ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




(ฎีกาที่ 1856/2568) ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ & อายุความ 10 ปี

(ฎีกาที่ 1856/2568) ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ & อายุความ 10 ปี

ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ


บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับความรับผิดทางละเมิดของหน่วยงานรัฐ กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดรถยนต์ของกลางไว้ระหว่างคดีอาญา และมีการส่งคืนแก่บุคคลอื่น ศาลฎีกาวินิจฉัยถึงอายุความในการฟ้องร้องว่าให้ใช้กำหนด 10 ปีตามมาตรา 193/30 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และวินิจฉัยเพิ่มเติมว่าเจ้าหน้าที่กระทำไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่ก่อให้เกิดความรับผิดของรัฐ


สรุปข้อเท็จจริง

1. โจทก์ครอบครองรถยนต์โตโยต้า วีออส ที่ถูกตำรวจยึดไว้เป็นของกลางในคดีอาญาเมื่อปี 2554

2. ศาลอาญายกฟ้องโจทก์ คดีถึงที่สุดปี 2563 แต่รถถูกส่งคืนให้บุคคลอื่น (นางชลธิชาและต่อมามีการโอนต่อไป)

3. โจทก์ฟ้องให้รัฐคืนรถยนต์หรือชดใช้ค่าเสียหาย 100,000 บาท

4. ศาลชั้นต้นยกฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้รัฐชดใช้

5. จำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิจารณาสองประเด็นหลัก: อายุความ และความรับผิดของรัฐ


คำวินิจฉัยของศาลฎีกา

1. อายุความ:

o ฟ้องรัฐตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 5

o ไม่ใช้มาตรา 448 ป.พ.พ. (อายุความละเมิด 1 ปี/10 ปี) แต่ใช้มาตรา 193/30 ป.พ.พ. อายุความ 10 ปี

o เริ่มนับจากวันที่คดีอาญาถึงที่สุด (23 ธันวาคม 2563) → ฟ้อง 16 เมษายน 2564 ยังไม่ขาดอายุความ

2. ความรับผิดของรัฐ:

o การยึดและการคืนรถยนต์ของกลางเป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย (ป.วิ.อ. มาตรา 85) และระเบียบ

o โจทก์ไม่สามารถแสดงหลักฐานสิทธิครอบครองชัดเจน

o คณะกรรมการมีเหตุผลให้คืนรถให้ผู้ถือกรรมสิทธิ์ตามทะเบียน

o การกระทำของเจ้าหน้าที่เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบ ไม่ก่อให้เกิดความรับผิดละเมิดของรัฐ

พิพากษา: กลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลเป็นพับ


วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย

อายุความฟ้องละเมิดหน่วยงานรัฐ:

ศาลฎีกายืนยันว่า พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ไม่ได้กำหนดอายุความไว้ ต้องใช้มาตรา 193/30 ป.พ.พ. อายุความ 10 ปี

หลักเกณฑ์คืนของกลาง:

ป.วิ.อ. มาตรา 85 วรรคสาม กำหนดว่าหลังคดีถึงที่สุด ให้คืนของกลางแก่ผู้มีสิทธิ เว้นแต่ศาลสั่งเป็นอย่างอื่น

การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่:

หากปฏิบัติตามระเบียบและกฎหมายโดยสุจริต แม้เกิดความเสียหาย รัฐไม่ต้องรับผิด


IRAC Analysis

Issue (ประเด็น):

รัฐต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากการที่เจ้าหน้าที่ส่งคืนรถยนต์ของกลางให้บุคคลอื่นหรือไม่

Rule (กฎหมาย):

พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 5

ป.พ.พ. มาตรา 193/30 และ มาตรา 193/12

ป.วิ.อ. มาตรา 85

Application (การปรับใช้):

อายุความฟ้องใช้ 10 ปี เริ่มนับจากคดีอาญาถึงที่สุด

เจ้าหน้าที่คืนรถให้ผู้มีสิทธิตามทะเบียน โดยมีเหตุผลและตามระเบียบ

โจทก์ไม่มีหลักฐานสิทธิครอบครองชัดเจน

การกระทำของเจ้าหน้าที่จึงไม่เป็นละเมิด

Conclusion (ข้อสรุป):

