
(ฎีกา 1174/2568) คดีบัตรเครดิตหรือเงินกู้ & อายุความ 5 ปี ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทเรื่องหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อเงินสด โดยจำเลยอ้างว่าเป็นหนี้บัตรเครดิตที่มีอายุความ 2 ปี ขณะที่โจทก์เห็นว่าเป็นหนี้เงินกู้ยืมต้องผ่อนชำระรายเดือน ซึ่งมีกำหนดอายุความ 5 ปี ศาลฎีกาจึงต้องวินิจฉัยว่าหนี้ดังกล่าวเข้าลักษณะใด และการฟ้องร้องโจทก์อยู่ภายในกำหนดอายุความหรือไม่
ข้อเท็จจริงของคดี 1. การสมัครและใช้บัตร – จำเลยสมัครบัตรสมาชิกจากบริษัท จ. เมื่อปี 2549 และนำไปซื้อสินค้า ต่อมาปี 2555 จำเลยสมัครขอรับสินเชื่อเงินสดจำนวน 40,000 บาท โดยกำหนดผ่อนชำระงวดละ 2,748 บาท รวม 24 งวด 2. การผิดนัดชำระหนี้ – จำเลยชำระหนี้ไม่ต่อเนื่อง โดยมีการค้างชำระตามใบแจ้งหนี้ครั้งสุดท้ายวันที่ 11 ธันวาคม 2558 3. การโอนสิทธิเรียกร้อง – บริษัท จ. โอนสิทธิเรียกร้องให้โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306 ซึ่งศาลเห็นว่าแม้ลงลายมือชื่อฝ่ายโอนฝ่ายเดียวก็สมบูรณ์แล้ว 4. การฟ้องคดี – โจทก์ฟ้องจำเลยเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2564 เรียกเงิน 52,269.32 บาท พร้อมดอกเบี้ย 15% ต่อปี
คำวินิจฉัยของศาล • ศาลชั้นต้น – ยกฟ้อง • ศาลอุทธรณ์ – กลับคำพิพากษา ให้จำเลยชำระหนี้และดอกเบี้ย • ศาลฎีกา – เห็นว่า หนี้สินเชื่อตามสัญญาเข้าลักษณะ หนี้กู้ยืมเงินแบบผ่อนรายงวด ใช้อายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (2) • ศาลพิจารณาว่า แม้โจทก์อ้างว่ามีการชำระเงินครั้งสุดท้าย 1,000 บาท ในปี 2560 ซึ่งจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลง แต่หลักฐานไม่ชัดเจนและมีข้อพิรุธ ไม่อาจรับฟังได้ • เมื่อคดีฟ้องเกิน 5 ปี นับจากวันที่จำเลยผิดนัด (11 ธันวาคม 2558) ถึงวันฟ้อง (11 มีนาคม 2564) จึงถือว่าคดี ขาดอายุความ
การวิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย 1. การโอนสิทธิเรียกร้อง • ป.พ.พ. มาตรา 306 กำหนดว่าการโอนสิทธิเรียกร้องต้องทำเป็นหนังสือ แม้จะลงชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็มีผลสมบูรณ์ • ดังนั้น โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลย 2. อายุความของหนี้ • หากเป็นหนี้บัตรเครดิต – อายุความ 2 ปี (การใช้บัตรซื้อสินค้า/ถอนเงินสด) • หากเป็นหนี้เงินกู้ผ่อนรายงวด – อายุความ 5 ปี (มาตรา 193/33 (2)) • ศาลวินิจฉัยว่าเป็นลักษณะหนี้เงินกู้แบบงวด จึงใช้อายุความ 5 ปี 3. ภาระการพิสูจน์ • ฝ่ายโจทก์ต้องพิสูจน์ว่ามีการชำระหนี้ครั้งสุดท้ายเพื่อหยุดอายุความ • แต่เมื่อหลักฐานมีข้อสงสัย ศาลไม่รับฟัง
IRAC Analysis Issue (ประเด็น): หนี้ที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตและสินเชื่อเงินสดเป็นหนี้ที่มีกำหนดอายุความกี่ปี และโจทก์ฟ้องภายในกำหนดหรือไม่ Rule (กฎหมาย): • ป.พ.พ. มาตรา 306 ว่าด้วยการโอนสิทธิเรียกร้อง • ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (2) อายุความฟ้องร้องหนี้เงินกู้ยืมที่ต้องชำระเป็นงวด = 5 ปี • พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค มาตรา 26 ศาลมีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องของคำให้การ Application (การปรับใช้): • แม้จำเลยอ้างว่าเป็นหนี้บัตรเครดิต อายุความ 2 ปี แต่ข้อเท็จจริงชี้ว่าเป็นหนี้สินเชื่อเงินสดต้องผ่อนงวด ใช้อายุความ 5 ปี • โจทก์อ้างว่ามีการชำระหนี้ครั้งสุดท้ายปี 2560 แต่หลักฐานไม่น่าเชื่อถือ ศาลจึงไม่นับเป็นการหยุดอายุความ • คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องหลังเกิน 5 ปีนับจากวันที่ผิดนัด Conclusion (ข้อสรุป): คดีโจทก์ ขาดอายุความ ศาลฎีกาพิพากษากลับ ยกฟ้อง
