ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ ติดต่อเรา โทร. 085-9604258 • อำนาจปกครองบุตร • ศาลพิจารณาอำนาจปกครองบุตร • สวัสดิภาพและประโยชน์สูงสุดของบุตร • การเพิกถอนอำนาจปกครองบุตร • ข้อพิพาทสิทธิ์เลี้ยงดูบุตร • บิดามารดาแยกทางกัน • กฎหมายเกี่ยวกับอำนาจปกครองบุตร • คำพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับบุตร • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1566 • การจดทะเบียนรับรองบุตร หลักเกณฑ์ที่ศาลใช้พิจารณาในการมอบอำนาจปกครองบุตรเมื่อบิดามารดาไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ โดยศาลจะพิจารณาสวัสดิภาพและประโยชน์สูงสุดของบุตรเป็นสำคัญ ปัจจัยที่นำมาพิจารณาได้แก่: 1.อายุของบุตร: บุตรที่อ่อนวัยมักให้อยู่กับมารดา แต่หากมารดามีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ศาลอาจให้บุตรอยู่กับบิดา 2.ความต่อเนื่องในการเลี้ยงดู: หากบุตรอยู่กับฝ่ายใดแล้ว ศาลมักให้บุตรอยู่กับฝ่ายนั้นต่อไป เพื่อป้องกันผลกระทบต่อจิตใจของบุตร 3.ความประพฤติของบิดามารดา: ฝ่ายที่มีความประพฤติดีและเป็นแบบอย่างที่ดีจะมีโอกาสได้รับอำนาจปกครองบุตรมากกว่า 4.การไม่แยกพี่น้อง: ศาลมักไม่แยกพี่น้องออกจากกัน เว้นแต่มีเหตุผลพิเศษ 5.ความต้องการของบุตร: ความประสงค์ของบุตรที่มีวุฒิภาวะพอสมควรจะถูกนำมาพิจารณา 6.ฐานะและความสามารถในการเลี้ยงดู: ความสามารถในการจัดหาที่พักอาศัย อาหาร การศึกษา และการรักษาพยาบาลจะถูกพิจารณา แต่หากฝ่ายนั้นมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ศาลอาจไม่ให้อำนาจปกครอง 7.ความรักและความผูกพัน: ความสัมพันธ์ทางจิตใจระหว่างบิดามารดากับบุตรจะถูกนำมาพิจารณา *การจัดการสิทธิ์เลี้ยงดูบุตรเมื่อบิดามารดาแยกทางกัน โดยแบ่งเป็น 3 กรณีหลัก: 1.บิดามารดาจดทะเบียนสมรสและหย่าหลังมีบุตร: ต้องตกลงว่าใครจะเป็นผู้เลี้ยงดูบุตรหลัก หรือร่วมกันเลี้ยงดู หากตกลงไม่ได้ ศาลจะตัดสิน โดยคำนึงถึงความผาสุกและประโยชน์ของบุตรเป็นสำคัญ 2.บิดามารดาไม่ได้จดทะเบียนสมรสขณะมีบุตร: สิทธิ์เลี้ยงดูจะเป็นของมารดาเพียงผู้เดียว หากบิดาต้องการสิทธิ์ ต้องจดทะเบียนรับรองบุตรหรือจดทะเบียนสมรสภายหลัง 3.บิดามารดาไม่ได้จดทะเบียนสมรสและบิดาไม่รับรองบุตร: มารดามีสิทธิ์เลี้ยงดูบุตรแต่เพียงผู้เดียว นอกจากนี้ บิดามารดาที่ไม่มีสิทธิ์เลี้ยงดูยังมีสิทธิ์ติดต่อพบปะบุตรตามความเหมาะสมตามกฎหมาย **บิดาและมารดามีสิทธิ์เท่าเทียมกันในการปกครองบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ (อายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์) กรณีที่อำนาจปกครองอาจอยู่กับบิดาหรือมารดาเพียงฝ่ายเดียวตามมาตรา 1566 ได้แก่: 1.มารดาหรือบิดาเสียชีวิต: ฝ่ายที่ยังมีชีวิตอยู่จะมีอำนาจปกครองบุตรเพียงผู้เดียว 2.ไม่ทราบสถานะของมารดาหรือบิดา: หากไม่แน่ชัดว่ามารดาหรือบิดายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เช่น หายสาบสูญ ฝ่ายที่ยังอยู่จะมีอำนาจปกครองบุตร 3.มารดาหรือบิดาถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ: อีกฝ่ายจะมีอำนาจปกครองบุตรเพียงผู้เดียว 4.มารดาหรือบิดาต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเนื่องจากจิตฟั่นเฟือน: อีกฝ่ายจะมีอำนาจปกครองบุตร 5.ศาลสั่งให้อำนาจปกครองอยู่กับบิดาหรือมารดา: ศาลอาจพิจารณาให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอำนาจปกครองบุตรเพียงผู้เดียว โดยคำนึงถึงความผาสุกและประโยชน์ของบุตรเป็นสำคัญ 6.