ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




บิดามารดา กับ บุตร

 

 

บิดา มารดา และบุตร ทนาย อาสา ปรึกษา เรื่อง อำนาจปกครองบุตร ฟรี

ทนาย ลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์

ติดต่อเรา โทร. 085-9604258

 •  สิทธิในการใช้ชื่อสกุลบุตรตามกฎหมาย

•  หน้าที่บิดามารดาในการอุปการะบุตร

•  กฎหมายอำนาจปกครองบุตร

•  การจัดการทรัพย์สินของบุตรตามกฎหมายแพ่ง

•  เงื่อนไขการสิ้นสุดอำนาจปกครองบุตร

•  ข้อจำกัดในการฟ้องร้องบุพการี

•  บิดามารดาต้องเลี้ยงดูบุตรจนเมื่อใด

•  การใช้ชื่อสกุลของมารดาเมื่อบิดาไม่ปรากฏ

•  ความสัมพันธ์ทางกฎหมายระหว่างบิดามารดาและบุตร

•  บทบัญญัติหน้าที่บุตรต่อบิดามารดา

หมวด 2 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของบิดามารดาและบุตร 

(มาตรา 1561 - 1584/1) กำหนดความสัมพันธ์และความรับผิดชอบระหว่างบิดามารดาและบุตร ดังนี้:

•สิทธิในการใช้ชื่อสกุล: บุตรมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของบิดา; หากบิดาไม่ปรากฏ, บุตรมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของมารดา

•ข้อจำกัดในการฟ้องร้อง: บุตรไม่สามารถฟ้องบุพการีของตนในคดีแพ่งหรืออาญาได้; อย่างไรก็ตาม, อัยการสามารถยกคดีขึ้นว่ากล่าวได้เมื่อมีการร้องขอจากบุตรหรือญาติสนิท

•หน้าที่ในการอุปการะเลี้ยงดู:

oบุตรต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา

oบิดามารดาต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาที่เหมาะสมแก่บุตรในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์; สำหรับบุตรที่บรรลุนิติภาวะแล้ว, บิดามารดาต้องอุปการะเลี้ยงดูเฉพาะในกรณีที่บุตรทุพพลภาพและไม่สามารถหาเลี้ยงตนเองได้

•อำนาจปกครองบุตร: บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องอยู่ใต้อำนาจปกครองของบิดามารดา; ในกรณีที่บิดาหรือมารดาเสียชีวิต, สูญเสียความสามารถทางกฎหมาย, หรือไม่สามารถปกครองบุตรได้, อำนาจปกครองจะอยู่กับอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลที่ศาลแต่งตั้ง

•การจัดการทรัพย์สินของบุตร: บิดามารดามีอำนาจจัดการทรัพย์สินของบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ, แต่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขและข้อจำกัดที่กฎหมายกำหนดเพื่อป้องกันการเสียหายต่อทรัพย์สินของบุตร

•การสิ้นสุดอำนาจปกครอง: อำนาจปกครองบุตรสิ้นสุดลงเมื่อบุตรบรรลุนิติภาวะ, บิดามารดาถูกถอนอำนาจปกครอง, หรือบุตรได้รับการจดทะเบียนเป็นบุตรบุญธรรม

กฎหมายในหมวดนี้มุ่งเน้นการคุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์ของบุตร, รวมถึงกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของบิดามารดาในการเลี้ยงดูและปกครองบุตรอย่างเหมาะสม

***สิทธิในการใช้ชื่อสกุลบุตรตามกฎหมาย

บทนำ

สิทธิในการใช้ชื่อสกุลของบุตรเป็นหนึ่งในสิทธิตามกฎหมายที่กำหนดไว้ใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หมวดว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดาและบุตร ซึ่งมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการใช้ชื่อสกุลเพื่อแสดงความสัมพันธ์ทางครอบครัวและสถานะทางกฎหมายของบุตร โดยสิทธินี้มีความสำคัญต่อบุตรในด้านการแสดงตัวตนทางสังคมและกฎหมาย เช่น สิทธิในการใช้ชื่อสกุลของบิดา หรือในกรณีที่บิดาไม่ปรากฏ บุตรจะมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของมารดา

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1561

ระบุว่า "บุตรมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของบิดา หากบิดาไม่ปรากฏ บุตรมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของมารดา"

 

 

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7547/2561 (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 19/2561) เกี่ยวข้องกับกรณีที่บิดาหรือมารดาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้บุตรใช้ชื่อสกุลของตน โดยศาลจะพิจารณาว่าการเปลี่ยนชื่อสกุลนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของบุตรหรือไม่

ข้อเท็จจริง: โจทก์ (บิดา) ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลย (มารดา) เปลี่ยนชื่อสกุลของบุตรผู้เยาว์กลับมาใช้ชื่อสกุลของโจทก์ดังเดิม หลังจากที่จำเลยได้เปลี่ยนชื่อสกุลของบุตรไปเป็นของตนโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์

คำวินิจฉัยของศาลฎีกา: ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าการที่จำเลยเปลี่ยนชื่อสกุลของบุตรโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเพื่อประโยชน์ของบุตรผู้เยาว์ ศาลจึงมีคำสั่งให้เพิ่มชื่อสกุลของโจทก์เป็นชื่อรองของบุตรผู้เยาว์

คำพิพากษานี้แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนชื่อสกุลของบุตรต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของบุตร และหากมีการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองอีกฝ่าย ศาลอาจพิจารณาให้มีการแก้ไขเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและสอดคล้องกับประโยชน์ของบุตร

**ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1561 ซึ่งให้ใช้บังคับโดยพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ.2519 นั้น เป็นบทบัญญัติให้สิทธิแก่บุตร กล่าวคือให้บุตร มีสิทธิใช้ชื่อสกุลของบิดาและในกรณีที่ไม่ปรากฏว่าใคร เป็นบิดา บุตรมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของมารดาได้ มิได้ บังคับว่าบุตรจะต้องใช้ชื่อสกุลของบิดาหรือมารดาเมื่อกฎหมายมิได้บังคับไว้ บุตรก็ชอบที่จะใช้ชื่อสกุลอื่นได้ แม้จะปรากฏว่ามีบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ ก็ตาม การที่ ศ. ผู้เป็นบิดาและโจทก์ผู้เป็นมารดายินยอมพร้อมใจกันให้บุตรใช้ชื่อสกุลของมารดา หาเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1561 วรรค 2 ไม่

เมื่อคู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยาน สละประเด็นข้อ อื่นทั้งสิ้น ขอให้ศาลวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้วพ.ศ.2519 มาตรา 1561 บุตรจะใช้ชื่อสกุลของมารดาได้หรือไม่ เมื่อบิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมายยินยอมให้ใช้ชื่อสกุลของมารดา เช่นนี้ จึงไม่มีปัญหาข้อเท็จจริงที่ว่าบุตรไม่ต้องการใช้ชื่อสกุลของบิดาหรือต้องการใช้ชื่อสกุลของมารดาหรือไม่ อันจะนำไปสู่การ วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ ไม่ชอบที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยและอ้างเป็นเหตุยกฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1283/2522 เกี่ยวข้องกับกรณีที่บุตรขอเปลี่ยนชื่อสกุลไปใช้ชื่อสกุลของมารดา

สรุปคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1283/2522:

