
(ฎีกา2658-2663/2568)คดีสัญญาจ้างบริการ vs. จ้างทำของ & เลิกสัญญา
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับข้อพิพาททางแพ่งเรื่องสัญญาว่าจ้างระหว่างโจทก์ทั้งห้ากับบริษัทจำเลย โดยมีข้อถกเถียงสำคัญว่าข้อตกลงเป็น “สัญญาจ้างทำของ” หรือ “สัญญาจ้างบริการ” ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าสัญญามีลักษณะเป็นการจ้างบริการ และเมื่อผู้ว่าจ้างเลิกสัญญาโดยมิชอบ ศาลจึงกำหนดให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามควรค่าแห่งการงานและสิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้น
สรุปข้อเท็จจริง • โจทก์ทั้งห้าเคยเป็นกรรมการและผู้บริหารระดับสูงของบริษัทในเครือจำเลย • หลังขายหุ้นและลาออก ได้ทำข้อตกลงว่าจ้างใหม่ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม ให้คำปรึกษาด้านการบริหารแก่บริษัทจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 โดยมีค่าตอบแทนรายเดือน • ไม่มีการกำหนดระยะเวลาแน่นอนของสัญญา และไม่มีเงื่อนไขผูกพันว่าต้องทำงานจนบรรลุผลสำเร็จ • ต่อมาจำเลยที่ 7 ในฐานะผู้แทนบริษัทมีหนังสือกำหนดเงื่อนไขการทำงานใหม่ แต่โจทก์ไม่ตกลงและถูกเลิกจ้าง • โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา 1. ลักษณะสัญญา ศาลเห็นว่าเป็น “สัญญาจ้างบริการ” ไม่ใช่สัญญาจ้างทำของ เพราะงานที่ทำคือการให้คำปรึกษา ไม่ผูกพันว่าต้องสำเร็จเป็นรูปธรรม 2. การเลิกสัญญา การที่จำเลยออกหนังสือเลิกจ้าง ถือเป็นการเลิกสัญญาโดยมิชอบ และเป็นการเลิกกันโดยปริยาย (มาตรา 391 ป.พ.พ.) 3. ความรับผิดของจำเลย o จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามควรค่าแห่งการงานและเงินโบนัสเฉลี่ย o จำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ไม่ใช่คู่สัญญา จึงไม่ต้องรับผิด 4. จำนวนเงิน ศาลกำหนดให้จำเลยชำระค่าจ้างที่ค้างอยู่และค่าเสียหายเฉลี่ยต่อปี โดยปรับดอกเบี้ยตามอัตรากฎหมายใหม่
วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย • การจำแนกสัญญา: ศาลยืนยันว่าต้องพิจารณาจากลักษณะเนื้อหาของสัญญา ไม่ใช่ชื่อเรียก หากการจ้างงานเป็นเพียงการให้คำปรึกษาโดยไม่ผูกพันผลสำเร็จ ย่อมเป็น “สัญญาจ้างบริการ” ไม่ใช่ “สัญญาจ้างทำของ” • เลิกสัญญาโดยปริยาย (มาตรา 391 ป.พ.พ.): หากคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่ประสงค์จะดำเนินต่อ และอีกฝ่ายไม่คัดค้าน ถือว่าเป็นการเลิกสัญญาโดยปริยาย แต่ฝ่ายผิดสัญญายังต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย • ความแตกต่างของผู้รับผิด: ศาลเน้นว่าผู้ที่ไม่ใช่คู่สัญญาโดยตรง ย่อมไม่ต้องรับผิด เช่น จำเลยที่ 5-7 แม้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ไม่มีนิติสัมพันธ์ตามสัญญา
IRAC Analysis Issue (ประเด็นปัญหา) สัญญาว่าจ้างระหว่างโจทก์กับบริษัทจำเลยเป็น “สัญญาจ้างทำของ” หรือ “สัญญาจ้างบริการ” และการเลิกจ้างโดยจำเลยเป็นการผิดสัญญาหรือไม่ Rule (หลักกฎหมาย) • ป.พ.พ. มาตรา 391 กำหนดการเลิกสัญญาต่างตอบแทนและสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย • หลักเกณฑ์การจำแนกสัญญาจ้างทำของกับสัญญาจ้างบริการ Application (การปรับใช้กฎหมาย) • ข้อตกลงระบุเพียงการให้คำปรึกษา ไม่กำหนดให้ผลลัพธ์งานสำเร็จ → สัญญาจ้างบริการ • การบังคับให้โจทก์เข้ามาทำงานตามเวลาที่กำหนดเป็นการเปลี่ยนข้อตกลงโดยฝ่ายเดียว → โจทก์ไม่ผิดสัญญา • การเลิกจ้างโดยจำเลยเป็นการบอกเลิกโดยมิชอบ จำเลยที่ 1-4 ต้องรับผิด Conclusion (ข้อสรุป) สัญญาเป็น “สัญญาจ้างบริการ” เมื่อผู้ว่าจ้างเลิกจ้างโดยมิชอบ จำเลยที่ 1-4 ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ส่วนจำเลยที่ 5-7 ไม่ต้องรับผิด
ข้อคิดทางกฎหมาย 1. ศาลตีความสัญญาตามเนื้อหาที่แท้จริง ไม่ยึดเพียงชื่อที่คู่สัญญาเรียก 2. การเลิกสัญญาโดยฝ่ายเดียวที่ไม่ชอบด้วยข้อตกลง อาจนำไปสู่ความรับผิดค่าเสียหาย 3. คู่สัญญาที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง ไม่ต้องรับผิดตามสัญญา เป็นการจำกัดความรับผิดให้ชัดเจน