ข้อคิดทางกฎหมาย 1. การแยกแยะระหว่างหนี้บัตรเครดิต (2 ปี) และหนี้เงินกู้รายงวด (5 ปี) มีผลต่อการฟ้องคดีโดยตรง 2. โจทก์ต้องมีหลักฐานพิสูจน์การชำระหนี้ที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงอย่างชัดเจน มิฉะนั้นศาลจะไม่รับฟัง 3. การโอนสิทธิเรียกร้อง แม้ลงนามฝ่ายโอนฝ่ายเดียว ก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย
English Summary The Supreme Court Decision No. 1174/2025 concerns a dispute over whether a debt was a credit card obligation (2-year limitation) or an installment loan (5-year limitation). The Court ruled it was an installment loan under Section 193/33 (2) of the Civil and Commercial Code. Since the lawsuit was filed more than five years after default, the claim was time-barred and dismissed. สรุปความภาษาอังกฤษ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1174/2568 เป็นกรณีข้อพิพาทเกี่ยวกับการพิจารณาว่าหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้จากการใช้บัตรเครดิต ซึ่งมีกำหนดอายุความ 2 ปี หรือเป็นหนี้เงินกู้แบบผ่อนชำระเป็นงวด ซึ่งมีกำหนดอายุความ 5 ปี ศาลฎีกามีคำวินิจฉัยว่า หนี้ดังกล่าวเป็นหนี้เงินกู้ที่ต้องชำระเป็นงวดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 (2) และเนื่องจากการฟ้องคดีดังกล่าวได้ยื่นฟ้องภายหลังจากจำเลยผิดนัดชำระหนี้เกินกว่า 5 ปี คดีจึงขาดอายุความและถูกยกฟ้อง 📚 15 คำศัพท์กฎหมายจากข้อความ 1. dispute – ข้อพิพาท, การโต้แย้ง 2. debt – หนี้สิน 3. credit card obligation – หนี้จากบัตรเครดิต 4. installment loan – เงินกู้แบบผ่อนชำระ 5. limitation – อายุความ 6. ruled – วินิจฉัย, พิพากษา 7. Section – มาตรา (ของกฎหมาย) 8. Civil and Commercial Code – ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 9. lawsuit – คดีความ, การฟ้องร้อง 10. filed – การยื่นฟ้อง 11. default – การผิดนัดชำระหนี้ 12. claim – สิทธิเรียกร้อง, คำฟ้อง 13. time-barred – ขาดอายุความ 14. dismissed – ถูกยกฟ้อง 15. Court – ศาล 1. dispute – ข้อพิพาท The dispute between the neighbors grew serious, because they could not agree on who owned the small piece of land. • Literal: ข้อพิพาทระหว่างเพื่อนบ้านรุนแรงขึ้น เพราะพวกเขาไม่สามารถตกลงกันได้ว่าใครเป็นเจ้าของที่ดินผืนเล็ก • Natural: เพื่อนบ้านมีปัญหากันใหญ่ เพราะตกลงกันไม่ได้ว่าที่ดินเล็ก ๆ นั้นเป็นของใคร
2. debt – หนี้สิน He worked two jobs to pay off his debt, since the money he borrowed kept adding interest every month. • Literal: เขาทำงานสองที่เพื่อชำระหนี้สิน เพราะเงินที่เขากู้มามีดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นทุกเดือน • Natural: เขาต้องทำงานสองที่ เพราะหนี้กู้มันมีดอกเบี้ยงอกทุกเดือน
3. credit card obligation – หนี้จากบัตรเครดิต She fell into credit card obligation, because she kept buying things she didn’t really need. • Literal: เธอตกอยู่ในหนี้จากบัตรเครดิต เพราะเธอซื้อของที่ไม่จำเป็นอยู่เสมอ • Natural: เธอติดหนี้บัตรเครดิต เพราะซื้อของฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็นเรื่อย ๆ
