
คำพิพากษาศาลฎีกา 1685/2568 สัญญาประนีประนอม & อายุความ 10 ปี ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการใช้สิทธิบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับการโอนที่ดิน และการวางเงินชำระหนี้แทนคู่สัญญาภายในอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 274–276 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเมื่อโจทก์วางเงินล่าช้ากว่ากำหนด 10 ปี สิทธิในการบังคับคดีจึงขาดไป ทำให้โจทก์ไม่อาจบังคับโอนที่ดินได้
สรุปข้อเท็จจริง • วันที่ 25 มิถุนายน 2555 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ • คู่สัญญาตกลงว่า จำเลยที่ 1 จะซื้อคืนที่ดินจากจำเลยที่ 2 ราคา 570,000 บาท และโอนให้โจทก์ภายใน 15 มกราคม 2556 • หากจำเลยผิดนัด โจทก์มีสิทธิชำระแทนและโอนที่ดินได้ตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา • จำเลยไม่ปฏิบัติตาม โจทก์จึงพยายามชำระแทนเมื่อปี 2566 โดยวางเงินทั้งที่สำนักงานบังคับคดีและต่อศาล แต่เกิน 10 ปีนับแต่กำหนดวันบังคับคดีได้ (16 มกราคม 2556 – 15 มกราคม 2566) • ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยกคำร้อง โจทก์ฎีกา
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา ศาลฎีกาพิเคราะห์ว่า • การวางเงินเพื่อบังคับคดีถือเป็น “การบังคับคดีโดยวิธีอื่น” ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 276 • ต้องอยู่ภายในอายุความบังคับคดี 10 ปี ตามมาตรา 274 วรรคสอง • กรณีนี้นับจากวันที่ 16 มกราคม 2556 สิ้นสุดวันที่ 15 มกราคม 2566 • การที่โจทก์วางเงินในวันที่ 24–27 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นการล่าช้าเกินกำหนด • ดังนั้น โจทก์ไม่มีสิทธิชำระแทนและบังคับโอนที่ดินได้ พิพากษายืน ยกคำร้องของโจทก์
การขยายความประเด็นทางกฎหมาย 1. หลักอายุความบังคับคดี (มาตรา 274) o กำหนดให้คู่ความฝ่ายชนะต้องยื่นบังคับคดีภายใน 10 ปี นับจากวันที่หนี้อาจบังคับได้ o หากเป็นหนี้ที่มีกำหนดในอนาคต ให้นับจากวันที่ครบกำหนดชำระ 2. การบังคับคดีโดยวิธีอื่น (มาตรา 276) o ไม่จำเป็นต้องตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเสมอไป เช่น การวางเงินแทนเพื่อให้คู่กรณีโอนที่ดิน o แต่ก็ยังต้องอยู่ในกรอบเวลา 10 ปี ตามมาตรา 274 เช่นเดียวกัน 3. การตีความสิทธิของโจทก์ในสัญญาประนีประนอม o แม้สัญญาไม่ได้กำหนดระยะเวลาใช้สิทธิซื้อที่ดินแทน แต่กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมีข้อกำหนดชัดเจน o สิทธิของโจทก์ถูกจำกัดด้วยกฎหมาย แม้คู่สัญญาจะไม่ได้ตกลงไว้
ข้อคิดทางกฎหมาย • การบังคับคดีไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ต้องอยู่ภายในกำหนด 10 ปี • สิทธิในสัญญาประนีประนอมยอมความ แม้ไม่กำหนดเวลา ก็ยังถูกจำกัดด้วยกฎหมาย • คู่ความควรดำเนินการบังคับคดีโดยเร็ว เพื่อป้องกันการสิ้นสิทธิจากอายุความ
IRAC Analysis Issue (ประเด็น) โจทก์สามารถวางเงินชำระค่าที่ดินให้จำเลยที่ 2 เพื่อบังคับโอนที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้หรือไม่ เมื่อเกินกำหนด 10 ปีแล้ว Rule (กฎหมายที่ใช้บังคับ) • ป.วิ.พ. มาตรา 274 วรรคสอง: อายุความบังคับคดี 10 ปีนับแต่วันที่หนี้อาจบังคับได้ • ป.วิ.พ. มาตรา 276: การบังคับคดีโดยวิธีอื่น เช่น การวางทรัพย์ Application (การประยุกต์ใช้) • หนี้ในสัญญามีกำหนดชำระ 15 มกราคม 2556 → เริ่มนับอายุความบังคับคดีวันที่ 16 มกราคม 2556 • ครบกำหนด 15 มกราคม 2566 • โจทก์วางเงิน 24–27 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งล่าช้า • แม้จะเป็นการบังคับคดีโดยวิธีอื่น แต่ก็ต้องอยู่ภายใน 10 ปีตามกฎหมาย Conclusion (ข้อสรุป) โจทก์หมดสิทธิในการบังคับคดีโดยการวางเงินเพื่อให้โอนที่ดิน เนื่องจากเกินกำหนดอายุความ 10 ปี
English Summary The Supreme Court Decision No. 1685/2025 concerns enforcement of a compromise agreement regarding land transfer. The Court ruled that even if the creditor seeks to enforce by depositing money instead of seizure (under Section 276 of the Civil Procedure Code), the action must still be made within 10 years as prescribed in Section 274. Since the plaintiff deposited the money after the 10-year period had expired, the right to enforce the judgment had lapsed.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1685/2568