บิดาและมารดาตกลงกันตามที่กฎหมายบัญญัติ: หากทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ อำนาจปกครองอาจอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หากบิดาหรือมารดาประสงค์จะขออำนาจปกครองบุตรเพียงผู้เดียว สามารถยื่นคำร้องต่อศาลตามมาตรา 1582 โดยต้องมีเหตุผลที่สมควร เช่น อีกฝ่ายเป็นคนไร้ความสามารถ หรือปฏิบัติต่อบุตรโดยมิชอบ นอกจากนี้ การจดทะเบียนรับรองบุตรเพื่อให้บุตรเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดา สามารถทำได้ 3 วิธีตามมาตรา 1547: •บิดามารดาจดทะเบียนสมรสกัน: บุตรที่เกิดก่อนการสมรสจะกลายเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดา •บิดายื่นคำร้องขอจดทะเบียนรับรองบุตร: ต้องได้รับความยินยอมจากมารดาและบุตร •ร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งรับรองบุตร: ในกรณีที่มารดาหรือบุตรไม่ให้ความยินยอม การมีชื่อบิดาในสูติบัตรของบุตรไม่ได้หมายความว่าบุตรเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดา หากบิดามารดาไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน หากบิดาต้องการมีอำนาจปกครองบุตรหลังจากจดทะเบียนรับรองบุตร ต้องยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขออำนาจปกครองบุตรเพิ่มเติม ในกรณีที่บุตรยังไม่สามารถให้ความยินยอมได้ เช่น อายุยังน้อย บิดาอาจต้องร้องขอต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งให้สามารถจดทะเบียนรับรองบุตรได้ หากศาลมีคำสั่งให้บิดาจดทะเบียนรับรองบุตรแล้ว มารดาหรือบุตรยังสามารถคัดค้านการที่บิดาจะมีอำนาจปกครองบุตรได้ โดยแจ้งต่อนายทะเบียนว่าบิดาไม่สมควรใช้อำนาจปกครอง **การใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์และค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรหลังการหย่าร้าง โดยสรุปประเด็นสำคัญดังนี้: 1.การกำหนดผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรหลังหย่า: เมื่อบิดามารดาหย่าร้างกัน สามารถตกลงกันได้ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร หากตกลงไม่ได้ ศาลจะเป็นผู้ชี้ขาด โดยคำนึงถึงความผาสุกและประโยชน์ของบุตรเป็นสำคัญ 2.ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร: บิดามารดามีหน้าที่ร่วมกันในการอุปการะเลี้ยงดูบุตรจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ หากฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ อีกฝ่ายสามารถฟ้องร้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูได้ 3.การทำสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์: การทำสัญญาที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ เช่น การตกลงเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดู ต้องได้รับอนุญาตจากศาล มิฉะนั้นสัญญานั้นจะเป็นโมฆะ 4.การเพิกถอนอำนาจปกครอง: หากผู้ใช้อำนาจปกครองไม่ปฏิบัติหน้าที่หรือประพฤติตนไม่เหมาะสม อีกฝ่ายสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอเพิกถอนอำนาจปกครองและขอเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองแทนได้ **"อำนาจปกครองบุตร" ซึ่งเป็นสิทธิและหน้าที่ของบิดามารดาในการดูแลบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ (อายุต่ำกว่า 20 ปี) โดยมีรายละเอียดดังนี้: 1.อำนาจปกครองร่วมกัน: บิดามารดาที่จดทะเบียนสมรสมีอำนาจปกครองบุตรร่วมกัน ไม่สามารถสละหรือโอนอำนาจนี้ให้ผู้อื่นได้ ยกเว้นในกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิตหรือหย่าร้าง 2.หน้าที่ของบิดามารดา: ประกอบด้วยการกำหนดที่อยู่ของบุตร ทำโทษบุตรตามสมควร ให้บุตรทำงานตามความสามารถ และเรียกบุตรคืนจากบุคคลที่กักขังโดยมิชอบ 3.กรณีอำนาจปกครองอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง: เกิดขึ้นเมื่ออีกฝ่ายเสียชีวิต หายสาบสูญ ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ หรือเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเนื่องจากจิตฟั่นเฟือน 4.