อถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม โดยศาลวินิจฉัยว่าลูกจ้างสามารถยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานเพื่อค่าชดเชย และต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์เพื่อค่าเสียหายได้ แม้ได้รับค่าชดเชยแล้วก็ยังมีสิทธิฟ้องเพิกถอนคำสั่งและเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมได้
ข้อเท็จจริงโดยสรุป • โจทก์ทั้งสี่เป็นแรงงานต่างด้าวเมียนมา ถูกเลิกจ้างระหว่างที่บันทึกข้อตกลงสภาพการจ้างยังมีผล • ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์แต่ถูกยกคำร้อง ต่อมาร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานและได้รับค่าชดเชยครบถ้วน • ภายหลังยังคงฟ้องเพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์และขอค่าเสียหาย
ประเด็นกฎหมาย 1. การร้องต่อสองหน่วยงานถือเป็นการใช้สิทธิซ้ำซ้อนหรือไม่ 2. ลูกจ้างยังมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมหรือไม่
คำวินิจฉัยศาลฎีกา • พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน และ พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ เป็นกฎหมายต่างฉบับ ลูกจ้างใช้สิทธิทั้งสองทางได้ ไม่ซ้ำซ้อน • แม้ได้รับค่าชดเชยแล้ว ก็ยังเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมได้ • ศาลแรงงานภาค 6 ต้องพิจารณาต่อว่านายจ้างกระทำอันไม่เป็นธรรมหรือไม่ และหากใช่ต้องชดใช้ค่าเสียหาย
วิเคราะห์กฎหมาย • พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ให้สิทธิค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าว • พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ เปิดทางให้เรียกค่าเสียหายหรือให้รับกลับเข้าทำงาน • มาตรา 7 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ยืนยันการใช้สิทธิซ้อนกับกฎหมายอื่นได้ • คำพิพากษานี้ยืนยันหลักคุ้มครองแรงงานและการเยียวยาที่เสริมกัน
IRAC • Issue: ลูกจ้างที่ได้ค่าชดเชยแล้วยังฟ้องค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมได้หรือไม่ • Rule: พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ม.123–124, ม.7 และ พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ ม.121, 123, 41(4) • Application: ค่าชดเชยไม่ตัดสิทธิเรียกค่าเสียหาย เพราะเป็นสิทธิภายใต้กฎหมายอีกฉบับ • Conclusion: ลูกจ้างยังมีสิทธิฟ้องค่าเสียหายได้ แม้ได้รับค่าชดเชยแล้ว
ข้อคิดทางกฎหมาย • ลูกจ้างใช้สิทธิได้หลายช่องทางโดยไม่ซ้ำซ้อน • กฎหมายแรงงานคุ้มครองทั้งค่าชดเชยและความเป็นธรรมในการเลิกจ้าง • คำพิพากษานี้เป็นแนวทางสำคัญในการตีความสิทธิแรงงาน
บทนำ