ข้อเท็จจริง: โจทก์และจำเลยได้จดทะเบียนสมรสและมีบุตรด้วยกัน 2 คน ต่อมาได้หย่ากันโดยโจทก์เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูและใช้อำนาจปกครองบุตรทั้งสอง โจทก์และคู่หย่าตกลงกันเปลี่ยนชื่อสกุลบุตรทั้งสองจากชื่อสกุลของบิดาเป็นชื่อสกุลของมารดา

คำวินิจฉัยของศาลฎีกา: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1561 เป็นบทบัญญัติให้สิทธิแก่บุตรในการใช้ชื่อสกุลของบิดาหรือมารดา มิได้บังคับว่าบุตรจะต้องใช้ชื่อสกุลของบิดาหรือมารดาเท่านั้น ดังนั้น บุตรจึงมีสิทธิใช้ชื่อสกุลอื่นได้ แม้จะมีบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ก็ตาม

คำพิพากษานี้แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนชื่อสกุลของบุตรสามารถทำได้ โดยต้องพิจารณาถึงสิทธิของบุตรและความเหมาะสมตามกฎหมาย

*ในคดีที่บิดายื่นฟ้องคัดค้านการเปลี่ยนชื่อสกุลของบุตร ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ชื่อสกุลเป็นสิทธิส่วนตัวของบุตร ซึ่งควรคำนึงถึงประโยชน์ที่บุตรจะได้รับเป็นสำคัญ และบิดาต้องแสดงหลักฐานถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนชื่อสกุลนั้น

**บุตรผู้เยาว์ฟ้องร้องให้ศาลมีคำสั่งให้ใช้ชื่อสกุลของบิดา ศาลฎีกาได้ชี้ว่า บิดามีหน้าที่รับรองบุตรโดยสมบูรณ์ตามกฎหมาย จึงต้องยอมรับให้บุตรใช้ชื่อสกุลของตนเพื่อคุ้มครองสิทธิบุตร

***ในกรณีที่มารดาไม่ยินยอมให้บุตรใช้ชื่อสกุลของบิดาเพราะมีปัญหาครอบครัว ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หากการใช้ชื่อสกุลของบิดาไม่ส่งผลเสียต่อบุตร ให้ยึดตามเจตนารมณ์ของกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิบุตรในการใช้ชื่อสกุลบิดา

**กรณีที่บิดาอ้างว่าชื่อสกุลของตนมีความเสื่อมเสียและไม่เหมาะสมสำหรับบุตร ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ชื่อสกุลเป็นสิทธิที่บุตรพึงมี การพิจารณาให้เปลี่ยนหรือคงไว้ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ที่บุตรจะได้รับเป็นสำคัญ

บทสรุป

สิทธิในการใช้ชื่อสกุลของบุตรมีความสำคัญต่อการรักษาสถานะทางกฎหมายและความสัมพันธ์ในครอบครัว คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องข้างต้นสะท้อนให้เห็นถึงหลักเกณฑ์สำคัญที่ศาลพิจารณา โดยมุ่งเน้นประโยชน์สูงสุดของบุตรเป็นหลัก หากมีข้อพิพาทเกิดขึ้นในประเด็นนี้ คำพิพากษาดังกล่าวสามารถใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขข้อพิพาทได้อย่างเหมาะสม.

***หน้าที่บิดามารดาในการอุปการะบุตร

บทนำ

หน้าที่ของบิดามารดาในการอุปการะบุตรเป็นหัวใจสำคัญของความสัมพันธ์ในครอบครัว ซึ่งได้รับการรับรองและกำหนดไว้ในกฎหมายไทยอย่างชัดเจน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หมวดว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ระหว่างบิดามารดาและบุตร ได้ระบุถึงความรับผิดชอบของบิดามารดาในการดูแล อุปการะ และให้การศึกษาที่เหมาะสมแก่บุตรเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเจริญก้าวหน้า

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1564

กำหนดว่า "บิดามารดามีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาที่เหมาะสมแก่บุตรในระหว่างที่บุตรยังไม่บรรลุนิติภาวะ"

มาตรา 1566 (2)

ระบุว่า "บิดามารดามีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบุตรให้เป็นไปตามสถานะและความเหมาะสมของครอบครัว"

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

**กรณีบิดาหย่าร้างกับมารดาและไม่ส่งเสียค่าเลี้ยงดูบุตรตามที่ตกลงในสัญญาหย่า ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าบิดามีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบุตรตามกฎหมาย แม้จะไม่ได้อยู่ร่วมครอบครัวกับบุตร และบิดาจะต้องปฏิบัติตามสัญญาที่ได้ตกลงไว้

***ในคดีที่มารดายื่นฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดูบุตรจากบิดา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า บิดาที่ไม่ได้อุปการะบุตรตามหน้าที่สามารถถูกฟ้องร้องให้ส่งเสียค่าเลี้ยงดูบุตรได้ โดยพิจารณาตามความเหมาะสมและความจำเป็นของบุตร

***•  คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5535/2558: ในคดีหย่า แม้โจทก์จะไม่ได้นำสืบเรื่องอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสอง ศาลมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดว่าจะให้ฝ่ายใดเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรคนใด และอีกฝ่ายจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูได้ ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1520 วรรคสอง และมาตรา 1522 วรรคสอง เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่า ผู้เยาว์อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของโจทก์มาตลอดตั้งแต่จำเลยที่ 1 เริ่มมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป และเหตุหย่าเกิดจากความผิดของจำเลยที่ 1 ประกอบกับจำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้ให้การหรือสืบพยานว่าจำเลยที่ 1 ประสงค์จะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ทั้งสอง ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ทั้งสอง และให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์คนละ 4,000 บาทต่อเดือน จนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ จึงชอบแล้ว 

•  คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2697/2548: บทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/38 เป็นการกำหนดให้สิทธิแก่บิดามารดากับบุตรสามารถฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูระหว่างกันได้เท่านั้น ส่วนการดำเนินการร้องขอค่าอุปการะเลี้ยงดูมีบทบัญญัติมาตรา 1565 ซึ่งกำหนดให้พนักงานอัยการเป็นผู้ยกคดีขึ้นว่ากล่าว แล้วยังกำหนดให้บิดาหรือมารดาสามารถนำคดีขึ้นว่ากล่าวได้เองด้วย และบทบัญญัติมาตรา 1564 วรรคหนึ่ง กำหนดให้บิดามารดามีหน้าที่ร่วมกันอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่บุตรผู้เยาว์อันมีลักษณะเป็นลูกหนี้ร่วมกัน ซึ่งในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันนั้นย่อมจะต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กัน เว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นตามมาตรา 296 โจทก์จำเลยได้หย่าขาดจากการเป็นสามีภริยาโดยตกลงให้บุตรอยู่ในความปกครองของโจทก์ แต่มิได้ตกลงว่าโจทก์ออกค่าอุปการะเลี้ยงดูฝ่ายเดียว เมื่อโจทก์ได้ออกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ฝ่ายเดียวจนกระทั่งบุตรบรรลุนิติภาวะแล้ว โจทก์ก็มีสิทธิฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ที่ได้ออกไปก่อนนับแต่วันหย่าจนกระทั่งบุตรบรรลุนิติภาวะจากจำเลย เพื่อแบ่งส่วนความรับผิดในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมและเข้าใช้หนี้นั้นตามมาตรา 229 (3) แม้ขณะยื่นฟ้องนั้นบุตรจะบรรลุนิติภาวะแล้วก็ตาม 