English Summary The Supreme Court Decision No. 2658–2663/2025 concerns a dispute over employment contracts between former executives and several companies. The Court ruled that the agreements were service contracts, not contracts for work. Since the companies unilaterally terminated the contracts without proper grounds, they were liable to pay compensation and outstanding salaries. Non-contractual parties were exempt from liability. สรุปความภาษาอังกฤษ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2658–2663/2568 เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาว่าจ้างระหว่างอดีตผู้บริหารกับบริษัทหลายแห่ง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าสัญญาดังกล่าวมีลักษณะเป็น “สัญญาจ้างบริการ” หาใช่ “สัญญาจ้างทำของ” ไม่ เมื่อบริษัทผู้ว่าจ้างได้เลิกสัญญาโดยฝ่ายเดียวโดยปราศจากเหตุอันสมควร บริษัทดังกล่าวจึงมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบชำระค่าชดเชยและค่าจ้างที่ค้างชำระ ทั้งนี้ คู่ความที่มิได้มีนิติสัมพันธ์ตามสัญญาไม่อยู่ในความรับผิดด้วย
📘 13 คำศัพท์กฎหมายที่น่าสนใจ 1.dispute – ข้อพิพาท, การโต้แย้ง 2.employment contract – สัญญาจ้างแรงงาน/สัญญาจ้างงาน 3.executive – ผู้บริหารระดับสูง 4.agreement – ข้อตกลง, สัญญา 5.service contract – สัญญาจ้างบริการ 6.contract for work – สัญญาจ้างทำของ 7.unilaterally – โดยฝ่ายเดียว 8.terminate – เลิก, บอกเลิกสัญญา 9.proper grounds – เหตุอันสมควร, เหตุผลอันชอบด้วยกฎหมาย 10.liable – ต้องรับผิด, มีความรับผิดชอบตามกฎหมาย 11.compensation – ค่าชดเชย, ค่าสินไหมทดแทน 12.outstanding salaries – ค่าจ้างที่ค้างชำระ 13.liability – ความรับผิดทางกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2658 - 2663/2568 ข้อตกลงระหว่างโจทก์ทั้งห้ากับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 มีลักษณะเป็นการจ้างโจทก์ทั้งห้าให้เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม มีหน้าที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการบริหารงานต่าง ๆ ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เพื่อให้ความช่วยเหลือในการดำเนินธุรกิจของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 โดยจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ตกลงจ่ายค่าตอบแทนให้แก่โจทก์ทั้งห้าเป็นรายเดือน และไม่มีกำหนดระยะเวลาการจ้าง ซึ่งการให้คำปรึกษาในแต่ละครั้งไม่ได้ทำให้งานสำเร็จไปตามที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 กำหนดไว้ กรณีจึงไม่ใช่สัญญาที่กำหนดให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้น ทั้งการให้คำปรึกษาก็มิได้ผูกพันให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ต้องปฏิบัติตามอันจะมีผลให้เกิดผลงานตามที่โจทก์ทั้งห้าให้คำปรึกษาเสมอไป สัญญาว่าจ้างหรือสัญญาต่างตอบแทนระหว่างโจทก์ทั้งห้ากับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จึงมิใช่สัญญาจ้างทำของ แต่เป็นสัญญาจ้างบริการอย่างอื่นอันมีลักษณะเป็นเอกเทศสัญญาอย่างหนึ่งที่มิได้กำหนดแยกประเภทไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ในฐานะผู้ว่าจ้างได้แสดงเจตนาจะไม่ว่าจ้างโจทก์ทั้งห้าอีกต่อไป ทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทั้งห้าทำหน้าที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมโดยให้คำปรึกษาแก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 หลังจากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 แสดงเจตนาเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้า พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าทั้งสองฝ่ายแสดงเจตนาเลิกสัญญาต่างตอบแทนระหว่างกันโดยปริยาย สัญญาต่างตอบแทนระหว่างโจทก์ทั้งห้ากับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จึงเลิกกันโดยปริยายแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม แต่หากระทบกระทั่งถึงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายไม่ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคสามและวรรคท้าย เมื่อโจทก์ทั้งห้าไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา หากแต่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จึงต้องใช้เงินตามควรค่าแห่งการงานอันโจทก์ทั้งห้าได้กระทำและชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ทั้งห้าเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดจากการเลิกสัญญานั้น ส่วนจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ทั้งห้า อีกทั้งไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ ต่อกัน จำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งห้า