คดีไม่ขาดอายุความ แต่รัฐไม่ต้องรับผิดเพราะเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบ ศาลฎีกาพิพากษาให้ยกฟ้อง


ข้อคิดทางกฎหมาย

การฟ้องหน่วยงานรัฐในคดีละเมิด ต้องตรวจสอบอายุความตามมาตรา 193/30 (10 ปี)

หากเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ระเบียบ และด้วยความสุจริต แม้เกิดความเสียหายแก่เอกชน ก็ไม่ถือเป็นละเมิด

ผู้ครอบครองทรัพย์สินที่ถูกยึดควรเก็บรักษาหลักฐานสิทธิอย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันการเสียสิทธิเรียกร้อง


English Summary

The Supreme Court Decision No. 1856/2025 concerns a tort claim against a government agency over the return of a seized car in a criminal case. The Court held that the statute of limitations is 10 years under Section 193/30 of the Civil and Commercial Code, starting from the date the criminal case was finalized. However, the Court ruled that the officials acted lawfully and reasonably under the Criminal Procedure Code Section 85 and related regulations, so the state was not liable. The Court reversed the Appeal Court’s judgment and dismissed the plaintiff’s claim.


1. การตีความอายุความ 10 ปี (193/30) 2. ความรับผิดทางละเมิดของหน่วยงานรัฐตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1856/2568


โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะหน่วยงานของรัฐให้รับผิดในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 5 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 จึงไม่อาจนำบทบัญญัติอายุความเรื่องละเมิดตามมาตรา 448 วรรคหนึ่ง แห่ง ป.พ.พ. ซึ่งใช้บังคับแก่กรณีผู้เสียหายฟ้องผู้กระทำละเมิดหรือผู้ร่วมรับผิดกับผู้กระทำละเมิดให้ร่วมกันรับผิดในผลแห่งละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาปรับใช้แก่คดีนี้ได้ เมื่อ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ไม่ได้บัญญัติอายุความกรณีความรับผิดของหน่วยงานของรัฐตามมาตรา 5 วรรคหนึ่ง ไว้โดยเฉพาะ จึงต้องนำกำหนดอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 มาใช้บังคับแก่คดี และการนับอายุความนั้นให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตามมาตรา 193/12 การยึดรถยนต์ในคดีนี้เป็นการยึดไว้เป็นของกลางในคดีอาญาขณะรถยนต์ของกลางอยู่ในความครอบครองของโจทก์ ป.วิ.อ. มาตรา 85 วรรคสาม บัญญัติให้เจ้าพนักงานมีอำนาจยึดไว้จนกว่าคดีถึงที่สุด เมื่อเสร็จคดีแล้วก็ให้คืนแก่ผู้ต้องหาหรือผู้อื่นซึ่งมีสิทธิเรียกร้องขอคืนสิ่งของนั้น เว้นแต่ศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่น เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า คดีที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องโจทก์กับพวกเป็นคดีอาญาต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ คดีถึงที่สุดเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2563 ดังนี้ ขณะที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องให้เจ้าพนักงานผู้ยึดคืนรถยนต์ของกลางให้แก่โจทก์จึงต้องเริ่มนับถัดจากวันที่คดีถึงที่สุดคือตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป นับแต่วันดังกล่าวจนถึงวันที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ในวันที่ 16 เมษายน 2564 ยังไม่เกินสิบปี คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งมอบรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีออส คืนแก่โจทก์ หากไม่สามารถคืนได้ให้ชดใช้เงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท

โจทก์อุทธรณ์


ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 16 เมษายน 2564) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใดก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 8,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีทั้งสองศาลให้เป็นพับ

จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา


ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความไม่โต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2554 ดาบตำรวจปฐมพงษ์ และพวก ตรวจยึดรถยนต์ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีออส ไว้เป็นของกลางในระหว่างดำเนินคดีอาญา โดยกล่าวหาว่าโจทก์กับพวกกระทำความผิดในทางอาญา ขณะยึดรถยนต์คันดังกล่าวมีชื่อนางชลธิชา เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในทางทะเบียนและอยู่ในความครอบครองของโจทก์ ในวันที่ 11 มกราคม 2554 โจทก์มีหนังสือถึงผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่เพื่อขอรับรถยนต์ของกลางไปเก็บรักษาไว้โดยอ้างว่านางชลธิชานำรถยนต์ของกลางมาจำนำไว้แก่โจทก์ ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่มีคำสั่งไม่อนุญาต ภายหลังพนักงานอัยการมีหนังสือแจ้งผลเกี่ยวกับทรัพย์สินของกลาง ให้พนักงานสอบสวนทราบว่าไม่ขอริบของกลางและให้พนักงานสอบสวนจัดการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 85 ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่จึงมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาตรวจสอบและมอบคืนของกลางให้แก่ผู้มีสิทธิรับคืน คณะกรรมการพิจารณาแล้ว มีมติให้มอบรถยนต์ของกลางให้แก่นางชลธิชาไปดูแลรักษาหรือใช้ประโยชน์ในระหว่างการดำเนินคดี โดยมีพันตำรวจเอกประทักษ์ ตำแหน่งรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพะเยา เป็นผู้ประกัน ต่อมาวันที่ 23 พฤษภาคม 2559 นางชลธิชาโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ของกลางให้แก่ธนาคาร ก. ครั้นวันที่ 2 มิถุนายน 2559 พนักงานอัยการยื่นฟ้องโจทก์กับพวกในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง ซ่องโจร รับของโจร ปลอมแปลงเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ ภายหลังศาลมีคำพิพากษายกฟ้องตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ 4453/2561 ของศาลจังหวัดเชียงใหม่ และศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน คดีถึงที่สุดเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2563 ระหว่างการพิจารณาคดีอาญา ในวันที่ 13 พฤษภาคม 2563 ธนาคาร ก. โอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ของกลางให้แก่นางสายพิน ก่อนฟ้องคดีนี้ โจทก์ให้ทนายความมีหนังสือถึงผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ ขอรับรถยนต์ของกลางคืน แต่ได้รับแจ้งว่าไม่สามารถคืนให้ได้เนื่องจากได้มีการส่งมอบรถยนต์ของกลางให้แก่นางชลธิชาไปแล้ว


คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะหน่วยงานของรัฐให้รับผิดในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 5 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 จึงไม่อาจนำบทบัญญัติอายุความเรื่องละเมิดตามมาตรา 448 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งใช้บังคับแก่กรณีผู้เสียหายฟ้องผู้กระทำละเมิดหรือผู้ร่วมรับผิดกับผู้กระทำละเมิดให้ร่วมกันรับผิดในผลแห่งละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาปรับใช้แก่คดีนี้ได้ เมื่อพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ไม่ได้บัญญัติอายุความกรณีความรับผิดของหน่วยงานของรัฐตามมาตรา 5 วรรคหนึ่ง ไว้โดยเฉพาะ จึงต้องนำกำหนดอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 มาใช้บังคับแก่คดี และการนับอายุความนั้นให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตามมาตรา 193/12 การยึดรถยนต์ในคดีนี้ เห็นได้ว่าเป็นการยึดไว้เป็นของกลางในคดีอาญาขณะรถยนต์ของกลางอยู่ในความครอบครองของโจทก์ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 85 วรรคสาม บัญญัติทำนองว่าให้เจ้าพนักงานมีอำนาจยึดไว้จนกว่าคดีถึงที่สุด เมื่อเสร็จคดีแล้วก็ให้คืนแก่ผู้ต้องหาหรือผู้อื่นซึ่งมีสิทธิเรียกร้องขอคืนสิ่งของนั้น เว้นแต่ศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่น เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า คดีที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องโจทก์กับพวกเป็นคดีอาญาต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ คดีถึงที่สุดเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2563 ดังนี้ ขณะที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องให้เจ้าพนักงานผู้ยึดคืนรถยนต์ของกลางให้แก่โจทก์จึงต้องเริ่มนับถัดจากวันที่คดีถึงที่สุดคือตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป นับแต่วันดังกล่าวจนถึงวันที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ในวันที่ 16 เมษายน 2564 ยังไม่เกินสิบปี คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น


ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า จำเลยในฐานะหน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า แม้ภายหลังศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าโจทก์มิได้กระทำความผิดและพิพากษายกฟ้องและโจทก์ในฐานะผู้ต้องหามีสิทธิขอคืนรถยนต์ของกลางตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 85 วรรคสาม ก็ตาม แต่การพิจารณาว่าจำเลยในฐานะหน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อโจทก์ในผลแห่งละเมิดหรือไม่ ต้องพิจารณาด้วยว่าเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้กระทำการนั้นเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า เหตุที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยยึดรถยนต์ของกลางซึ่งอยู่ในความครอบครองของโจทก์ เป็นผลสืบเนื่องจากนางชลธิชาแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีอาญาแก่นางอุษากับพวก และพนักงานอัยการยื่นฟ้องโจทก์ว่ากระทำความผิดร่วมกับนางอุษากับพวก ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงหลอกลวงเอารถยนต์ของนางชลธิชาที่มีไว้เพื่อประกอบธุรกิจรถเช่าไปรวมประมาณ 36 คัน ซึ่งรวมถึงรถยนต์ของกลางด้วย และโจทก์รับเอาไว้หรือรับจำนำไว้ซึ่งรถยนต์ของกลางจากผู้มีชื่อโดยรู้อยู่ว่าเป็นทรัพย์ที่นางอุษากับพวกได้มาจากการกระทำความผิดฉ้อโกงประกอบกับข้อเท็จจริงได้ความตามทางนำสืบของจำเลยว่า ในระหว่างการพิจารณาคดีอาญา เจ้าหน้าที่ของจำเลยปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ ระเบียบและข้อบังคับว่าด้วยการเก็บดูแลรักษาหรือใช้ประโยชน์ของกลางในระหว่างการดำเนินคดีอาญา โดยผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาตรวจสอบและมอบคืนของกลางให้แก่ผู้มีสิทธิรับคืนไป โดยดำเนินตามกฎกระทรวงกำหนดวิธีการขอคืนสิ่งของที่เจ้าพนักงานยึดไว้ไปดูแลรักษาหรือใช้ประโยชน์ พ.ศ. 2553 และผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ได้มีหนังสือถึงโจทก์ซึ่งขณะนั้นอยู่ในฐานะผู้ต้องหา ให้ส่งมอบเอกสารหลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองยื่นต่อคณะกรรมการ เพื่อประกอบการพิจารณา แต่โจทก์ไม่ได้ส่งเอกสารหรือหลักฐานใดที่แสดงว่านางชลธิชากู้ยืมเงินและนำรถยนต์ของกลางไปจำนำไว้แก่โจทก์ ย่อมมีเหตุอันสมควรให้คณะกรรมการสงสัยว่าโจทก์รับจำนำรถยนต์ของกลางจากผู้มีชื่อไว้โดยสุจริตหรือไม่ หรือนางชลธิชาได้นำรถยนต์ของกลางไปจำนำไว้แก่โจทก์เพื่อเป็นหลักประกันหนี้เงินกู้ตามที่โจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้องหรือไม่ การที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยยึดรถยนต์ซึ่งอยู่ในความครอบครองของโจทก์เป็นของกลางในคดีอาญา และคณะกรรมการพิจารณาแล้ว มีมติให้มอบรถยนต์ของกลางให้แก่นางชลธิชาซึ่งขณะนั้นเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์รถยนต์ของกลางในทางทะเบียนไปดูแลรักษาหรือใช้ประโยชน์ในระหว่างการดำเนินคดี แม้การกระทำนั้นจะเป็นเหตุทำให้เจ้าหน้าที่ของจำเลยไม่สามารถคืนรถยนต์ของกลางแก่โจทก์ได้ แต่ก็เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายตามหลักเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับและชอบด้วยเหตุผล จึงไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยในฐานะหน่วยงานของรัฐจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยและพิพากษาให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้น

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ


•	อายุความฟ้องละเมิดรัฐ: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าต้องใช้มาตรา 193/30 ป.พ.พ. กำหนดอายุความ 10 ปี •	การคืนของกลาง: ป.วิ.อ. มาตรา 85 วรรคสาม กำหนดให้คืนผู้มีสิทธิเมื่อคดีถึงที่สุด เว้นแต่ศาลสั่งเป็นอย่างอื่น •	การกระทำเจ้าหน้าที่: หากทำตามกฎหมายและสุจริต แม้เกิดความเสียหาย รัฐไม่ต้องรับผิด