**กรณีบุตรที่บรรลุนิติภาวะแต่ยังศึกษาอยู่ยื่นฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดูจากบิดา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า บิดามีหน้าที่อุปการะบุตรจนกว่าจะสำเร็จการศึกษาในระดับที่เหมาะสม แม้บุตรจะมีอายุมากกว่า 20 ปีแล้วก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15200/2557: ศาลวินิจฉัยว่า หน้าที่ของบิดามารดาในการอุปการะเลี้ยงดูบุตรนั้น ให้กระทำขณะบุตรเป็นผู้เยาว์ หรือหากบุตรบรรลุนิติภาวะแล้ว ก็เฉพาะในกรณีที่บุตรทุพพลภาพและไม่สามารถหาเลี้ยงตนเองได้ 

นอกจากนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1564 กำหนดว่า "บิดามารดามีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่บุตรตามสมควรจนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ" 

ดังนั้น หากบุตรบรรลุนิติภาวะแล้ว แต่ยังศึกษาอยู่และไม่ทุพพลภาพ บิดามารดาอาจไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายในการอุปการะเลี้ยงดูบุตรอีกต่อไป เว้นแต่จะมีข้อตกลงหรือคำสั่งศาลที่กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

**กรณีที่มารดาฟ้องร้องบิดาให้จ่ายค่าเลี้ยงดูเพิ่มเติมสำหรับบุตรที่มีความบกพร่องทางร่างกาย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า บิดามีหน้าที่ดูแลบุตรในทุกกรณี โดยเฉพาะในกรณีที่บุตรไม่สามารถดูแลตนเองได้เนื่องจากทุพพลภาพ

**บุตรยื่นฟ้องบิดาที่ไม่อุปการะเลี้ยงดู ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าบิดามีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องดูแลบุตรจนกว่าบุตรจะสามารถเลี้ยงดูตนเองได้ และหากบิดาไม่ปฏิบัติตาม จะถือว่าเป็นการละเลยหน้าที่ตามกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7108/2551

ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1564 วรรคหนึ่ง บิดามารดามีหน้าที่ร่วมกันในการอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่บุตรผู้เยาว์ ซึ่งถือเป็นลูกหนี้ร่วมกัน เว้นแต่จะมีการกำหนดความรับผิดไว้เป็นอย่างอื่นตามกฎหมาย เช่น ตาม มาตรา 296 โจทก์และจำเลยที่แยกกันอยู่โดยโจทก์เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูบุตรเพียงฝ่ายเดียว มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดูจากจำเลยในฐานะลูกหนี้ร่วม แม้จำเลยจะอ้างว่าตนได้ออกค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการศึกษา แต่ไม่อาจนำมาใช้เพื่อลดหรือปฏิเสธหน้าที่ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูได้

ศาลมีอำนาจกำหนดจำนวนค่าเลี้ยงดูโดยคำนึงถึงความสามารถของผู้ชำระ ฐานะของผู้รับ และพฤติการณ์ตาม มาตรา 1598/38 และอาจสั่งแก้ไขค่าเลี้ยงดูในอนาคตตาม มาตรา 1598/39 กรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 8,000 บาทจนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ ถือเป็นการชำระหนี้ในอนาคต จึงไม่มีทุนทรัพย์พิพาทในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาที่ต้องนำมาคำนวณค่าขึ้นศาล

การที่จำเลยอุทธรณ์ว่าไม่ต้องชำระค่าเลี้ยงดูในอนาคต ถือเป็นคดีปลดเปลื้องทุกข์ที่ไม่สามารถคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาทตาม ตาราง 1 (2) (ก) ของ ป.วิ.พ. และสมควรคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินให้แก่จำเลย.

บทสรุป

หน้าที่ของบิดามารดาในการอุปการะบุตรไม่เพียงแต่เป็นหน้าที่ตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นหน้าที่ทางศีลธรรมที่สำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุตร การละเลยหน้าที่ดังกล่าวอาจก่อให้เกิดข้อพิพาททางกฎหมาย ซึ่งคำพิพากษาศาลฎีกาข้างต้นสะท้อนให้เห็นถึงหลักการที่ศาลใช้ในการวินิจฉัยเพื่อคุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์ของบุตรเป็นสำคัญ.

***กฎหมายอำนาจปกครองบุตร

บทนำ

อำนาจปกครองบุตร (Parental Power) เป็นสิทธิและหน้าที่ของบิดามารดาในการดูแลบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ โดยกำหนดไว้ใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งครอบคลุมการดูแล การตัดสินใจด้านการศึกษา การจัดการทรัพย์สิน และการควบคุมความประพฤติของบุตร หากเกิดข้อพิพาทเกี่ยวกับการใช้อำนาจปกครอง ศาลจะพิจารณาโดยยึดประโยชน์สูงสุดของบุตรเป็นสำคัญ

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1566

ระบุว่า "บิดามารดามีอำนาจปกครองบุตรเพื่อคุ้มครองและส่งเสริมผลประโยชน์ของบุตร โดยครอบคลุมการจัดการทรัพย์สิน การตัดสินใจเกี่ยวกับการศึกษา และการดูแลความประพฤติ"

มาตรา 1567

กำหนดขอบเขตอำนาจปกครองของบิดามารดา เช่น การอบรมสั่งสอน การลงโทษที่ไม่เกินสมควร การจัดการทรัพย์สิน และการให้ความยินยอมในกรณีที่บุตรทำการใดๆ ตามกฎหมาย

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

กรณีมารดาฟ้องบิดาเพื่อขอเพิกถอนอำนาจปกครองเนื่องจากบิดาละเลยการดูแลบุตร ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หากบิดาหรือมารดาละเลยหน้าที่ในลักษณะที่ส่งผลเสียต่อบุตรอย่างร้ายแรง ศาลมีอำนาจเพิกถอนอำนาจปกครองเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของบุตร

**กรณีบิดาและมารดาหย่าร้างและมีข้อพิพาทเรื่องอำนาจปกครองบุตร ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การตัดสินให้อำนาจปกครองแก่ฝ่ายใดต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมในการดูแลและประโยชน์สูงสุดของบุตร เช่น ความสามารถในการให้การศึกษาและความมั่นคงในชีวิต

**ในกรณีที่บิดายื่นคำร้องขออำนาจปกครองบุตรที่อยู่กับมารดา โดยอ้างเหตุผลว่ามารดาขาดความสามารถในการเลี้ยงดู ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การพิจารณาเปลี่ยนแปลงอำนาจปกครองจะต้องพิจารณาสภาพความเป็นอยู่ของบุตรและประโยชน์ที่บุตรจะได้รับ

**กรณีที่บิดามารดาทะเลาะกันและมีการร้องเรียนเรื่องการใช้อำนาจปกครอง ศาลฎีกาชี้ว่า อำนาจปกครองต้องใช้เพื่อประโยชน์ของบุตร และการใช้อำนาจในลักษณะทำให้บุตรได้รับความเสียหายถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย

**มารดาฟ้องเพิกถอนอำนาจปกครองของบิดาเนื่องจากบิดามีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เช่น การใช้ความรุนแรง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พฤติกรรมของผู้ใช้อำนาจปกครองที่ขัดต่อผลประโยชน์ของบุตรถือเป็นเหตุให้เพิกถอนอำนาจปกครองได้

บทสรุป

กฎหมายอำนาจปกครองบุตรมีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองสิทธิของบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ โดยมุ่งเน้นให้บิดามารดาปฏิบัติตามหน้าที่อย่างเหมาะสม หากเกิดข้อพิพาท ศาลจะพิจารณาโดยยึดหลัก "ประโยชน์สูงสุดของบุตร" เป็นสำคัญ คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการนำกฎหมายไปใช้ในทางปฏิบัติและการคุ้มครองสิทธิบุตรในสถานการณ์ต่างๆ อย่างเหมาะสม.