คดีทั้งหกสำนวนศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยให้เรียกนายวีรวิน โจทก์ในสำนวนแรกและสำนวนที่สองว่า โจทก์ที่ 1 เรียกนายวีรวัฒน์ โจทก์ในสำนวนที่สามว่า โจทก์ที่ 2 เรียกนายกวี โจทก์ในสำนวนที่สี่ว่า โจทก์ที่ 3 เรียกนางศรีสุวรรณ โจทก์ในสำนวนที่ห้าว่า โจทก์ที่ 4 และเรียกนางสาววีรวรรณ โจทก์ในสำนวนที่หกว่า โจทก์ที่ 5 กับเรียกบริษัท พ. จำเลยที่ 1 ในสำนวนแรกว่า จำเลยที่ 1 เรียกบริษัท ท. จำเลยที่ 1 ในสำนวนที่สอง สำนวนที่สี่และสำนวนที่หกว่า จำเลยที่ 2 เรียกบริษัท ผ. จำเลยที่ 1 ในสำนวนที่สามว่า จำเลยที่ 3 เรียกบริษัท ย. จำเลยที่ 1 ในสำนวนที่ห้าว่า จำเลยที่ 4 เรียกบริษัท ส. จำเลยที่ 2 ในทุกสำนวนว่าจำเลยที่ 5 เรียกบริษัท ฮ. จำเลยที่ 3 ในทุกสำนวนว่า จำเลยที่ 6 และเรียกนายโทชิโนริ จำเลยที่ 4 ในทุกสำนวนว่า จำเลยที่ 7
โจทก์ทั้งห้าฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และที่ 5 ถึงที่ 7 ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 32,972,547 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 32,400,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 2 และที่ 5 ถึงที่ 7 ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 22,923,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 21,600,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 3 และที่ 5 ถึงที่ 7 ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 50,201,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 49,500,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 2 และที่ 5 ถึงที่ 7 ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ที่ 3 จำนวน 23,955,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 23,400,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ที่ 4 จำนวน 27,270,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 27,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 2 และที่ 5 ถึงที่ 7 ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ที่ 5 จำนวน 27,382,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 27,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยทั้งเจ็ดให้การทำนองเดียวกัน ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ที่ 4 ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีหมายเลขดำที่ พ.1131/2562 ของศาลชั้นต้น (คดีหมายเลขดำที่ พ.536/2561 ของศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา) และโจทก์ที่ 5 ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีหมายเลขดำที่ พ.1133/2562 ของศาลชั้นต้น (คดีหมายเลขดำที่ พ.975/2561 ของศาลจังหวัดสมุทรปราการ) ยื่นคำร้องขอให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า คดีหมายเลขดำที่ พ.536/2561 ของศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา และคดีหมายเลขดำที่ พ.975/2561 ของศาลจังหวัดสมุทรปราการ เป็นคดีแรงงานอันอยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลแรงงานหรือไม่ ประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีคำวินิจฉัยที่ วร.83/2561 ลงวันที่ 15 สิงหาคม 2561 และคำวินิจฉัยที่ วร.117/2561 ลงวันที่ 17 ตุลาคม 2561 ว่าคดีดังกล่าวไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ให้ศาลในส่วนคดีแพ่งดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป และบริษัท อ. ยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 2 สืบเนื่องจากจำเลยที่ 