คำพิพากษาศาลฎีกานี้เกี่ยวกับสิทธิค่าชดเชยเมื่อครบอายุเกษียณ 55 ปี หากนายจ้างยังให้ลูกจ้างทำงานต่อโดยไม่จ่ายค่าชดเชย ถือว่าสัญญาจ้างเดิมยังไม่สิ้นสุด เมื่อนายจ้างเลิกจ้างในภายหลัง ต้องนับอายุงานต่อเนื่องและจ่ายค่าชดเชยตามมาตรา 118 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน
ข้อเท็จจริง • โจทก์ทำงานตั้งแต่ปี 2553 ตำแหน่งผู้ควบคุมการเงิน ค่าจ้างเดือนละ 304,351 บาท • คู่มือพนักงานกำหนดอายุเกษียณ 55 ปี แต่ขยายได้เป็นรายกรณี • โจทก์ครบเกษียณปลายปี 2560 แต่ยังทำงานต่อโดยไม่รับค่าชดเชย • 11 มิ.ย. 2563 นายจ้างเลิกจ้าง มีผล 1 ก.ค. 2563 และจ่ายค่าชดเชย 240 วัน • โจทก์อ้างว่ายังได้รับไม่ครบ จึงร้องเรียนและฟ้องศาล
คำวินิจฉัยของศาล • ศาลแรงงานภาค 2: สัญญาจ้างไม่สิ้นสุดเมื่อครบ 55 ปี • ศาลอุทธรณ์: เห็นว่าเป็นสัญญาใหม่ ต้องจ่ายค่าชดเชยแยกเป็นสองช่วง • ศาลฎีกา: เห็นว่าเป็นเพียงการขยายเกษียณ ไม่ใช่สัญญาใหม่ นายจ้างไม่ต้องจ่ายเมื่อครบ 55 ปี แต่ต้องจ่ายเมื่อเลิกจ้างปี 2563 โดยนับอายุงานต่อเนื่อง
การวิเคราะห์กฎหมาย 1. การเกษียณอายุ o มาตรา 118/1 กำหนดว่าเกษียณถือเป็นเลิกจ้าง หากนายจ้างไม่ให้ทำงานต่อ o แต่หากยังทำงานต่อโดยไม่จ่ายค่าชดเชย ถือว่าสัญญาเดิมยังคงอยู่ 2. การนับอายุงาน o ต้องนับตั้งแต่ปี 2553 ถึงปี 2563 รวมกว่า 6 ปี ได้ค่าชดเชยไม่น้อยกว่า 240 วัน 3. ข้อแตกต่าง o ศาลอุทธรณ์มองว่าเป็นสัญญาใหม่ แต่ศาลฎีกายืนยันว่าเป็นเพียงการขยายอายุเกษีย
IRAC • Issue: ต้องจ่ายค่าชดเชยเมื่อครบ 55 ปี หรือเมื่อเลิกจ้างจริง? • Rule: พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน มาตรา 118, 118/1 และ ป.พ.พ. มาตรา 582 • Application: ลูกจ้างยังทำงานต่อโดยไม่รับค่าชดเชย แสดงว่าสัญญาเดิมยังอยู่ การเลิกจ้างจริงเกิดปี 2563 • Conclusion: นายจ้างไม่มีหน้าที่จ่ายเมื่อครบ 55 ปี แต่ต้องจ่ายเมื่อเลิกจ้างปี 2563 โดยนับอายุงานต่อเนื่อง
ข้อคิดทางกฎหมาย หากนายจ้างกำหนดเกษียณแต่ยังให้ลูกจ้างทำงานต่อโดยไม่จ่ายค่าชดเชย ถือว่าสัญญาเดิมยังอยู่ การเลิกจ้างภายหลังต้องนับอายุงานต่อเนื่องทั้งหมด นายจ้างจึงควรระมัดระวังในการกำหนดนโยบายเกษียณและค่าชดเชย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3116/2567
บทนำ
คำพิพากษาศาลฎีกานี้เกี่ยวข้องกับคดีแรงงานของผู้ปฏิบัติงานในสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ศาลชี้ว่า การอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการคุ้มครองหรือการฟ้องศาลแรงงานเป็นสิทธิทางเลือก ต้องเลือกเพียงทางเดียว หากเลือกฟ้องศาลแรงงานแล้วถือว่าสละสิทธิอุทธรณ์ การอุทธรณ์ภายหลังไม่ตัดสิทธิฟ้อง
สรุปข้อเท็จจริง • โจทก์เป็นอาจารย์ มหาวิทยาลัยเอกชน เลิกจ้างวันที่ 15 ธ.ค. 2563 • โจทก์ฟ้องศาลแรงงานกลางวันที่ 17 ธ.ค. เรียกค่าชดเชยและค่าเสียหายกว่า 18 ล้านบาท • วันถัดมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการคุ้มครอง • ศาลแรงงานกลางยกฟ้อง → ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์มีสิทธิฟ้อง → จำเลยฎีกา