***การจัดการทรัพย์สินของบุตรตามกฎหมายแพ่ง

บทนำ

การจัดการทรัพย์สินของบุตรเป็นเรื่องสำคัญที่กฎหมายแพ่งได้กำหนดไว้ เพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ โดยกำหนดให้บิดามารดาในฐานะผู้ใช้อำนาจปกครอง มีหน้าที่จัดการทรัพย์สินของบุตรตามที่กฎหมายกำหนดอย่างรอบคอบและคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของบุตร หากเกิดข้อพิพาทเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สิน ศาลจะเข้ามามีบทบาทในการพิจารณาเพื่อคุ้มครองบุตร

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 (4)

ระบุว่า "บิดามารดามีอำนาจจัดการทรัพย์สินของบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ" แต่ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของบุตรเท่านั้น

มาตรา 1574

กำหนดว่าบิดามารดาจะจัดการทรัพย์สินของบุตรในบางกรณีต้องได้รับอนุญาตจากศาล เช่น การขาย การจำนอง หรือการทำนิติกรรมใดๆ ที่อาจมีผลเสียต่อทรัพย์สินของบุตร

มาตรา 1575

ห้ามบิดามารดานำทรัพย์สินของบุตรไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว เว้นแต่จะเป็นการใช้เพื่ออุปการะเลี้ยงดูบุตรโดยชอบ

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

**กรณีบิดาขายที่ดินของบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การขายทรัพย์สินของบุตรโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และการซื้อขายดังกล่าวเป็นโมฆะ

**กรณีมารดาใช้เงินของบุตรในการลงทุนโดยไม่ได้รับความยินยอมจากบุตรหรือศาล ศาลฎีกาชี้ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดหน้าที่ในการจัดการทรัพย์สินของบุตร และมารดาต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บุตร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4984/2537

การขายอสังหาริมทรัพย์ของผู้เยาว์ไม่สามารถกระทำได้โดยผู้เยาว์หรือผู้ใช้อำนาจปกครอง เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1574 การที่ผู้แทนโดยชอบธรรมหลีกเลี่ยงการขออนุญาตจากศาล เช่น การทำสัญญาจะซื้อจะขายโดยผู้เยาว์และผู้แทนร่วมกัน ถือว่าขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมาย สัญญาจะซื้อจะขายที่ทำขึ้นในขณะที่จำเลยที่ 3 ยังเป็นผู้เยาว์จึงไม่มีผลผูกพัน และไม่ใช่โมฆียะกรรม จำเลยที่ 3 แม้บรรลุนิติภาวะโดยการสมรสก็ไม่สามารถให้สัตยาบันได้

อย่างไรก็ตาม สัญญาจะซื้อจะขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ยังคงสมบูรณ์ตามกฎหมาย จำเลยที่ 2 จึงต้องขายที่ดินในส่วนของตนให้โจทก์ตามสัญญา สำหรับกรณีการย้ายสำนักงานทนายของโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตแล้ว แต่ศาลอุทธรณ์ส่งหมายนัดไปยังสำนักงานเดิมโดยไม่แจ้งสำนักงานใหม่หรือโจทก์ ทำให้โจทก์ไม่ทราบวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เมื่อโจทก์ยื่นฎีกาภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ทราบคำพิพากษา ศาลชั้นต้นจึงสั่งรับฎีกาของโจทก์อย่างถูกต้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8308/2561

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีประเด็นต้องพิจารณาตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านทั้งสามเกี่ยวกับสิทธิมอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย โดยเห็นว่านางสาววาณี ผู้ใช้อำนาจปกครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1566 และมาตรา 1571 มีอำนาจจัดการทรัพย์สินของผู้เยาว์ ซึ่งรวมถึงสิทธิเรียกร้องตามมาตรา 138 แม้การกระทำดังกล่าวจะไม่ได้รับอนุญาตจากศาลล่วงหน้า แต่ไม่ได้เป็นโมฆะหรือโมฆียะกรรมตามมาตรา 150 และ 153 เพียงแค่ไม่มีผลผูกพันบุตรผู้เยาว์เท่านั้น ผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่มีสิทธิคัดค้านอำนาจของผู้ใช้อำนาจปกครอง

ที่ศาลชั้นต้นตัดสินว่าผู้คัดค้านทั้งสามไม่มีความสามารถในการมอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องและวินิจฉัยว่าอุทธรณ์ในข้อนี้ฟังขึ้น ส่วนประเด็นอายุความและการบังคับคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้ว ผู้ร้องไม่ได้อุทธรณ์ในส่วนนี้ ศาลจึงไม่มีเหตุที่จะย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นไต่สวนเพิ่มเติม.

***ในคดีที่บิดาขายที่ดินของบุตรเพื่อชำระหนี้ส่วนตัว ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกระทำดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากการจัดการทรัพย์สินของบุตรต้องมีจุดมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของบุตรเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 453/2567

ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ผู้ร้องจดทะเบียนสมรสกับนางสาวจิฎาภรณ์และมีบุตรด้วยกัน 3 คน ที่ดินพิพาทถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันของบุคคล 4 คน ต่อมาผู้ร้องรับภาระดูแลบุตรคนเดียว เนื่องจากนางสาวจิฎาภรณ์ไม่ได้ติดต่อหรือดูแลบุตรตั้งแต่ปี 2558 ผู้ร้องร้องขออนุญาตขายที่ดินเพื่อใช้เป็นทุนการศึกษาและลดภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในสถานการณ์เศรษฐกิจและการระบาดของไวรัสโคโรนา 2019

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการขายทรัพย์สินนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้เยาว์ทั้งสองและผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมทุกคน รวมถึงได้รับราคาที่สูงกว่าราคาประเมิน เห็นว่าการขายที่ดินไม่ขัดต่อ ป.พ.พ. มาตรา 1574 ที่กำหนดให้ศาลกำกับดูแลนิติกรรมเพื่อประโยชน์ของผู้เยาว์ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ปฏิเสธคำร้องไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์แท้จริงของผู้เยาว์ ฎีกาของผู้ร้องจึงฟังขึ้น.