บทบาทของศาล: ในกรณีที่บิดามารดาหย่าร้าง ศาลจะพิจารณาให้อำนาจปกครองแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยคำนึงถึงความสุขและประโยชน์ของบุตรเป็นสำคัญ นอกจากนี้ บิดามารดายังมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่บุตรตามสมควร การมอบบุตรให้ญาติพี่น้องดูแลสามารถทำได้ แต่บิดามารดายังคงมีหน้าที่อุปการะบุตรอยู่ หากบิดามารดาละเลยหน้าที่ เช่น ทำร้าย กักขัง หรือทอดทิ้งบุตร จะมีความผิดตามกฎหมายอาญาและพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ***ศาลฎีกาได้วินิจฉัยคดีเกี่ยวกับอำนาจปกครองบุตร โดยคำนึงถึงสวัสดิภาพและประโยชน์สูงสุดของบุตรเป็นสำคัญ ดังนี้: 1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7407/2556: กรณีบิดามารดาไม่ได้จดทะเบียนสมรสและบิดาไม่ได้รับรองบุตร ศาลวินิจฉัยว่ามารดามีอำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว แม้บุตรต้องการอยู่กับบิดา ศาลไม่อาจสั่งให้บุตรอยู่กับบิดาได้ ฎีกาย่อ: • กฎหมายที่เกี่ยวข้อง: พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวฯ และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดให้ศาลใช้ดุลพินิจพิจารณาสวัสดิภาพและประโยชน์สูงสุดของผู้เยาว์ แต่ไม่มีบทบัญญัติที่กำหนดให้ฟังความประสงค์ของผู้เยาว์เป็นหลักสำคัญในการตัดสินคดีอำนาจปกครองบุตร • สถานะของคู่ความ: กรณีโจทก์และจำเลยไม่ได้จดทะเบียนสมรส และจำเลยไม่ได้จดทะเบียนรับรองผู้เยาว์เป็นบุตร ศาลจึงวินิจฉัยว่าจำเลยไม่มีอำนาจปกครองผู้เยาว์ ส่วนโจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์เพียงผู้เดียว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 • ข้อกฎหมายสำคัญ: ผู้ใช้อำนาจปกครองไม่สามารถสละอำนาจปกครองให้ผู้อื่นได้ และอำนาจปกครองบุตรตกอยู่เฉพาะกับบิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น ตามมาตรา 1566 (5) และ (6) • คำสั่งศาลที่ไม่ถูกต้อง: การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้เยาว์ไปอยู่กับปู่และย่าในขณะที่โจทก์ยังมีชีวิตและไม่ได้ถูกถอนอำนาจปกครอง ถือเป็นการขัดต่อกฎหมายตามมาตรา 1585 2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7547/2561 (ประชุมใหญ่): กรณีการเปลี่ยนชื่อสกุลของบุตรผู้เยาว์ ศาลวินิจฉัยว่าผู้ใช้อำนาจปกครองมีสิทธิในการกำหนดที่อยู่และทำโทษบุตรตามสมควร แต่การเปลี่ยนชื่อสกุลต้องได้รับความยินยอมจากทั้งบิดาและมารดา ฎีกาย่อ: • ข้อพิพาท: โจทก์ร้องขอให้จำเลยเปลี่ยนชื่อสกุลบุตรผู้เยาว์กลับมาใช้ชื่อสกุลของโจทก์ แต่จำเลยคัดค้าน ศาลพิจารณาว่าการเปลี่ยนชื่อสกุลของจำเลยโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์เป็นการกระทำที่ไม่ชอบ • อำนาจของศาล: โจทก์ขอให้เพิ่มชื่อสกุลของตนเป็นชื่อรองของบุตรผู้เยาว์ ซึ่งไม่ใช่กรณีที่บุตรผู้เยาว์ร้องขอเปลี่ยนชื่อตัวหรือชื่อรองเอง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่ากรณีนี้ไม่อยู่ภายใต้ข้อกำหนดของ พ.ร.บ.ชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 มาตรา 6 วรรคสอง และมาตรา 16 • ผลการพิจารณา: ศาลมีอำนาจสั่งเพิ่มชื่อสกุลของโจทก์เป็นชื่อรองของบุตรผู้เยาว์ได้ 3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 515/2560: กรณีการถอนอำนาจปกครองบุตรบางส่วนและการตั้งผู้ปกครอง ศาลวินิจฉัยโดยคำนึงถึงสวัสดิภาพและประโยชน์สูงสุดของบุตรเป็นสำคัญ ฎีกาย่อ: ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิจารณากรณีที่โจทก์ทั้งสอง (บิดามารดาของผู้เยาว์) ร้องขอถอนอำนาจปกครองของจำเลยทั้งสอง (อาของโจทก์และสามี) โดยประเด็นหลักคือความเหมาะสมในการดูแลผู้เยาว์และความผาสุกของผู้เยาว์เอง สรุปสาระสำคัญดังนี้: 1.ข้อเท็จจริงเบื้องต้น: oโจทก์มอบผู้เยาว์ให้ย่าเลี้ยงดูตั้งแต่อายุ 45 วัน แต่ย่ามอบให้จำเลยทั้งสองดูแลตั้งแต่นั้นมา oจำเลยทั้งสองเลี้ยงดูผู้เยาว์อย่างดี ขณะที่โจทก์ไม่ได้มาเยี่ยมและไม่ช่วยค่าเลี้ยงดู 2.ผลกระทบต่อผู้เยาว์: oการที่โจทก์พยายามแย่งตัวผู้เยาว์ทำให้เกิดผลกระทบทางจิตใจ ผู้เยาว์แสดงอาการหวาดกลัวและเครียด ซึ่งจิตแพทย์รายงานว่าอาจพัฒนาไปสู่โรคทางจิตเวช 3.คำวินิจฉัยศาล: oการกระทำของโจทก์ทั้งสองถือเป็นการใช้อำนาจปกครองโดยมิชอบ oศาลจึงสั่งถอนอำนาจปกครองของโจทก์ในเรื่องการกำหนดที่อยู่อาศัยของผู้เยาว์ และมอบหมายให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ปกครองในส่วนนี้ โดยคำนึงถึงความผาสุกของผู้เยาว์ 4.