การขอวางเงินชำระค่าที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 เพื่อให้จำเลยที่ 2 โอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นการบังคับคดีโดยวิธีอื่นที่ทำได้โดยไม่ต้องตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 276 วรรคหนึ่ง (2) โจทก์ต้องร้องขอให้มีการบังคับคดีภายในระยะเวลา 10 ปี ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 274
กรณีที่คำพิพากษาตามยอมกำหนดให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้อย่างหนึ่งอย่างใดในอนาคตภายในวันที่ 15 มกราคม 2556 เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผิดนัดไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จึงมีสิทธิชำระราคาที่ดินแก่จำเลยที่ 2 แทนจำเลยที่ 1 เพื่อให้จำเลยที่ 2 โอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ได้ภายใน 10 ปี ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2556 อันเป็นวันที่หนี้ตามคำพิพากษานั้นอาจบังคับให้ชำระได้เป็นต้นไปตามมาตรา 274 วรรคสอง ซึ่งจะครบกำหนด 10 ปี ในวันที่ 15 มกราคม 2566 การที่โจทก์นำเงินค่าที่ดินไปวางทรัพย์ที่สำนักงานบังคับคดีในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 และนำเงินค่าที่ดินมาวางต่อศาลชั้นต้นในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 เพื่อชำระค่าที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 ดังกล่าวจึงล่วงพ้นกำหนดระยะเวลา 10 ปี นับแต่วันที่หนี้ตามคำพิพากษานั้นอาจบังคับให้ชำระได้ตามมาตรา 274 วรรคสอง โจทก์จึงไม่มีสิทธิวางเงินชำระค่าที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลชั้นต้น
คดีสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2555 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองว่า ข้อ 1. จำเลยที่ 1 ตกลงยอมนำเงินไปทำการซื้อคืนที่ดินโฉนดเลขที่ 49 จากจำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 2 ก็ตกลงยอมขายคืนให้ในราคา 570,000 บาท และจำเลยทั้งสองพร้อมไปทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์การซื้อขายกันในที่ดินแปลงดังกล่าวให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 โดยจำเลยที่ 1 ตกลงยอมให้โจทก์เป็นผู้ไปรับโอนการซื้อที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ 2 ในนามแทนได้โดยตรงและจะดำเนินการโอนให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 15 มกราคม 2556 โดยจำเลยที่ 1 จะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายหรือค่าฤชาธรรมเนียมในการโอนผู้เดียว ข้อ 2. หากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผิดนัดในข้อ 1. ให้โจทก์มีสิทธิชำระราคาแทนจำเลยที่ 1 ในราคา 570,000 บาท โดยจำเลยที่ 2 จะโอนที่ดินให้แก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา โดยโจทก์มีสิทธิไล่เบี้ยเงินที่ชำระไปเอาจากจำเลยที่ 1 จนครบถ้วน หากจำเลยที่ 1 ไม่สามารถโอนที่ดินให้โจทก์ได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด จำเลยที่ 1 ยอมชดใช้เงินแก่โจทก์เป็นเงิน 570,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันผิดกำหนดเวลาในข้อ 1. จนกว่าจะชำระเสร็จ โดยยินยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที ต่อมาเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2556 โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยึดหรืออายัดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชดใช้คืนแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งออกหมายบังคับคดีให้แก่โจทก์
เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 โจทก์ยื่นคำร้องว่า โจทก์ประสงค์จะชำระเงินค่าที่ดินจำนวน 570,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 2 เพื่อให้จำเลยที่ 2 โอนที่ดินให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่จำเลยที่ 2 ปฏิเสธ โจทก์จึงนำเงินจำนวนดังกล่าวไปวางชำระที่สำนักงานบังคับคดีในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่รับวางทรัพย์หรือเงินดังกล่าวโดยให้เหตุผลว่าเป็นระยะเวลาเกินกว่า 10 ปี นับแต่ศาลมีคำพิพากษาตามยอมแล้ว โจทก์เห็นว่าตามสัญญาประนีประนอมยอมความมิได้กำหนดระยะเวลาจำกัดสิทธิให้โจทก์ใช้สิทธิซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 