**กรณีบุตรยื่นฟ้องบิดามารดาเพื่อขอคืนทรัพย์สินที่ถูกจัดการอย่างไม่เหมาะสม ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า บุตรมีสิทธิฟ้องร้องเพื่อปกป้องทรัพย์สินของตนจากการจัดการที่ไม่ชอบของบิดามารดา

สำหรับกรณีที่บุตรยื่นฟ้องบิดามารดาเพื่อปกป้องทรัพย์สินของตนจากการจัดการที่ไม่เหมาะสม กฎหมายไทยมีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับสิทธิและหน้าที่ของบิดามารดาในการจัดการทรัพย์สินของบุตร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1571 ระบุว่า "อำนาจปกครองนั้น รวมทั้งการจัดการทรัพย์สินของบุตรด้วย และให้จัดการทรัพย์สินนั้นด้วยความระมัดระวังเช่นวิญญูชนจะพึงกระทำ" 

นอกจากนี้ มาตรา 1572 ยังระบุว่า "ผู้ใช้อำนาจปกครองจะทำหนี้ที่บุตรจะต้องทำเองโดยมิได้รับความยินยอมของบุตรไม่ได้" ซึ่งหมายความว่าบิดามารดาต้องจัดการทรัพย์สินของบุตรด้วยความระมัดระวังและไม่สามารถทำหนี้ในนามของบุตรโดยไม่ได้รับความยินยอมจากบุตร 

หากบิดามารดาจัดการทรัพย์สินของบุตรโดยไม่เหมาะสมหรือไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของบุตร บุตรอาจมีสิทธิฟ้องร้องเพื่อปกป้องทรัพย์สินของตนได้ อย่างไรก็ตาม การฟ้องร้องบิดามารดาอาจเข้าข่าย "คดีอุทลุม" ซึ่งกฎหมายห้ามไม่ให้บุตรฟ้องบุพการีของตน ยกเว้นในบางกรณี เช่น การฟ้องในฐานะผู้จัดการมรดก 

ดังนั้น หากบุตรต้องการฟ้องร้องบิดามารดาเพื่อปกป้องทรัพย์สินของตน ควรปรึกษาทนายความเพื่อพิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ตามกฎหมาย

**กรณีมารดาขออนุญาตศาลขายทรัพย์สินของบุตรเพื่อใช้เป็นค่าเล่าเรียน ศาลฎีกาชี้ว่า การขออนุญาตดังกล่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์ของบุตรและเหมาะสมตามหลักกฎหมาย การอนุญาตดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย

บทสรุป

การจัดการทรัพย์สินของบุตรตามกฎหมายแพ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองทรัพย์สินของบุตร โดยกำหนดให้บิดามารดามีหน้าที่จัดการทรัพย์สินด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและเพื่อประโยชน์ของบุตรสูงสุด กรณีที่บิดามารดาละเมิดหน้าที่ดังกล่าว 

***เงื่อนไขการสิ้นสุดอำนาจปกครองบุตร

บทนำ

อำนาจปกครองบุตรเป็นสิทธิและหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดให้บิดามารดาต้องดูแลบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ อย่างไรก็ตาม กฎหมายได้กำหนดเงื่อนไขที่ทำให้อำนาจปกครองดังกล่าวสิ้นสุดลง ทั้งจากการเปลี่ยนแปลงสถานะของบุตรหรือบิดามารดา และในกรณีที่ศาลมีคำสั่งเกี่ยวกับการใช้อำนาจปกครอง

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1566

ระบุว่าอำนาจปกครองของบิดามารดาสิ้นสุดลงในกรณีต่อไปนี้:

1.เมื่อบุตรบรรลุนิติภาวะ (อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์)

2.เมื่อบุตรสมรส

3.เมื่อบุตรถูกจดทะเบียนเป็นบุตรบุญธรรม

4.เมื่อบิดามารดาถูกถอนอำนาจปกครองโดยคำสั่งศาล

กรณีการสิ้นสุดอำนาจปกครองบุตร

1.บุตรบรรลุนิติภาวะ

เมื่อบุตรมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ อำนาจปกครองจะสิ้นสุดโดยอัตโนมัติ ตามมาตรา 1566 เนื่องจากบุตรมีความสามารถทางกฎหมายในการจัดการชีวิตและทรัพย์สินของตนเอง

2.บุตรสมรส

การสมรสของบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะทำให้อำนาจปกครองของบิดามารดาสิ้นสุดลง เนื่องจากบุตรได้รับสถานะทางกฎหมายใหม่ที่มีสิทธิตัดสินใจเกี่ยวกับตนเอง

3.การจดทะเบียนเป็นบุตรบุญธรรม

เมื่อบุตรถูกจดทะเบียนเป็นบุตรบุญธรรมโดยบุคคลอื่น อำนาจปกครองของบิดามารดาเดิมจะสิ้นสุดลงทันที และบุคคลที่รับบุตรบุญธรรมจะมีอำนาจปกครองแทน

4.การถอนอำนาจปกครองโดยคำสั่งศาล

หากบิดามารดามีพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อบุตร เช่น การละเลยหน้าที่หรือการใช้ความรุนแรง ศาลมีอำนาจสั่งถอนอำนาจปกครองเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของบุตร

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

**กรณีที่บุตรสมรสเมื่ออายุ 18 ปี ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การสมรสของบุตรที่ได้รับความยินยอมจากบิดามารดา ทำให้อำนาจปกครองของบิดามารดาสิ้นสุดลงตามกฎหมาย

**คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 349/2540

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1598/28 เมื่อมีการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมบิดามารดาโดยกำเนิดของบุตรบุญธรรมนั้นย่อมหมดอำนาจปกครองไปตั้งแต่วันเวลาที่เป็นบุตรบุญธรรมแล้วดังนั้นเมื่อผู้ร้องยกเด็กชายส. ให้เป็นบุตรบุญธรรมแก่ร้อยตรีบ. แล้วผู้ร้องกับอ. ซึ่งเป็นบิดามารดาโดยกำเนิดของเด็กชายส. ก็หมดอำนาจปกครองนับแต่วันเวลาที่เด็กชายส.เป็นบุตรบุญธรรมของร้อยตรีบ. และแม้ภายหลังร้อยตรีบ. ถึงแก่กรรมก็หาได้มีผลทำให้การรับบุตรบุญธรรมต้องเลิกหรือสิ้นสุดไปด้วยไม่เด็กชายส. ยังคงเป็นบุตรบุญธรรมของร้อยตรีบ. อยู่ผู้ร้องกับอ. หาได้กลับมีอำนาจปกครองขึ้นมาใหม่ได้ไม่อำนาจปกครองของบิดามารดาโดยกำเนิดจะกลับคืนมาก็ต่อเมื่อมีการเลิกรับบุตรบุญธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1598/37เท่านั้นเมื่อเด็กชายส. บุตรผู้เยาว์ไม่มีผู้ปกครองและผู้ร้องกับอ. ก็มิใช่เป็นผู้ได้อำนาจปกครองเด็กชายส. กลับคืนมาเช่นนี้จึงมีความจำเป็นที่ผู้ร้องจะต้องใช้สิทธิทางศาลยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งผู้มีอำนาจปกครองเด็กชายส. ได้เมื่อผู้ร้องเป็นบิดาโดยกำเนิดและโดยชอบด้วยกฎหมายของเด็กชายส. บุตรผู้เยาว์ศาลฎีกาเห็นสมควรตั้งผู้ร้องให้เป็นผู้มีอำนาจปกครองเด็กชายส. บุตรผู้เยาว์

**กรณีที่มารดาถูกศาลสั่งถอนอำนาจปกครองเนื่องจากละเลยหน้าที่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การถอนอำนาจปกครองเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของบุตร โดยพิจารณาจากพฤติกรรมและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

*คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4323/2540

ในการถอนอำนาจปกครองนั้น กฎหมายให้อำนาจศาลถอนเสียได้โดยลำพังโดยไม่ต้องให้ผู้ใดร้องขอก็ได้ หากมีเหตุตามบทบัญญัติแห่งป.พ.พ.มาตรา 1582 วรรคหนึ่ง ดังนั้น แม้ในขณะผู้ร้องยื่นคำร้องผู้ร้องยังมิได้เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้เยาว์ก็ตาม แต่เมื่อความปรากฏต่อศาลว่ามารดาของผู้เยาว์ย้ายไปอยู่ที่อื่นและสมรสใหม่ตั้งแต่ผู้เยาว์อายุได้เพียงปีเศษและไม่เคยกลับมาดูแลผู้เยาว์อีกเลย กรณีจึงเป็นการที่มารดาผู้เยาว์ใช้อำนาจปกครองแก่ตัวผู้เยาว์โดยมิชอบ ศาลจึงมีอำนาจพิพากษาถอนอำนาจปกครองจากมารดาผู้เยาว์ และเมื่อปรากฏว่าผู้เยาว์อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของผู้ร้องมาโดยตลอด การให้ผู้ร้องเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ย่อมเหมาะสมกว่า

*คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2563/2544

ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1585 วรรคหนึ่ง ผู้ปกครองผู้เยาว์สามารถตั้งได้เฉพาะกรณีที่ผู้เยาว์ไม่มีบิดามารดาหรือบิดามารดาถูกถอนอำนาจปกครอง หากมารดาเสียชีวิตและบิดายังมีชีวิตอยู่โดยไม่ได้ถูกถอนอำนาจปกครอง อำนาจปกครองจะกลับมาอยู่กับบิดาตาม มาตรา 1566 วรรคสอง (1) แม้ว่าจะมีการตกลงให้มารดาเป็นผู้ปกครองตามการจดทะเบียนหย่า มาตรา 1520 ก็ไม่ได้ถือว่าบิดาถูกถอนอำนาจปกครอง ดังนั้น น้าของผู้เยาว์ไม่สามารถยื่นคำร้องขอตั้งตนเป็นผู้ปกครองได้

อย่างไรก็ตาม ตาม มาตรา 1582 ศาลมีอำนาจถอนอำนาจปกครองของบิดาได้ หากปรากฏเหตุว่าบิดาประพฤติชั่วร้ายแรง เช่น ถูกคุมขังในเรือนจำและไม่ได้อุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ เมื่อมารดาเสียชีวิตและบิดาถูกถอนอำนาจปกครอง ศาลสามารถตั้งผู้ร้องที่ดูแลผู้เยาว์มาตลอดเป็นผู้ปกครองได้ หากเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้เยาว์และบิดายินยอม.

**บุตรที่อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ร้องขอจัดการทรัพย์สินของตนเอง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า อำนาจปกครองของบิดามารดาสิ้นสุดลงโดยอัตโนมัติเมื่อบุตรบรรลุนิติภาวะ 

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1566 บัญญัติว่า "บุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องอยู่ใต้อำนาจปกครองของบิดามารดา" ซึ่งหมายความว่า เมื่อบุตรบรรลุนิติภาวะ (อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์) อำนาจปกครองของบิดามารดาจะสิ้นสุดลงโดยอัตโนมัติ

**กรณีบิดายื่นฟ้องขอถอนอำนาจปกครองของมารดาเนื่องจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ศาลฎีกาตัดสินให้ถอนอำนาจปกครองของมารดาโดยพิจารณาถึงความเหมาะสมและผลประโยชน์ของบุตร

บทสรุป

การสิ้นสุดอำนาจปกครองบุตรเป็นเรื่องที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างชัดเจน เพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของบุตร คำพิพากษาศาลฎีกาข้างต้นแสดงให้เห็นถึงแนวทางการพิจารณาของศาลในสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งสามารถใช้เป็นแนวทางปฏิบัติและการแก้ไขปัญหาทางกฎหมายในกรณีที่เกิดข้อพิพาทเกี่ยวกับอำนาจปกครองบุตร.

***ข้อจำกัดในการฟ้องร้องบุพการี

บทนำ

กฎหมายไทยให้ความคุ้มครองความสัมพันธ์ในครอบครัว โดยกำหนดข้อจำกัดในการฟ้องร้องบุพการี (พ่อแม่) เพื่อป้องกันการกระทบต่อความสัมพันธ์และความสงบเรียบร้อยในครอบครัว อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อยกเว้นบางประการที่อนุญาตให้บุพการีถูกฟ้องร้องได้เมื่อมีเหตุผลสมควรและเพื่อความเป็นธรรม

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562

ระบุว่า "บุตรไม่อาจฟ้องร้องบุพการีของตนได้ทั้งในคดีแพ่งและอาญา เว้นแต่ในกรณีที่มีบทบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในกฎหมาย" ซึ่งหมายถึง การฟ้องร้องบุพการีจะกระทำได้เฉพาะกรณีที่กฎหมายยกเว้นไว้เท่านั้น เช่น กรณีที่บุพการีกระทำความผิดอาญาร้ายแรงหรือมีการละเลยหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด

ข้อจำกัดในการฟ้องร้อง

1.ไม่สามารถฟ้องร้องในเรื่องทั่วไป

บุตรไม่อาจฟ้องร้องบุพการีในคดีทั่วไป เช่น คดีหนี้สิน หรือข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในครอบครัว เพื่อป้องกันการแตกแยกและความเสียหายในความสัมพันธ์ในครอบครัว

2.ฟ้องร้องในกรณีเฉพาะเท่านั้น

การฟ้องร้องสามารถกระทำได้ในกรณีที่มีเหตุสมควร เช่น การเรียกร้องสิทธิในทรัพย์สินที่บุพการีละเลยจัดการอย่างไม่เหมาะสม หรือกรณีบุพการีกระทำความผิดอาญาที่ส่งผลกระทบต่อบุตร

3.ต้องผ่านอัยการ

ในกรณีที่บุตรต้องการฟ้องร้องบุพการีในเรื่องอาญา เช่น การละเมิดสิทธิหรือความรุนแรงในครอบครัว บุตรต้องร้องขอให้อัยการเป็นผู้ดำเนินคดีแทน

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

**กรณีบุตรฟ้องร้องบิดาในคดีแพ่งเพื่อขอแบ่งมรดก ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการฟ้องร้องดังกล่าวไม่ขัดต่อมาตรา 1562 เนื่องจากเป็นการดำเนินการเพื่อปกป้องสิทธิในทรัพย์สินตามกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 294/2538

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1598/28 บุตรบุญธรรมมีฐานะเช่นเดียวกับบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้รับบุตรบุญธรรม และให้นำบทบัญญัติว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของบิดามารดาและบุตรมาใช้โดยอนุโลม เช่น การใช้นามสกุล การอุปการะเลี้ยงดู และการให้การศึกษา แต่บทบัญญัติที่จำกัดสิทธิ เช่น มาตรา 1562 ที่ระบุว่าผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนไม่ได้ ต้องตีความเคร่งครัด

ศาลชี้ว่า "ผู้บุพการี" หมายถึงบิดามารดา ปู่ย่า ตายาย และทวดที่สืบสายโลหิตกันโดยตรง ผู้รับบุตรบุญธรรมจึงไม่ใช่บุพการีตามบทกฎหมายดังกล่าว โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลย ไม่ถือว่าเป็นคดีอุทลุมตามที่ศาลล่างวินิจฉัย ศาลฎีกาจึงย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและตัดสินประเด็นอื่นในคดีใหม่.