ผลคำพิพากษา: oศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์บางส่วน โดยพิจารณาถึงผลประโยชน์และสภาพจิตใจของผู้เยาว์เป็นสำคัญ บทสรุป: ศาลเน้นย้ำความสำคัญของความผาสุกของผู้เยาว์ในการพิจารณาคดีอำนาจปกครองและใช้ดุลพินิจให้ผู้เยาว์อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม. 4.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7547/2561: กรณีสิทธิของผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร ศาลวินิจฉัยว่าผู้ใช้อำนาจปกครองมีสิทธิกำหนดที่อยู่ของบุตร ทำโทษบุตรตามสมควร ให้บุตรทำการงานตามความสามารถ และเรียกบุตรคืนจากบุคคลอื่นที่กักบุตรโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาย่อ: • ประเด็นข้อพิพาท: ศาลต้องวินิจฉัยว่าการเปลี่ยนชื่อสกุลของบุตรผู้เยาว์จากชื่อสกุลของโจทก์ (บิดา) ไปใช้ชื่อสกุลของจำเลย (มารดา) โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์นั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และการใส่ชื่อสกุลของโจทก์เป็นชื่อรองของบุตรผู้เยาว์เกินคำขอหรือไม่ • ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: •ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 การเปลี่ยนชื่อสกุลบุตรผู้เยาว์ต้องได้รับความยินยอมจากทั้งบิดาและมารดา •พ.ร.บ.ชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 มาตรา 6 วรรคสอง ระบุว่าการเปลี่ยนชื่อหรือนามสกุลต้องยื่นคำขอต่อนายทะเบียน และหากมีการคัดค้านจากบิดาหรือมารดา เจ้าหน้าที่จะไม่ดำเนินการ • คำวินิจฉัยของศาล: •การที่จำเลยเปลี่ยนชื่อสกุลของบุตรผู้เยาว์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ถือเป็นการกระทำที่ไม่ชอบ •ศาลมีอำนาจเพิ่มชื่อสกุลของโจทก์เป็นชื่อรองของบุตรผู้เยาว์เพื่อความผาสุกและรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างบิดาและบุตร •การใส่ชื่อสกุลของโจทก์เป็นชื่อรองไม่ถือเป็นเรื่องนอกฟ้องหรือเกินคำขอ • ข้อสรุป: ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลล่างที่ให้เพิ่มชื่อสกุลของโจทก์เป็นชื่อรองของบุตรผู้เยาว์ และฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น. 5.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1464/2515: กรณีการฟ้องเพิกถอนอำนาจปกครองบุตร ศาลวินิจฉัยว่าหากผู้ใช้อำนาจปกครองประพฤติตนไม่สมควรหรือพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไป ศาลมีอำนาจสั่งให้บิดาหรือมารดาเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว โดยคำนึงถึงประโยชน์และความผาสุกของบุตรเป็นสำคัญ ฎีกาย่อ: ศาลฎีกาปรึกษาเห็นว่า แม้โจทก์จะเคยฟ้องต่อศาลขอให้เพิกถอนอำนาจปกครองบุตร และศาลได้พิพากษาตามยอมให้จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กชายเกรียงศักดิ์ คดีถึงที่สุดไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อต่อมาปรากฏว่ามีการใช้อำนาจปกครองเกี่ยวกับตัวเด็กโดยมิชอบ หรือจัดการทรัพย์สินของเด็กในทางที่ผิดจนอาจเป็นภัย ศาลก็มีอำนาจสั่งถอนอำนาจปกครอง หรืออำนาจจัดการทรัพย์สินเสียบางส่วนหรือทั้งหมดซึ่งในกรณีเหล่านี้ศาลจะสั่งเองหรือผู้มีสิทธิร้องขอก็ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1552 โดยจะร้องขอมาในคดีเดิม ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 797/2499 นางปาน มารดาและผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กหญิงจำนวน กับพวก ผู้ร้อง นายสุบิน ผู้คัดค้าน ที่ศาลอุทธรณ์อ้าง หรือจะฟ้องเป็นคดีมีข้อพิพาทเช่นที่โจทก์ฟ้องนี้ ก็ย่อมมีอำนาจทำได้ และไม่เป็นการฟ้องซ้ำ เพราะเหตุที่โจทก์กล่าวในฟ้องเป็นเหตุที่เกิดขึ้นใหม่ต่างกันคนละประเด็นกันในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 140/2511
• การฟ้องคดีปกครองบุตร