2 ซึ่งต่อมาจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ต. ควบรวมกิจการกับบริษัท ช. ทำให้บริษัทที่ควบกันดังกล่าวหมดสภาพจากการเป็นนิติบุคคล ผู้ร้องได้รับไปทั้งทรัพย์สิน หนี้ สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบของบริษัทดังกล่าวทั้งหมด อันรวมถึงสิทธิเรียกร้อง หนี้และความรับผิดชอบของจำเลยที่ 2 ตามมาตรา 152 และ 153 แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้สวมสิทธิตามคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 3,300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 2,200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 3 จำนวน 6,600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี และชำระเงินแก่โจทก์ที่ 5 จำนวน 5,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 3 ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 5,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยที่ 4 ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 4 จำนวน 6,600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งห้า โดยกำหนดค่าทนายความ 100,000 บาท สำหรับค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 แต่ละบริษัทใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ทั้งห้าชนะคดี ยกฟ้องโจทก์ทั้งห้าสำหรับจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์ทั้งห้าและจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 1,500,000 บาท ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 3 จำนวน 1,800,000 บาท ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 5 จำนวน 1,500,000 บาท ให้จำเลยที่ 3 ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 1,500,000 บาท และให้จำเลยที่ 4 ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 4 จำนวน 1,800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้ตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งตราขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ที่แก้ไขใหม่ บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีและค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ทั้งห้ากับจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ในศาลชั้นต้นและค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ทั้งห้าฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติโดยคู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นนี้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 5 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด ต่อมาจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ต. ควบรวมกิจการกับบริษัท ช. ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้บริษัท อ. สวมสิทธิเข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 2 ตามคำสั่งลงวันที่ 28 ตุลาคม 2563 จำเลยที่ 6 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จดทะเบียนตามกฎหมาย ณ ประเทศญี่ปุ่น มีนายโยชิฮิโระ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ จำเลยที่ 7 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 โจทก์ที่ 1 เคยเป็นกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 โจทก์ที่ 2 เคยเป็นกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของจำเลยที่ 3 โจทก์ที่ 3 เคยเป็นกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของจำเลยที่ 2 โจทก์ที่ 4 เคยเป็นกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของจำเลยที่ 4 โจทก์ที่ 5 เคยเป็นกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของจำเลยที่ 2 ร่วมกับโจทก์ที่ 1 และที่ 3 เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2560 โจทก์ทั้งห้าทำสัญญาขายหุ้นจำเลยที่ 2 รวมทั้งหุ้นของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของจำเลยที่ 2 ทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ 5 โจทก์ทั้งห้าโอนหุ้นที่ตกลงขายให้แก่จำเลยที่ 5 และจำเลยที่ 5 