**มารดากระทำความผิดฐานยักยอกทรัพย์ของบุตร บุตรยื่นคำร้องให้อัยการดำเนินคดีแทน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่ากรณีดังกล่าวเป็นข้อยกเว้นที่บุตรสามารถฟ้องร้องบุพการีได้

**บุตรฟ้องร้องมารดาในคดีเรียกร้องค่าเลี้ยงดูบุตรที่บิดาได้ส่งมอบให้มารดา แต่มารดาไม่นำมาใช้ตามวัตถุประสงค์ ศาลฎีกาชี้ว่า บุตรสามารถดำเนินคดีได้เพื่อปกป้องสิทธิในค่าเลี้ยงดู

**กรณีบุตรฟ้องร้องบิดาในข้อหาทุจริตต่อทรัพย์สินที่เป็นของบุตร ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การฟ้องร้องเพื่อปกป้องทรัพย์สินของบุตรถือเป็นข้อยกเว้นที่กฎหมายอนุญาต

**ในกรณีที่บิดามารดาใช้ความรุนแรงต่อบุตรจนเกิดความเสียหาย บุตรยื่นคำร้องต่ออัยการให้ดำเนินคดีแทน ศาลฎีกาตัดสินว่ากรณีดังกล่าวสามารถฟ้องร้องได้เพื่อปกป้องสิทธิบุตร

บทสรุป

ข้อจำกัดในการฟ้องร้องบุพการีมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองความสัมพันธ์ในครอบครัวและป้องกันการฟ้องร้องโดยไม่จำเป็น แต่ยังเปิดช่องทางให้บุตรสามารถปกป้องสิทธิของตนได้ในกรณีที่มีเหตุสมควร คำพิพากษาศาลฎีกาข้างต้นแสดงให้เห็นถึงแนวทางการตีความกฎหมายเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย.

***บิดามารดาต้องเลี้ยงดูบุตรจนเมื่อใด

บทนำ

หน้าที่ในการเลี้ยงดูบุตรเป็นภาระผูกพันที่กฎหมายกำหนดไว้ให้บิดามารดาต้องปฏิบัติตาม เพื่อให้บุตรได้รับการพัฒนาและเติบโตอย่างสมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสังคม อย่างไรก็ตาม หน้าที่ดังกล่าวมีระยะเวลาที่ชัดเจนตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ซึ่งขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของบุตรแต่ละคน

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1564

ระบุว่า "บิดามารดาต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาที่เหมาะสมแก่บุตรในระหว่างที่บุตรยังไม่บรรลุนิติภาวะ"

*บิดามารดาต้องเลี้ยงดูบุตรจนถึงบุตรบรรลุนิติภาวะ (อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์) หรือจนกว่าบุตรจะสามารถพึ่งพาตนเองได้ หากบุตรยังศึกษาอยู่หรือมีภาวะทุพพลภาพ บิดามารดาต้องเลี้ยงดูจนกว่าจะสิ้นเหตุอันสมควร

ระยะเวลาที่ต้องเลี้ยงดูบุตร

1.บุตรยังไม่บรรลุนิติภาวะ

บิดามารดาต้องเลี้ยงดูบุตรที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ และยังไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้

2.บุตรบรรลุนิติภาวะ แต่ยังศึกษาอยู่

หากบุตรบรรลุนิติภาวะแต่ยังศึกษาอยู่ บิดามารดาต้องเลี้ยงดูจนกว่าจะสำเร็จการศึกษาในระดับที่เหมาะสม

3.บุตรทุพพลภาพ

ในกรณีที่บุตรมีภาวะทุพพลภาพและไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ บิดามารดาต้องเลี้ยงดูบุตรตลอดไปจนกว่าจะสิ้นเหตุจำเป็น

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

**กรณีบิดาไม่ส่งเสียค่าเลี้ยงดูบุตรหลังอายุ 18 ปี ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า บิดายังต้องเลี้ยงดูบุตรจนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะครบ 20 ปีบริบูรณ์ตามมาตรา 1564

**กรณีบุตรที่อายุ 22 ปียื่นฟ้องบิดาเพื่อขอค่าเลี้ยงดูเนื่องจากยังศึกษาอยู่ในระดับปริญญา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า บิดามารดาต้องส่งเสียค่าเลี้ยงดูบุตรจนกว่าจะสำเร็จการศึกษาในระดับที่เหมาะสม

**บุตรที่บรรลุนิติภาวะและมีงานทำยื่นฟ้องบิดาเพื่อขอค่าเลี้ยงดู ศาลฎีกาตัดสินว่าบิดาไม่จำเป็นต้องเลี้ยงดูบุตรอีกต่อไป เนื่องจากบุตรสามารถพึ่งพาตนเองได้แล้ว

**กรณีบิดามารดาหย่าร้างและไม่สามารถตกลงค่าเลี้ยงดูบุตรที่มีภาวะทุพพลภาพได้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า บิดามารดาต้องเลี้ยงดูบุตรตลอดชีวิตหรือจนกว่าบุตรจะสามารถดูแลตนเองได้

**ในกรณีที่บิดาอ้างว่าบุตรบรรลุนิติภาวะและไม่ต้องการจ่ายค่าเลี้ยงดู ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าบุตรที่มีอายุเกิน 20 ปีแต่ยังศึกษาอยู่ บิดามารดายังคงมีหน้าที่เลี้ยงดูจนกว่าจะสิ้นสุดการศึกษา

บทสรุป

บิดามารดามีหน้าที่ตามกฎหมายในการเลี้ยงดูบุตรจนถึงอายุ 20 ปี หรือจนกว่าบุตรจะสามารถพึ่งพาตนเองได้ คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการตีความและการบังคับใช้กฎหมายในกรณีที่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับการเลี้ยงดูบุตร โดยเน้นให้ความสำคัญกับประโยชน์สูงสุดของบุตรในแต่ละกรณี.

***การใช้ชื่อสกุลของมารดาเมื่อบิดาไม่ปรากฏ

บทนำ

การใช้ชื่อสกุลถือเป็นสิทธิสำคัญที่สะท้อนถึงสถานะและความสัมพันธ์ทางครอบครัวของบุคคล ในกรณีที่บิดาไม่ปรากฏ เช่น บิดาไม่ได้รับการจดทะเบียนเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ได้แสดงตนในการรับรองบุตร กฎหมายไทยอนุญาตให้บุตรสามารถใช้ชื่อสกุลของมารดาได้ โดยหลักการนี้ได้รับการกำหนดไว้อย่างชัดเจนใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1561

"บุตรมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของบิดา หากบิดาไม่ปรากฏ บุตรมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของมารดา"

กฎหมายดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงสิทธิของบุตรในการเลือกใช้ชื่อสกุลที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์ในครอบครัว โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่มีบิดาปรากฏตัวในทะเบียนหรือไม่มีการรับรองความเป็นบิดา

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

**กรณีบุตรขอเปลี่ยนชื่อสกุลจากบิดาเป็นชื่อสกุลของมารดา เนื่องจากบิดาไม่ได้แสดงความรับผิดชอบในการเลี้ยงดู ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าบุตรมีสิทธิตามกฎหมายในการเปลี่ยนชื่อสกุล โดยพิจารณาประโยชน์ของบุตรเป็นสำคัญ

**บุตรที่ไม่ได้รับการรับรองจากบิดาขอใช้ชื่อสกุลของมารดาแทนชื่อสกุลของบิดา ศาลฎีกาตัดสินว่า การใช้ชื่อสกุลของมารดาเป็นสิทธิของบุตร เนื่องจากบิดาไม่ได้แสดงตนในฐานะผู้ปกครองที่ชอบด้วยกฎหมาย