• สิทธิ์ปกครองบุตรฝ่ายเดียว
• กฎหมายปกครองบุตรไทย
• เหตุผลขอปกครองบุตรฝ่ายเดียว
• การพิจารณาคดีปกครองบุตร
• อำนาจปกครองบุตรหลังหย่า
• ศาลตัดสินปกครองบุตร
บทความเรื่องการฟ้องคดีเพื่อขอเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียวเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและต้องพิจารณาปัจจัยหลายอย่างในทางกฎหมายและความเหมาะสมของผู้ปกครองแต่ละฝ่าย ต่อไปนี้เป็นการอธิบายบทความในเรื่องดังกล่าว พร้อมอ้างอิงกฎหมายที่เกี่ยวข้องและเหตุผลที่ศาลอาจนำมาพิจารณา
1. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอำนาจปกครองบุตร
•ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1566: กล่าวถึงอำนาจปกครองบุตรโดยบิดาและมารดา ซึ่งมีหน้าที่ร่วมกันในการดูแลบุตร ในกรณีที่บิดามารดาหย่าขาดจากกัน หรือมีปัญหาทางกฎหมาย ฝ่ายหนึ่งสามารถร้องขอศาลเพื่อให้ตนเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว
•มาตรา 1520: ระบุถึงการใช้ดุลพินิจของศาลในการกำหนดอำนาจปกครองว่าใครควรเป็นผู้ปกครองของบุตรแต่เพียงผู้เดียวที่เหมาะสม โดยมีการคำนึงถึงสวัสดิภาพและประโยชน์สูงสุดของบุตรเป็นสำคัญ
2. เหตุผลที่บิดาหรือมารดาอ้างเพื่อขอเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว
•การดูแลเอาใจใส่บุตร: ฝ่ายที่ยื่นฟ้องอาจอ้างว่าตนมีความสามารถในการดูแลเอาใจใส่บุตรได้ดีกว่า อาทิ การให้การศึกษา การดูแลสุขภาพ และการดูแลในชีวิตประจำวัน
•ความสามารถทางการเงิน: ฝ่ายที่ยื่นฟ้องอาจแสดงให้เห็นว่าตนมีความมั่นคงทางการเงินที่เพียงพอที่จะดูแลบุตรได้ดีกว่าอีกฝ่าย
•สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย: อ้างถึงสภาพแวดล้อมของบ้านที่ปลอดภัยและเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของบุตร
•ประวัติการเลี้ยงดู: หากฝ่ายหนึ่งมีประวัติในการละเลยหรือทำร้ายบุตร ศาลอาจพิจารณาให้สิทธิ์อำนาจปกครองแก่ฝ่ายที่มีประวัติการเลี้ยงดูที่ดีกว่า
3. เหตุผลที่ศาลอาจตัดสินให้อีกฝ่ายชนะคดี
ศาลจะพิจารณาสวัสดิภาพและความปลอดภัยของบุตรเป็นหลัก โดยอาจมีการอ้างอิงจาก:
•ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ: เช่น นักจิตวิทยาเด็ก หรือรายงานสังคมสงเคราะห์ที่ประเมินความเหมาะสมของผู้ปกครองแต่ละฝ่าย หรือรายงานของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนเป็นต้น
•ความสัมพันธ์ของบุตรกับผู้ปกครองแต่ละฝ่าย: ศาลจะพิจารณาความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างบุตรกับบิดาหรือมารดา โดยคำนึงว่าฝ่ายใดสามารถส่งเสริมพัฒนาการที่ดีของบุตรได้มากกว่า
•สภาพจิตใจของผู้ปกครอง: ความมั่นคงทางจิตใจและอารมณ์ของผู้ปกครองที่ยื่นฟ้อง หรือผู้ถูกฟ้อง จะเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณา
4. ตัวอย่างการพิจารณาคดีและคำพิพากษาศาล
ตัวอย่างคดีศาลอาจพิจารณาจาก:
•พฤติกรรมการเลี้ยงดู: หากผู้ฟ้องมีประวัติการเลี้ยงดูที่ดีและส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของบุตร ศาลอาจให้สิทธิ์เป็นผู้ปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว
•การละเมิดสิทธิ์บุตร: หากผู้ปกครองอีกฝ่ายมีประวัติการละเมิดหรือทำร้ายร่างกายหรือจิตใจของบุตร ศาลจะพิจารณาให้สิทธิ์แก่ฝ่ายที่ปกป้องบุตรได้ดีที่สุด
5. การอธิบายบทกฎหมาย
•มาตรา 1566: เน้นว่าบิดามารดามีหน้าที่ร่วมกันในการดูแลบุตร เว้นแต่ศาลจะมีคำสั่งตามที่เห็นสมควรว่าฝ่ายใดเหมาะสมในการเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองแต่เพียงผู้เดียว
•มาตรา 1520: ให้ศาลมีอำนาจในการพิจารณากำหนดผู้ปกครองบุตรเพื่อประโยชน์สูงสุดของบุตรผู้เยาว์
สรุป การฟ้องคดีเพื่อขอเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียวต้องอาศัยเหตุผลและหลักฐานที่ชัดเจนว่าตนเป็นฝ่ายที่เหมาะสมที่สุดในการปกครองและดูแลบุตร โดยที่ศาลจะตัดสินโดยคำนึงถึงสวัสดิภาพและประโยชน์สูงสุดของบุตรเป็นสำคัญ.