4. installment loan – เงินกู้แบบผ่อนชำระ He took an installment loan for a motorcycle, so he could pay little by little each month instead of all at once. • Literal: เขากู้เงินแบบผ่อนชำระเพื่อซื้อรถจักรยานยนต์ เพื่อที่จะสามารถจ่ายทีละน้อยทุกเดือนแทนการจ่ายทีเดียวทั้งหมด • Natural: เขากู้เงินผ่อนเพื่อซื้อมอเตอร์ไซค์ จะได้จ่ายเป็นงวด ๆ ไม่ต้องจ่ายก้อนเดียว
5. limitation – อายุความ The lawyer explained the limitation of the case, saying the right to sue ends after five years. • Literal: ทนายอธิบายเรื่องอายุความของคดี โดยบอกว่าสิทธิในการฟ้องจะสิ้นสุดหลังจากห้าปี • Natural: ทนายบอกเรื่องอายุความ สิทธิในการฟ้องมันหมดไปแล้วหลังจากห้าปี
6. ruled – วินิจฉัย, พิพากษา The Court ruled in favor of the plaintiff, because the evidence showed the defendant had broken the contract. • Literal: ศาลวินิจฉัยให้โจทก์ชนะคดี เพราะหลักฐานแสดงว่าจำเลยผิดสัญญา • Natural: ศาลตัดสินให้โจทก์ชนะ เพราะเห็นชัดว่าจำเลยทำผิดสัญญา
7. Section – มาตรา The judge referred to Section 193/33, which sets the time limit for debt repayment cases. • Literal: ผู้พิพากษาอ้างถึงมาตรา 193/33 ซึ่งกำหนดอายุความของคดีการชำระหนี้ • Natural: ผู้พิพากษาอ้างมาตรา 193/33 ที่กำหนดเวลาฟ้องคดีหนี้
8. Civil and Commercial Code – ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ The decision was based on the Civil and Commercial Code, which provides rules on contracts, debts, and obligations. • Literal: คำพิพากษาอิงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งบัญญัติกฎเกณฑ์เกี่ยวกับสัญญา หนี้ และหน้าที่ทางกฎหมาย • Natural: ศาลตัดสินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่กำหนดกฎเรื่องสัญญาและหนี้ต่าง ๆ
9. lawsuit – คดีความ, การฟ้องร้อง The company filed a lawsuit against the customer, because he failed to pay the installments for months. • Literal: บริษัทได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลกับลูกค้า เพราะเขาไม่ชำระเงินผ่อนมาหลายเดือน • Natural: บริษัทฟ้องลูกค้า เพราะค้างค่างวดมาหลายเดือน
10. filed – การยื่นฟ้อง The lawyer filed the documents on time, so the case could officially begin in Court. • Literal: ทนายได้ยื่นเอกสารฟ้องภายในเวลาที่กำหนด เพื่อให้คดีสามารถเริ่มต้นในศาลได้อย่างเป็นทางการ • Natural: ทนายรีบยื่นฟ้องทันเวลา คดีเลยเริ่มดำเนินในศาลได้
11. default – การผิดนัดชำระหนี้ The borrower was in default, because he had not paid any money for six months. • Literal: ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ เพราะเขาไม่ได้จ่ายเงินมาเป็นเวลาหกเดือน • Natural: ลูกหนี้ผิดนัด ไม่ได้จ่ายเลยตั้งหกเดือน
12. claim – สิทธิเรียกร้อง, คำฟ้อง The plaintiff made a claim for damages, arguing that the contract had been unfairly broken. • Literal: โจทก์ได้ยื่นคำฟ้องเพื่อเรียกค่าเสียหาย โดยอ้างว่าสัญญาถูกทำลายอย่างไม่เป็นธรรม • Natural: โจทก์ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย เพราะบอกว่าสัญญาถูกทำผิดไปอย่างไม่ยุติธรรม
13. time-barred – ขาดอายุความ The Court found the case was time-barred, since it was filed after the legal time limit had passed. • Literal: ศาลเห็นว่าคดีขาดอายุความ เนื่องจากถูกยื่นหลังจากเวลาที่กฎหมายกำหนด • Natural: ศาลบอกว่าคดีนี้หมดอายุความแล้ว เพราะยื่นช้าเกินไป