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา • ประเด็น: การฟ้องศาลแรงงานและอุทธรณ์ภายหลังเป็นสิทธิซ้ำซ้อนหรือไม่ • ข้อกฎหมาย: กฎกระทรวงฯ 2549, พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานฯ ม.49, ป.วิ.พ. ม.18 • เหตุผล: สิทธิทั้งสองเป็นสิทธิทางเลือก เมื่อเลือกฟ้องศาลแรงงานแล้วถือว่าสละสิทธิอุทธรณ์ การอุทธรณ์ภายหลังไม่ทำให้อำนาจฟ้องสิ้นไป • คำพิพากษา: พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ โจทก์มีอำนาจฟ้อง
วิเคราะห์กฎหมาย 1. ผู้ปฏิบัติงานต้องเลือกช่องทางเพียงหนึ่ง ไม่ทำคู่ขนาน 2. การฟ้องศาลแรงงานกับการอุทธรณ์ไม่ใช่สิทธิซ้ำซ้อน แต่การฟ้องถือเป็นการเลือกสิทธิแล้ว 3. การอุทธรณ์ภายหลังไม่ตัดสิทธิการฟ้อง
ข้อคิดทางกฎหมาย • ต้องเลือกใช้สิทธิให้ชัดเจนตั้งแต่ต้น • การฟ้องศาลแรงงานหมายถึงการสละสิทธิอุทธรณ์ • การเข้าใจสิทธิทางเลือกช่วยป้องกันการถูกยกฟ้อง
IRAC Analysis • Issue: การฟ้องแล้วอุทธรณ์ภายหลังถือเป็นสิทธิซ้ำซ้อนหรือไม่ • Rule: กฎกระทรวงฯ 2549, พ.ร.บ.ศาลแรงงานฯ ม.49, ป.วิ.พ. ม.18 • Application: ฟ้องศาลแรงงานเป็นสิทธิทางเลือก ไม่จำเป็นต้องอุทธรณ์ก่อน และไม่ใช่การซ้ำซ้อน
• Conclusion: โจทก์ยังคงมีอำนาจฟ้อง ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3119 - 3135/2567
บทนำ
คำพิพากษาศาลฎีกานี้เกี่ยวกับการเลิกจ้างลูกจ้าง 17 คน โดยนายจ้างอ้างเหตุผลจากการขาดทุนต่อเนื่องของฝ่ายผลิต 3 และผลกระทบจากโควิด-19 ศาลฎีกาเห็นว่ามีเหตุผลสมควรเพียงพอ จึงไม่ถือเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตามมาตรา 49 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงาน
สรุปข้อเท็จจริง • ลูกจ้างทั้ง 17 คนอยู่ฝ่ายผลิต 3 ที่ขาดทุนต่อเนื่องหลายปี • นายจ้างเลิกจ้างเพื่อปรับโครงสร้าง รับมือสถานการณ์โควิด-19 • ศาลแรงงานภาค 1 เห็นว่าเลิกจ้างไม่เป็นธรรม • ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาเห็นว่ามีเหตุผลสมควร ยกฟ้อง
ประเด็นทางกฎหมาย • กฎหมายที่เกี่ยวข้อง: มาตรา 49 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงาน • เกณฑ์พิจารณา: ต้องมีเหตุผลสมควร มาตรการแก้ไขก่อนเลิกจ้าง และการคัดเลือกที่เป็นธรรม ศาลฎีกาเห็นว่า • ฝ่ายผลิต 3 ขาดทุนต่อเนื่องแม้ในช่วงโควิด • นายจ้างลดพนักงานหลายฝ่ายและมีเกณฑ์คัดเลือกที่ชัดเจน • จึงถือว่าเป็นการเลิกจ้างด้วยเหตุผลทางธุรกิจ ไม่ใช่การกลั่นแกล้ง
วิเคราะห์ทางกฎหมาย • เหตุผลสมควรต้องพิจารณาระดับหน่วยงาน ไม่ใช่กำไรบริษัทโดยรวม • การขาดทุนต่อเนื่องของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงพอที่จะเลิกจ้างได้ • ศาลตอกย้ำสิทธินายจ้างในการบริหารงานภายใต้กรอบความเป็นธรรม