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกันและให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง เมื่อจำเลยเป็นผู้เหมาะสมที่จะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ยิ่งกว่าโจทก์ แม้มิได้ฟ้องแย้ง ศาลก็มีอำนาจชี้ขาดให้จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียวหลังการหย่าได้
โจทก์กับจำเลยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน จำเลยจึงเป็นเพียงบิดามิชอบด้วยกฏหมายที่ไม่มีอำนาจปกครองบุตร ส่วนโจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีบทกฎหมายใดที่บัญญัติให้สิทธิผู้ใช้อำนาจปกครองสละการใช้อำนาจปกครองให้ผู้อื่นได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งกำหนดให้ผู้เยาว์ไปอยู่กับปู่และย่าซึ่งเป็นบิดาของจำเลย ทั้งที่โจทก์ยังมีชีวิตและไม่ได้ถูกถอนอำนาจปกครองจึงเป็นการไม่ถูกต้องด้วยข้อกฎหมาย
โจทก์กับจำเลยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน จำเลยจึงเป็นเพียงบิดามิชอบด้วยกฏหมายที่ไม่มีอำนาจปกครองบุตร ส่วนโจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีบทกฎหมายใดที่บัญญัติให้สิทธิผู้ใช้อำนาจปกครองสละการใช้อำนาจปกครองให้ผู้อื่นได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งกำหนดให้ผู้เยาว์ไปอยู่กับปู่และย่าซึ่งเป็นบิดาของจำเลย ทั้งที่โจทก์ยังมีชีวิตและไม่ได้ถูกถอนอำนาจปกครองจึงเป็นการไม่ถูกต้องด้วยข้อกฎหมาย
โจทก์และจำเลยอยู่กินฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสกัน มีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ เด็กหญิง ว. โจทก์จึงมีอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียวย่อมมีสิทธิกำหนดที่อยู่ของบุตร และเรียกบุตรคืนจากบุคคลอื่น ซึ่งกักบุตรไว้โดยมิชอบด้วยกฎหมายได้ ตาม ป.พ.พ. 1567 (1) และ (4)
โจทก์ฟ้องหย่าจำเลย ขอให้เพิกถอนอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองของจำเลย และให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองฝ่ายเดียว จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่ได้ทำการเป็นปรปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา โจทก์ไม่อาจฟ้องหย่าได้ จำเลยยังประสงค์อยู่กินฉันสามีภริยากับโจทก์ และแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องแย้งว่า หากศาลพิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดกัน ขอให้บุตรทั้งสองอยู่ในอุปการะเลี้ยงดูของจำเลย ให้จำเลยมีอำนาจปกครอง ให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองนั้น แสดงให้เห็นถึงเจตนาแท้จริงตามฟ้องแย้งจำเลยว่า ไม่ประสงค์หย่ากับโจทก์และยืนยันว่าโจทก์ไม่ปฏิบัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 1564 วรรคหนึ่ง โจทก์ในฐานะบิดามารดามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ และปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าวไม่ว่าโจทก์จำเลยยังคงเป็นสามีภริยาหรือหย่าขาดกันแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยและขอเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองและอุปการะเลี้ยงดูเด็กชาย ม. จำเลยให้การว่า โจทก์ว่าจ้างจำเลยให้จดทะเบียนสมรส และใช้วิทยาการทางการแพทย์โดยการผสมเชื้ออสุจิเพื่อตั้งครรภ์เด็กชาย ม. ให้โจทก์ โดยไม่เคยได้ใช้ชีวิตดังสามีภริยาเลย