14. dismissed – ถูกยกฟ้อง The case was dismissed, because the evidence was too weak to support the claim. • Literal: คดีถูกยกฟ้อง เพราะหลักฐานอ่อนเกินไปที่จะสนับสนุนคำฟ้อง • Natural: ศาลยกฟ้อง เพราะหลักฐานไม่พอที่จะเอาผิด
15. Court – ศาล The Court listened carefully to both sides, before making a final judgment. • Literal: ศาลรับฟังทั้งสองฝ่ายอย่างรอบคอบ ก่อนที่จะมีคำพิพากษาสุดท้าย • Natural: ศาลฟังทั้งสองฝ่ายอย่างละเอียด
แล้วค่อยตัดสินคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1174/2568 ตามใบคำขอรับสินเชื่อจำเลยระบุว่าสมัครด้วยบัตรเครดิต ไม่ปรากฏว่าจำเลยตกลงรับสินเชื่อซื้อสินค้าและรับสินเชื่อเป็นเงินสด ตามคำฟ้องเป็นการใช้บัตรเครดิตชำระราคาสินค้าและเบิกถอนเงินสด แม้จำเลยสามารถเบิกถอนเงินสินเชื่อที่ได้รับโดยใช้บัตรที่บริษัท จ. ออกให้จำเลย แต่สิทธิเรียกร้องในหนี้ตามฟ้องไม่ได้เกิดจากจำเลยใช้บัตรเครดิตของจำเลยซื้อสินค้าและเบิกถอนเงินสดแล้วบริษัทออกเงินทดรองจ่ายไปก่อนซึ่งมีอายุความ 2 ปี ตามที่จำเลยอ้าง ทั้งการที่จำเลยสมัครขอรับสินเชื่อเงินสดตามคำฟ้องเป็นกรณีที่จำเลยกู้ยืมเงินจากบริษัท จ. โดยมีข้อตกลงให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยคืนแก่บริษัทเป็นงวดรายเดือน เดือนละ 2,748 บาท มีกำหนด 24 เดือน จึงเป็นการชำระเงินผ่อนคืนทุนเป็นงวด ๆ ซึ่งมีอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (2) เมื่อจำเลยให้การแล้วว่าหนี้ตามฟ้องขาดอายุความเมื่อใด โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเมื่อใด นับแต่วันใดถึงวันฟ้องขาดอายุความไปแล้ว คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ แม้จำเลยให้การต่อสู้ว่าหนี้ตามฟ้องเป็นหนี้บัตรเครดิตตามความเข้าใจของจำเลยมีอายุความ 2 ปี นับแต่วันที่จำเลยผิดนัดชำระหนี้ ไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. 193/33 (2) ก็ตาม แต่เป็นหน้าที่ศาลที่จะปรับบทกฎหมายว่ากรณีต้องด้วยบทกฎหมายมาตราใด ประกอบกับ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลตรวจสอบคำให้การของจำเลย หากศาลเห็นว่าคำให้การไม่ถูกต้องหรือขาดสาระสำคัญบางเรื่อง ศาลอาจมีคำสั่งให้จำเลยแก้ไขคำให้การในส่วนนั้นให้ถูกต้องหรือชัดเจนขึ้นก็ได้ คดีจึงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า หนี้สินเชื่อกู้ยืมตามฟ้องขาดอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (2) หรือไม่
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 52,269.32 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 27,325.32 บาท นับถัดจากวันที่ 11 มีนาคม 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 9 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 36,760.69 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 27,325.32 บาท นับแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2560 จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 11 มีนาคม 2564) ต้องไม่เกิน 15,508.63 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้ฟังเป็นยุติได้ว่า เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2549 จำเลยสมัครขอรับสินเชื่อจากบริษัท จ. ซึ่งตกลงรับจำเลยเป็นสมาชิกโดยออกบัตรสมาชิกหมายเลข 