IRAC ย่อ • Issue: การเลิกจ้างลูกจ้าง 17 คนเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมหรือไม่ • Rule: มาตรา 49 กำหนดว่าเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ศาลอาจสั่งชดใช้ค่าเสียหาย • Application: ฝ่ายผลิต 3 ขาดทุนต่อเนื่อง นายจ้างมีมาตรการและเกณฑ์คัดเลือกเป็นธรรม • Conclusion: ศาลฎีกาเห็นว่ามีเหตุผลสมควร ไม่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
ข้อคิดทางกฎหมาย • นายจ้างเลิกจ้างได้หากพิสูจน์ว่ามีเหตุผลสมควรและปฏิบัติอย่างเป็นธรรม • แม้บริษัทโดยรวมมีกำไร แต่การขาดทุนเฉพาะหน่วยงานก็ใช้เป็นเหตุเลิกจ้างได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3306/2567
บทนำ
คำพิพากษาศาลฎีกานี้เกี่ยวกับการเลิกจ้างผู้จัดการภาคที่ปรับเงินผู้ใต้บังคับบัญชาโดยไม่มีบัญญัติในข้อบังคับการทำงาน ศาลวินิจฉัยว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนแต่ไม่ใช่กรณีร้ายแรง เนื่องจากไม่มีหลักฐานทุจริต และการเลิกจ้างโดยไม่เคยตักเตือนเป็นหนังสือมาก่อน จึงต้องชำระค่าชดเชยและค่าจ้างวันหยุดพักผ่อนตามกฎหมายแรงงาน
ข้อเท็จจริงโดยสรุป • โจทก์ทำงานตั้งแต่ปี 2546 เลิกจ้างในปี 2563 ด้วยข้อกล่าวหาปรับเงินลูกน้อง • ศาลแรงงานกลางสั่งให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยบางส่วน • ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นกรณีร้ายแรง ไม่ต้องชดเชย • ศาลฎีกากลับวินิจฉัยว่าไม่ใช่กรณีร้ายแรง และต้องจ่ายค่าชดเชยพร้อมสิทธิวันหยุดพักผ่อน
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา 1. การฝ่าฝืนข้อบังคับ o การปรับเงินเป็นการฝ่าฝืน แต่ไม่มีการหาประโยชน์ส่วนตน 2. การเลิกจ้างและค่าชดเชย o การเลิกจ้างโดยไม่ตักเตือน ไม่เข้าข่าย ม.119 o จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชย 838,950 บาท พร้อมดอกเบี้ย 15% 3. สิทธิวันหยุดพักผ่อน o โจทก์เหลือ 1.5 วัน ได้รับค่าจ้าง 4,194.75 บาท พร้อมดอกเบี้ย การวิเคราะห์กฎหมาย • หากการกระทำไม่ร้ายแรงจนถึงขั้นเลิกจ้างทันที นายจ้างต้องตักเตือนก่อน • การตีความ “กรณีร้ายแรง” ต้องพิจารณาพฤติการณ์และผลกระทบ ไม่ใช่แค่การฝ่าฝืนข้อบังคับ • ลูกจ้างยังมีสิทธิวันหยุดพักผ่อนและค่าจ้าง แม้ถูกเลิกจ้าง
English Summary
The Supreme Court Decision No. 3306/2567 ruled that imposing fines on subordinates, though a breach of regulations, was not a serious offense as there was no personal gain. Since the dismissal occurred without prior written warning, the employer was ordered to pay compensation, unused annual leave, and statutory interest. |
หน้า 1/1 1 | [Go to top] |