2 แทนจำเลยที่ 1 ไว้แต่อย่างใด โจทก์จึงมีสิทธิที่จะชำระเงินให้แก่จำเลยที่ 2 เมื่อใดก็ได้ จึงขอวางเงินค่าที่ดิน 570,000 บาท ต่อศาลชั้นต้นเพื่อให้จำเลยที่ 2 มารับเงินดังกล่าวไปจากศาลและดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิวางเงินชำระค่าที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 274 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ถ้าคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดีหรือบุคคลที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ชำระหนี้ (ลูกหนี้ตามคำพิพากษา) มิได้ปฏิบัติตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทั้งหมดหรือบางส่วน คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีหรือบุคคลที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ได้รับชำระหนี้ (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) ชอบที่จะร้องขอให้มีการบังคับคดีโดยวิธียึดทรัพย์สิน อายัดสิทธิเรียกร้อง หรือบังคับคดีโดยวิธีอื่นตามบทบัญญัติแห่งภาคนี้ภายในสิบปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่ง..." และวรรคสองบัญญัติว่า "ถ้าคำพิพากษาหรือคำสั่งกำหนดให้ชำระหนี้เป็นงวด เป็นรายเดือน หรือเป็นรายปี หรือกำหนดให้ชำระหนี้อย่างใดในอนาคต ให้นับระยะเวลาสิบปีตามวรรคหนึ่งตั้งแต่วันที่หนี้ตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นอาจบังคับให้ชำระได้" เช่นนี้ แม้การที่โจทก์ขอวางเงินชำระค่าที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 เพื่อให้จำเลยที่ 2 โอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว เป็นการบังคับคดีโดยวิธีอื่นที่ทำได้โดยไม่ต้องตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 276 วรรคหนึ่ง (2) แต่โจทก์ก็ต้องร้องขอให้มีการบังคับคดีภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในมาตรา 274 เช่นกัน คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2555 โดยสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 1. กำหนดให้จำเลยที่ 1 นำเงินไปซื้อที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยที่ 2 ในราคา 570,000 บาท โดยจำเลยทั้งสองตกลงให้โจทก์เป็นผู้รับโอนที่ดินจากจำเลยที่ 2 ได้โดยตรง และจำเลยทั้งสองจะดำเนินการโอนให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 15 มกราคม 2556 ข้อ 2. กำหนดว่า หากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผิดนัดในข้อ 1. ให้โจทก์มีสิทธิชำระราคาแทนจำเลยที่ 1 ในราคา 570,000 บาท โดยจำเลยที่ 2 จะโอนที่ดินให้แก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ดังนี้ เป็นกรณีที่คำพิพากษาตามยอมกำหนดให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้อย่างหนึ่งอย่างใดในอนาคตภายในวันที่ 15 มกราคม 2556 เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผิดนัดไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามข้อ 1. โจทก์ย่อมมีสิทธิชำระราคาที่ดินแก่จำเลยที่ 2 แทนจำเลยที่ 1 เพื่อให้จำเลยที่ 2 โอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ได้ภายใน 10 ปี ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2556 อันเป็นวันที่หนี้ตามคำพิพากษานั้นอาจบังคับให้ชำระได้เป็นต้นไปตามมาตรา 274 วรรคสอง ซึ่งจะครบกำหนด 10 ปี ในวันที่ 15 มกราคม 2566 การที่โจทก์นำเงินค่าที่ดินไปวางทรัพย์ที่สำนักงานบังคับคดีในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 และนำเงินค่าที่ดินมาวางต่อศาลชั้นต้นในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 เพื่อชำระค่าที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 ดังกล่าวจึงล่วงพ้นกำหนดระยะเวลา 10 ปี นับแต่วันที่หนี้ตามคำพิพากษานั้นอาจบังคับให้ชำระได้ตามมาตรา 274 วรรคสอง แล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิวางเงินชำระค่าที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษายืนให้ยกคำร้องของโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น และเมื่อได้วินิจฉัยดังนี้แล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาข้ออื่นของโจทก์อีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ ![]() |