1133 0505 5811 xxxx ให้แก่จำเลย เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2549 จำเลยนำบัตรสมาชิกดังกล่าวไปใช้ซื้อสินค้าโทรศัพท์เคลื่อนที่จากบริษัท จ. ในวงเงิน 12,290 บาท และวันที่ 9 เมษายน 2555 จำเลยสมัครขอรับสินเชื่อเงินสด ระบุจำนวนเงิน 40,000 บาท ส่วนเงื่อนไขการรับเงินในช่องที่ระบุว่าธนาคารที่ต้องการให้โอนเงินเข้าบัญชี ไม่ได้ระบุว่าธนาคารใด ระบุเพียงสาขาห้วยยอด ประเภทบัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 327226xxxx โดยมีสำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร ธ. สาขาห้วยยอด ชื่อบัญชีจำเลย เลขที่บัญชี 327-2-26xxx-x แนบประกอบ ซึ่งตรงกับเลขที่บัญชีและสาขาที่ระบุในใบสมัครขอสินเชื่อเงินสดดังกล่าว และจำเลยยังลงลายมือชื่อในใบสมัครขอสินเชื่อเงินสดพร้อมกับแนบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของจำเลยและสำเนาบัตรระบุหมายเลขสมาชิกของจำเลย โจทก์รับโอนสินเชื่อของจำเลยจากบริษัท จ.
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ เห็นว่า การโอนสิทธิเรียกร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306 วรรคหนึ่ง บัญญัติเพียงว่า ถ้าไม่ทำเป็นหนังสือจะไม่สมบูรณ์ และการโอนนั้นจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกได้แต่เมื่อได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้หรือลูกหนี้ยินยอมด้วยในการโอนโดยทำคำบอกกล่าวหรือความยินยอมเป็นหนังสือ ไม่ได้บัญญัติว่าการโอนนั้นจะต้องทำเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อผู้โอนกับผู้รับโอน ดังนั้น เมื่อบริษัท จ. โอนสิทธิเรียกร้องสินเชื่อให้แก่โจทก์ โดยทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็สมบูรณ์แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาประการที่สองว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า ตามใบคำขอรับสินเชื่อจำเลยระบุในใบคำขอดังกล่าวว่าสมัครด้วยบัตรเครดิต ไม่ปรากฏว่าจำเลยตกลงรับสินเชื่อซื้อสินค้าและรับสินเชื่อเป็นเงินสดตามคำฟ้องเป็นการใช้บัตรเครดิตชำระราคาสินค้าและเบิกถอนเงินสด แม้จำเลยสามารถเบิกถอนเงินสินเชื่อที่ได้รับโดยใช้บัตรที่บริษัท จ. ออกให้จำเลย แต่สิทธิเรียกร้องในหนี้ตามฟ้องไม่ได้เกิดจากจำเลยใช้บัตรเครดิตของจำเลยซื้อสินค้าและเบิกถอนเงินสดแล้วบริษัท จ. ออกเงินทดรองจ่ายไปก่อนซึ่งมีอายุความ 2 ปี ตามที่จำเลยอ้าง ทั้งการที่จำเลยสมัครขอรับสินเชื่อเงินสดตามคำฟ้องเป็นกรณีที่จำเลยกู้ยืมเงินจากบริษัท จ. โดยมีข้อตกลงให้จำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยคืนแก่บริษัทดังกล่าวเป็นงวดรายเดือน เดือนละ 2,748 บาท มีกำหนด 24 เดือน จึงเป็นการชำระเงินผ่อนคืนทุนเป็นงวด ๆ ซึ่งมีอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 (2) เมื่อจำเลยให้การแล้วว่า หนี้ตามฟ้องขาดอายุความเมื่อใด โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเมื่อใด นับแต่วันใดถึงวันฟ้องขาดอายุความไปแล้ว คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ แม้จำเลยให้การต่อสู้ว่าหนี้ตามฟ้องเป็นหนี้บัตรเครดิตตามความเข้าใจของจำเลยมีอายุความ 2 ปี นับแต่วันที่จำเลยผิดนัดชำระหนี้ ไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 (2) ก็ตาม แต่เป็นหน้าที่ศาลที่จะปรับบทกฎหมายว่ากรณีต้องด้วยบทกฎหมายมาตราใด ประกอบกับพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลตรวจคำให้การของจำเลย