ในคดีฟ้องหย่ากันนั้นแม้โจทก์จะไม่ได้นำสืบเรื่องอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดว่าจะให้ฝ่ายใดเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรคนใดและอีกฝ่ายจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูได้ ตามข้อเท็จจริงคดีนี้คือผู้เยาว์อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของโจทก์มาตลอด เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้การว่าจำเลยที่ 1 ประสงค์จะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ ศาลให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์จึงชอบแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากกัน ให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียวและให้แบ่งสินสมรส จำเลยให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอให้พิพากษาให้จำเลยกับโจทก์หย่าขาดจากกันและให้จำเลยเป็นผู้มีอำนาจปกครองบุตรเพียงผู้เดียว กับให้โจทก์จ่ายค่าการศึกษาของบุตรผู้เยาว์จนกว่าบุตรผู้เยาว์จะมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ หรือจนกว่าบุตรผู้เยาว์จะเรียนจบในระดับชั้นสูงสุด (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1490/2558)
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษากลับ ให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากกัน และให้บุตรผู้เยาว์ทั้งสองอยู่ในความดูแลเลี้ยงดูของจำเลยแต่ฝ่ายเดียว โดยให้โจทก์จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองร่วมกันและให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองให้แก่จำเลยเป็นเงินคนละ 3,000 บาทต่อเดือน นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนบุตรผู้เยาว์ทั้งสองมีอายุ 15 ปี หลังจากนั้นให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูเป็นเงินคนละ 4,500 บาทต่อเดือน จนกว่าบุตรผู้เยาว์ทั้งสองจะบรรลุนิติภาวะ คำขอให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่าขาดจากโจทก์ หากจำเลยไม่ยอมปฏิบัติก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
อำนาจศาลที่จะสั่งให้บิดาหรือมารดาเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียวได้ หากผู้ใช้อำนาจปกครองประพฤติตนไม่สมควรหรือภายหลังพฤติการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป โดยคำนึงถึงประโยชน์และความผาสุกของผู้เยาว์เป็นสำคัญ การที่จำเลยยังคงเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ร่วมกับโจทก์ต่อไปจะเป็นผลร้ายต่อสุขภาพจิตของบุตรผู้เยาว์ แต่หากให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรเพียงผู้เดียวจะเกิดความผาสุกและเป็นประโยชน์แก่บุตรผู้เยาว์มากกว่า ศาลย่อมมีคำพิพากษาให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว กรณีไม่ถือว่าเป็นการสั่งเพิกถอนอำนาจปกครองของผู้ใช้อำนาจปกครองดังที่จำเลยฎีกา อย่างไรก็ตาม จำเลยก็ยังมีโอกาสไปเยี่ยมเยียนบุตรผู้เยาว์ได้ตามสมควร โดยความสมัครใจของบุตรผู้เยาว์ ซึ่งหากภายหลังมีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไป ศาลก็อาจมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงการใช้อำนาจปกครองได้โดยคำนึงถึงความผาสุกและประโยชน์ของผู้เยาว์
การที่บิดารับราชการครูย่อมไม่สะดวกในการเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์เพราะบิดามีเวลาเฉพาะวันหยุดเสาร์และวันอาทิตย์ ส่วนมารดาอยู่ใกล้ชิดสนิทสนมกับบุตรผู้เยาว์มาตั้งแต่คลอด ดังนั้นบุตรผู้เยาว์อยู่กับมารดาย่อมจะได้รับความอบอุ่นมากกว่าอยู่กับบิดา แม้ว่าศาลกำหนดให้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์จะตกแก่มารดาก็ตาม แต่กฎหมายรับรองให้บิดามีสิทธิจะติดต่อกับบุตรผู้เยาว์ได้ตามสมควรแล้วแต่พฤติการณ์ ห้ามมารดากีดกันไม่ให้บิดาพบเยี่ยมเยียมบุตร
การที่จำเลย(บิดา)ได้เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ เป็นการได้มาโดยความยินยอมในกรณีหย่า อันเป็นการได้อำนาจปกครองมาโดยข้อสัญญา การที่โจทก์(มารดา)ฟ้องขอให้เพิกถอนอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ โดยอ้างเหตุแห่งการฟ้องร้องว่าจำเลย(บิดา)ปล่อยปละละเลยไม่ทำหน้าที่ของผู้ใช้อำนาจปกครอง ดังนั้น สถานที่ที่ได้มีการจดทะเบียนหย่าเป็นสถานที่ที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาล
หลังจากโจทก์และจำเลยแยกกันอยู่บุตรผู้เยาว์อยู่กับโจทก์ตลอดมา และโจทก์ประสงค์จะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์เพียงผู้เดียวจำเลยรับราชการถือว่ามีความสามารถเพียงพอที่จะให้ความช่วยเหลือค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ได้พิพากษาให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่ผู้เดียว และกำหนดให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์เดือนละ 3,000 บาท
อำนาจปกครองบุตรคืออะไร อำนาจปกครองบุตร เป็นสิทธิและหน้าที่ของบิดามารดาในการดูแลบุตรตามกฎหมาย โดยมุ่งเน้นไปที่การคุ้มครองและดูแลสวัสดิภาพของบุตรทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ การศึกษา และทรัพย์สินของบุตร รวมถึงการจัดการด้านอื่น ๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของบุตร อำนาจปกครองบุตรถือเป็นเรื่องสำคัญ ภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยเฉพาะมาตรา 1564 ถึง 1574 ซึ่งกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ดังกล่าว อำนาจปกครองบุตรตามกฎหมายมีเรื่องเกี่ยวกับอะไรบ้าง ตอบ อำนาจปกครองบุตรแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่: ข้อ 1.เรื่องการดูแลบุตร (ตามมาตรา 1564 วรรคแรก) หน้าที่ของบิดามารดาคือ บิดามารดามีหน้าที่ดูแลและคุ้มครองบุตรให้มีสุขภาพดีทั้งกายและใจ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยและความเหมาะสมกับวัยของบุตร เช่น การเลือกโรงเรียน การจัดสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย เป็นต้น ข้อ 2. เรื่องการจัดการทรัพย์สินของบุตร (ตามมาตรา 1564 วรรคสอง) เรื่องทรัพย์สินของบุตรนั้น บิดามารดามีอำนาจจัดการทรัพย์สินของบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ โดยต้องจัดการเพื่อประโยชน์ของบุตรเป็นสำคัญ หากเป็นการจัดการทรัพย์สินในลักษณะที่เกินธรรมดา อาจต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อน (ตามมาตรา 1574) ข้อ 3. เรื่องการเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรในทางกฎหมาย บิดามารดาสามารถดำเนินการแทนบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย เช่น การลงนามในสัญญา การยื่นคำร้องต่อศาลในนามของบุตร เป็นต้น ใครมีอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ ข้อ 1. กรณีบิดามารดาสมรสกัน หากบิดามารดาสมรสกันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งสองฝ่ายจะมีอำนาจปกครองบุตรร่วมกัน (ตามมาตรา 1566) ข้อ 2. กรณีหย่าร้างหรือแยกกันอยู่ หากบิดามารดาหย่าร้างหรือแยกกันอยู่ ศาลอาจพิจารณาให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว หรือให้ทั้งสองฝ่ายมีอำนาจปกครองร่วมกัน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของบุตรเป็นหลัก (ตามมาตรา 1520) ข้อ 3. กรณีบุตรเกิดนอกสมรส หากบุตรเกิดจากบิดามารดาที่ไม่ได้สมรสกัน มารดาจะมีอำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว เว้นแต่บิดาจะจดทะเบียนรับรองบุตรหรือศาลมีคำสั่งให้บิดามีอำนาจปกครองร่วมกัน กรณีศาลพิจารณาเรื่องอำนาจปกครองอย่างไร ตอบ ศาลจะพิจารณาเรื่องอำนาจปกครองบุตรโดยคำนึงถึงเรื่องดังต่อไปนี้: ข้อ 1. ความปลอดภัยและความเป็นอยู่ของบุตร ข้อ 2. ความสามารถของบิดาหรือมารดาในการดูแลบุตร ข้อ 3. ความสัมพันธ์ระหว่างบุตรกับบิดาหรือมารดา ข้อ 4. ความต้องการของบุตร (ในกรณีที่บุตรมีอายุมากพอที่จะตัดสินใจได้) บทลงโทษกรณีไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ดูแลบุตรมีอะไรบ้าง ตอบ หากบิดามารดาผู้มีอำนาจปกครองบุตรละเลยหน้าที่ หรือปฏิบัติในลักษณะที่ไม่เหมาะสม เช่น การล่วงละเมิด การปล่อยปละละเลย หรือจัดการทรัพย์สินของบุตรโดยทุจริต ศาลสามารถพิจารณาถอดถอนหรือจำกัดอำนาจปกครองบุตรได้ (ตามมาตรา 1574) สรุปคือ
อำนาจปกครองบุตรคือหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดให้บิดามารดาดูแลบุตรอย่างเต็มที่ โดยมีเป้าหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิและประโยชน์ของบุตรเป็นสำคัญ ทั้งในด้านชีวิตประจำวัน ทรัพย์สิน และความเป็นอยู่ของบุตร
|
หน้า 1/1 1 | [Go to top] |