อายุความฟ้องร้องคดี

(ฎีกา 1174/2568) คดีบัตรเครดิตหรือเงินกู้ & อายุความ 5 ปี
(ฎีกา 2140/2568)คดีทุจริต ป.ป.ช. & อายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกา 1685/2568 – สัญญาประนีประนอม & อายุความ 10 ปี
(ฎีกาที่ 3329/2567) ว่าด้วยการชำระหนี้เป็นงวด อายุความ และการรับสภาพหนี้, ป.พ.พ. มาตรา 193/30,
(ฎีกาที่ 3376/2567): ความรับผิดค่ารักษาพยาบาลและอายุความ 2 ปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (11)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5660/2567: อายุความเรียกร้องค่าสินค้าและค่าว่าจ้างถมทราย พร้อมวิเคราะห์ประเด็นข้อกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5783/2567 กรณีซื้อขายที่ดิน ข้อตกลงคืนเงินเมื่อที่ดินขาด อายุความฟ้องเรียกคืน 10 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6568/2567 : อายุความฟ้องเรียกหนี้บัตรกดเงินสด และการนับระยะเวลาตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30
คำพิพากษาศาลฎีกา 1174/2568 เกี่ยวกับหนี้สินเชื่อ “อายุความ 2  ปี หรือ 5  ปี” วิเคราะห์ครบถ้วน
ฟ้องเพิกถอนการโอนที่ดินมรดกขาดอายุความ
สิทธิฟ้องเพิกถอนนิติกรรมโอนที่ดินสินสมรส อายุความ ฟ้องซ้ำ ฟ้องซ้อน
อายุความมูลละเมิด, ฟ้องทายาทผู้ทำละเมิดที่ตายแล้ว, มรดกและความรับผิดของทายาท, การขุดดินและความเสียหายทางสาธารณะ,
คดีเช่าซื้อรถตู้, ยักยอกรถตู้, ฟ้องร้องเกินกำหนด 3 เดือน, คดีขาดอายุความ,
สิทธิในการฟ้องคดีมรดก, อายุความมรดก, การครอบครองที่ดินโดยมิได้จดทะเบียนสมรส
อายุความค่าจ้างว่าความ, อายุความสะดุดลง, ดอกเบี้ยผิดนัด, สัญญาจ้างทำของ,
อายุความ 5 ปี หนี้ตามสัญญา, หนี้ที่ต้องชำระเป็นงวดๆ อายุความ, ฟ้องคดีขาดอายุความ หนี้เงินกู้
การชำระหนี้ซึ่งขาดอายุความแล้วจะเรียกคืนไม่ได้
หนังสือรับสภาพหนี้ทำให้อายุความมูลหนี้เดิมสะดุดหยุดลง
อายุความฟ้องเรียกค่าทดแทนจากสามีและหญิงชู้
สิทธิฟ้องเรียกเงินคืนผิดสัญญาจะซื้อขาย
อายุความสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าหน้าที่
สิทธิเรียกร้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครอง
ฟ้องผิดตัวอายุความไม่เคยสะดุดหยุดลง-อำนาจฟ้อง
อายุความรับผิดในฐานะตัวแทนไม่มีกฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะ
อายุความตามสัญญาให้บริการทางการแพทย์อันเป็นเอกเทศสัญญา
อายุความคดีความผิดฐานฉ้อโกง ร้องทุกข์เกิน 3 เดือน
วันวินาศภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 882 วรรคหนึ่ง
อายุความสะดุดหยุดลงย่อมเป็นคุณเฉพาะแก่ฝ่ายโจทก์
รับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ
ผู้ค้ำประกันยกข้อต่อสู้เรื่องขาดอายุความ
ฟ้องเรียกให้ชำระหนี้เงินกู้อย่างเจ้าหนี้สามัญ
ไม่ได้แสดงเหตุแห่งการขาดอายุความ
ความรับผิดของผู้เป็นหุ้นส่วนในหนี้ที่ห้างได้ก่อให้เกิดขึ้น
กำหนดหนึ่งเดือนในการเพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ไม่ใช่อายุความ