หากศาลเห็นว่าคำให้การไม่ถูกต้องหรือขาดสาระสำคัญบางเรื่อง ศาลอาจมีคำสั่งให้จำเลยแก้ไขคำให้การในส่วนนั้นให้ถูกต้องหรือชัดเจนขึ้นก็ได้ คดีจึงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า หนี้สินเชื่อกู้ยืมเงินตามฟ้องขาดอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 (2) หรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์นำสืบว่า จำเลยชำระหนี้มาโดยตลอดนับแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 2557 ถึงวันที่ 11 กันยายน 2558 โดยยอดหนี้ลดลงมาตลอดจากต้นเงิน 50,000 บาท ณ วันที่ 11 ธันวาคม 2558 เหลือ 27,325.32 บาท หลังจากนั้นจำเลยไม่ชำระหนี้ดังกล่าว ต่อมาจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ครั้งสุดท้ายวันที่ 31 พฤษภาคม 2560 จำนวน 1,000 บาท เมื่อนำไปหักชำระหนี้ที่ค้างชำระในส่วนของค่าธรรมเนียมอื่นแล้วจำเลยยังต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ 36,760.69 บาท ส่วนจำเลยให้การและนำสืบว่า จำเลยไม่เคยชำระหนี้ให้แก่โจทก์ 1,000 บาท เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2560 โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ว่าจำเลยชำระหนี้ดังกล่าว ได้ความจากว่าที่ร้อยตรีหญิงณัฐยา ผู้รับมอบอำนาจช่วงจากโจทก์ว่า ใบแจ้งยอดบัญชีฉบับสุดท้ายที่ส่งให้แก่จำเลยลงวันที่ 11 ธันวาคม 2558 แต่จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้จึงไม่ได้ส่งใบแจ้งหนี้ให้แก่จำเลยอีก โดยมีข้อมูลการรับเงินครั้งสุดท้ายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2560 จำนวน 1,000 บาท แต่ไม่ทราบว่าใครจ่ายเงิน 1,000 บาท ดังนั้น เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามใบแจ้งยอดหนี้วันที่ 11 ธันวาคม 2558 เป็นต้นมา แต่หลังจากโจทก์รับโอนหนี้ของจำเลยมาจากการรับโอนกิจการบัตรสินเชื่อเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2560 โจทก์อ้างว่ามีการจ่ายเงิน 1,000 บาท เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2560 ชำระหนี้ของจำเลย โดยไม่ทราบว่าใครจ่ายเงินดังกล่าว จึงเป็นเรื่องผิดปกติวิสัยที่จำเลยซึ่งผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามใบแจ้งหนี้ครั้งสุดท้ายตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2558 ซึ่งเป็นเวลานานแล้ว แต่หลังจากโจทก์รับโอนหนี้ของจำเลยมาแล้ว กลับมีการจ่ายเงินเพียง 1,000 บาท เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2560 ชำระหนี้ของจำเลย และโจทก์นำไปหักชำระค่าธรรมเนียมอื่นที่ค้างชำระ โดยโจทก์เป็นผู้จัดทำเอกสารดังกล่าวขึ้นมาเอง เมื่อโจทก์มีภาระการพิสูจน์ แต่พยานหลักฐานของโจทก์ยังมีข้อพิรุธน่าสงสัยและไม่สมเหตุผล จึงยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยจ่ายเงิน 1,000 บาท ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2560 ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ อันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลง เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามใบแจ้งหนี้วันที่ 11 ธันวาคม 2558 โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องวันที่ 11 มีนาคม 2564 เกิน 5 ปี นับแต่จำเลยผิดนัดชำระหนี้ คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 (2) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น ส่วนฎีกาข้ออื่นของจำเลยไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ ![]() |