ชำระเงินค่าหุ้นให้โจทก์ทั้งห้าครบถ้วนแล้ว โจทก์ทั้งห้าลาออกจากการเป็นกรรมการในบริษัทเดิม แต่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ว่าจ้างให้โจทก์ทั้งห้าทำงานต่อในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ที่โจทก์ทั้งห้าเคยเป็นผู้บริหาร โดยไม่มีการทำสัญญาว่าจ้างเป็นลายลักษณ์อักษร จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จ่ายค่าตอบแทนให้แก่โจทก์ทั้งห้าเป็นรายเดือน โดยจำเลยที่ 1 จ่ายค่าตอบแทนให้แก่โจทก์ที่ 1 เดือนละ 1,500,000 บาท ซึ่งจำเลยที่ 2 ช่วยจำเลยที่ 1 แบ่งจ่ายด้วยส่วนหนึ่ง จำเลยที่ 3 จ่ายค่าตอบแทนให้แก่โจทก์ที่ 2 เดือนละ 1,500,000 บาท จำเลยที่ 2 จ่ายค่าตอบแทนให้แก่โจทก์ที่ 3 เดือนละ 1,800,000 บาท จำเลยที่ 4 จ่ายค่าตอบแทนให้แก่โจทก์ที่ 4 เดือนละ 1,800,000 บาท และจำเลยที่ 2 จ่ายค่าตอบแทนให้แก่โจทก์ที่ 5 เดือนละ 1,500,000 บาท นับแต่เริ่มเข้าทำงานกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2560 จนถึงเดือนมกราคม 2561 ต่อมาเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 จำเลยที่ 7 ในฐานะผู้มีอำนาจทำการแทนจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 มีหนังสือแจ้งโจทก์ทั้งห้าให้เข้าทำงานที่สำนักงานจำเลยที่ 2 เป็นประจำทุกวันอังคาร พุธ และพฤหัสบดี เวลา 9 ถึง 15 นาฬิกา ครั้นวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 โจทก์ที่ 4 เข้าพบจำเลยที่ 7 แจ้งว่าโจทก์ทั้งห้าไม่สามารถเข้าทำงานตามที่แจ้งได้ จากนั้นวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561 จำเลยที่ 7 มีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้า
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งห้าว่า จำเลยทั้งเจ็ดผิดสัญญาว่าจ้างหรือสัญญาต่างตอบแทนพิพาทและต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งห้าหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า ตามทางนำสืบของโจทก์ทั้งห้าและจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 สอดคล้องตรงกันว่า นับแต่เดือนตุลาคม 2560 ที่โจทก์ทั้งห้าเริ่มทำงานกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมจนถึงเดือนมกราคม 2561 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จ่ายค่าตอบแทนให้แก่โจทก์ทั้งห้าโดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งห้าต้องเข้ามาทำงานยังสำนักงานของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 แต่อย่างใด ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าสัญญาระหว่างโจทก์ทั้งห้ากับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ไม่มีข้อตกลงให้โจทก์ทั้งห้าต้องเข้ามาทำงานที่สำนักงานจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นเวลา 3 วันต่อสัปดาห์ ต่อมาเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 จำเลยที่ 7 ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เพิ่งมาเปลี่ยนแปลงโดยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทั้งห้าเข้ามาทำงานที่สำนักงานจำเลยที่ 2 ทุกวันอังคาร พุธ พฤหัสบดี เวลา 9 ถึง 15 นาฬิกา โดยโจทก์ทั้งห้าไม่ได้ตกลงยินยอมด้วย การที่โจทก์ทั้งห้าไม่เข้ามาปฏิบัติงาน ณ สำนักงานของจำเลยที่ 2 ตามคำสั่งดังกล่าว จึงยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งห้าเป็นฝ่ายผิดสัญญา การที่จำเลยที่ 7 ในฐานะผู้มีอำนาจทำการแทนจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 บอกเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าเนื่องจากไม่ได้เข้ามาทำงานตามที่แจ้งดังกล่าว จึงเป็นการบอกเลิกสัญญาโดยมิชอบและเมื่อพิจารณาข้อตกลงระหว่างโจทก์ทั้งห้ากับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ที่มีลักษณะเป็นการจ้างโจทก์ทั้งห้าให้เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม มีหน้าที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการบริหารงานต่าง ๆ ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เพื่อให้ความช่วยเหลือในการดำเนินธุรกิจของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 โดยจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ตกลงจ่ายค่าตอบแทนให้แก่โจทก์ทั้งห้าเป็นรายเดือน และไม่มีกำหนดระยะเวลาการจ้าง ซึ่งการให้คำปรึกษาในแต่ละครั้งไม่ได้ทำให้งานสำเร็จไปตามที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 กำหนดไว้ กรณีจึงไม่ใช่สัญญาที่กำหนดให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้น ทั้งการให้คำปรึกษาก็มิได้ผูกพันให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ต้องปฏิบัติตามอันจะมีผลให้เกิดผลงานตามที่โจทก์ทั้งห้าให้คำปรึกษาเสมอไป สัญญาว่าจ้างหรือสัญญาต่างตอบแทนระหว่างโจทก์ทั้งห้ากับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จึงมิใช่สัญญาจ้างทำของ แต่เป็นสัญญาจ้างบริการอย่างอื่นอันมีลักษณะเป็นเอกเทศสัญญาอย่างหนึ่งที่มิได้กำหนดแยกประเภทไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ในฐานะผู้ว่าจ้างได้แสดงเจตนาจะไม่ว่าจ้างโจทก์ทั้งห้าอีกต่อไป ทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทั้งห้าทำหน้าที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมโดยให้คำปรึกษาแก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 หลังจากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 แสดงเจตนาเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้า พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าทั้งสองฝ่ายแสดงเจตนาเลิกสัญญาต่างตอบแทนระหว่างกันโดยปริยาย สัญญาต่างตอบแทนระหว่างโจทก์ทั้งห้ากับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จึงเลิกกันโดยปริยายแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม แต่หากระทบกระทั่งถึงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรสามและวรรคท้าย เมื่อโจทก์ทั้งห้าไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา หากแต่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จึงต้องใช้เงินตามควรค่าแห่งการงานอันโจทก์ทั้งห้าได้กระทำและชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ทั้งห้าเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้น เมื่อไม่ปรากฏว่ามีการตกลงว่าจ้างกันเป็นระยะเวลานานเท่าใด เห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งห้าสำหรับการทำงานในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ที่โจทก์ทั้งห้ายังไม่ได้รับค่าจ้างและเงินโบนัสเฉลี่ยต่อปีโดยกำหนดให้ตามสัดส่วนที่โจทก์ทั้งห้าทำงานให้แก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2560 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยซึ่งเป็นจำนวนที่เหมาะสมแล้ว ส่วนจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ทั้งห้า อีกทั้งไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ ต่อกัน จำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งห้า ส่วนข้อฎีกาอื่นของโจทก์ทั้งห้าเป็นข้อปลีกย่อยซึ่งไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่จำต้องวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งห้าเป็นฝ่ายผิดสัญญานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งห้าฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 3,300,000 บาท ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 2,200,000 บาท ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 3 จำนวน 6,600,000 บาท ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 5 จำนวน 5,500,000 บาท ให้จำเลยที่ 3 ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 5,500,000 บาท และให้จำเลยที่ 4 ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 4 จำนวน 6,600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวทุกจำนวน นับแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้ตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งตราขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ที่แก้ไขใหม่ บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ทั้งห้าขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ ![]() |