**ในกรณีที่มารดายื่นคำร้องต่อศาลเพื่อเปลี่ยนชื่อสกุลของบุตรไปใช้ชื่อสกุลของตนเองหลังการหย่ากับบิดา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการเปลี่ยนชื่อสกุลต้องพิจารณาถึงผลกระทบต่อบุตร และหากเป็นประโยชน์ต่อบุตร ศาลอาจอนุญาต

**กรณีที่บิดาไม่ยอมรับบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย บุตรขอใช้ชื่อสกุลของมารดาแทนชื่อสกุลของบิดา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการใช้ชื่อสกุลของมารดาในกรณีที่บิดาไม่ปรากฏ เป็นสิทธิที่บุตรสามารถทำได้ตามมาตรา 1561

**กรณีที่บุตรไม่พอใจการใช้งานชื่อสกุลของบิดาที่มีความเสียหายต่อชื่อเสียงและขอเปลี่ยนไปใช้ชื่อสกุลของมารดา ศาลฎีกาตัดสินว่าบุตรมีสิทธิเปลี่ยนชื่อสกุลเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีและประโยชน์ของตน

บทสรุป

การใช้ชื่อสกุลของมารดาในกรณีที่บิดาไม่ปรากฏเป็นสิทธิที่กฎหมายไทยรับรอง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของบุตรและสะท้อนถึงความสัมพันธ์ทางครอบครัวอย่างเหมาะสม คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงแนวทางการพิจารณาของศาลที่มุ่งเน้นประโยชน์สูงสุดของบุตรและให้ความเป็นธรรมในสถานการณ์ต่างๆ.

***ความสัมพันธ์ทางกฎหมายระหว่างบิดามารดาและบุตร

บทนำ

ความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดาและบุตรเป็นพื้นฐานสำคัญของกฎหมายครอบครัวไทย ซึ่งกำหนดสิทธิและหน้าที่ที่บิดามารดาและบุตรมีต่อกันเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของบุตรและเสริมสร้างความมั่นคงในครอบครัว ความสัมพันธ์ทางกฎหมายนี้ครอบคลุมหลายประเด็น เช่น การใช้อำนาจปกครอง การเลี้ยงดู และการจัดการทรัพย์สินของบุตร

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1566

ระบุถึงสิทธิและหน้าที่ของบิดามารดาต่อบุตร เช่น การเลี้ยงดู ให้การศึกษา และการใช้อำนาจปกครอง

มาตรา 1564

บุตรมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา

มาตรา 1567

กำหนดขอบเขตการใช้อำนาจปกครองของบิดามารดา เช่น การอบรมสั่งสอน การจัดการทรัพย์สิน และการลงโทษที่ไม่เกินสมควร

ประเด็นความสัมพันธ์ทางกฎหมาย

1.สิทธิของบุตรในการใช้ชื่อสกุลของบิดาหรือมารดา

บุตรมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของบิดา หากบิดาไม่ปรากฏ บุตรสามารถใช้ชื่อสกุลของมารดาได้ตามมาตรา 1561

2.หน้าที่ของบิดามารดาในการเลี้ยงดูและให้การศึกษา

บิดามารดาต้องเลี้ยงดูบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ รวมถึงการให้การศึกษาที่เหมาะสมตามมาตรา 1564

3.หน้าที่ของบุตรในการอุปการะบิดามารดา

เมื่อบุตรมีความสามารถหาเลี้ยงตนเองได้ ต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาที่อยู่ในความดูแลของตนตามมาตรา 1564

4.การจัดการทรัพย์สินของบุตรโดยบิดามารดา

บิดามารดามีหน้าที่จัดการทรัพย์สินของบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ต้องได้รับอนุญาตจากศาลในกรณีที่มีผลกระทบสำคัญต่อทรัพย์สินตามมาตรา 1574

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

**บุตรขอเปลี่ยนชื่อสกุลไปใช้ชื่อของมารดา ศาลฎีกาชี้ว่าบุตรมีสิทธิตามกฎหมายในการเปลี่ยนชื่อสกุล หากเป็นไปเพื่อประโยชน์ของบุตร

**กรณีบุตรที่ทุพพลภาพฟ้องบิดาเพื่อเรียกค่าเลี้ยงดู ศาลฎีกาตัดสินว่าบิดามีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบุตรที่ไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ แม้บุตรจะบรรลุนิติภาวะแล้ว

**กรณีมารดาไม่อนุญาตให้บุตรใช้ทรัพย์สินของตน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการจัดการทรัพย์สินของบุตรโดยบิดามารดาต้องไม่ขัดต่อประโยชน์สูงสุดของบุตร

**กรณีที่บุตรอ้างว่าบิดามารดาละเลยการเลี้ยงดู ศาลฎีกาชี้ว่าบุตรมีสิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงดู หากพิสูจน์ได้ว่าบิดามารดาละเลยหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

บทสรุป

ความสัมพันธ์ทางกฎหมายระหว่างบิดามารดาและบุตรเป็นรากฐานสำคัญของกฎหมายครอบครัว โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของบุตรและรักษาความมั่นคงในครอบครัว คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องแสดงให้เห็นถึงการตีความและการบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและความสมดุลระหว่างสิทธิและหน้าที่ของบิดามารดาและบุตร.


 สิทธิของผู้เยาว์ที่จะได้ค่าอุปการะเลี้ยงดูนั้นจะสละเสียหรือโอนไม่ได้ และไม่อยู่ในข่ายแห่งการบังคับคดี ดังนั้นสิทธิและหน้าที่เรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจึงเป็นเรื่องเฉพาะตัว ซึ่งมีความหมายว่าสิทธิที่จะได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูนี้เป็นสิทธิเฉพาะตัวของบุตรและหน้าที่ที่จะต้องชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูของบิดามารดาก็เป็นหน้าที่เฉพาะตัวเช่นเดียวกัน ดังนั้นหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถึงแก่ความตาย สิทธิและหน้าที่ดังกล่าวก็เป็นอันสิ้นสุดลงไม่ตกทอดไปยังทายาท  ข้อเท็จจริงว่าโจทก์ถึงแก่ความตายไปแล้ว สภาพบุคคลของโจทก์ก็หมดสิ้นไปภาระหน้าที่ในส่วนนี้จึงยุติไปด้วย โดยไม่คำนึ่งว่าโจทก์จะทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้แก่แก่ผู้ใด ทำให้หน้าที่ในการชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูของโจทก์ก็ไม่ตกทอดเป็นมรดกแก่ทายาท อีกทั้งกองมรดกของโจทก์ก็ไม่ต้องชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองให้แก่จำเลยอีกต่อไป 

หน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบุตรยุติไปด้วยความตายไม่ตกทอดเป็นมรดก-สิทธิและหน้าที่เรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจึงเป็นเรื่องเฉพาะตัว หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถึงแก่ความตาย สิทธิและหน้าที่ดังกล่าวก็เป็นอันสิ้นสุดลงไม่ตกทอดไปยังทายาทเมื่อโจทก์ถึงแก่ความตายไปแล้ว สภาพบุคคลของโจทก์ก็หมดสิ้นไปภาระหน้าที่ในส่วนนี้จึงยุติไปด้วย

 

 ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงรับฟังได้ยุติว่า เด็กหญิงจิตตินีหรืออนัญพร ผู้เยาว์ เกิดจากโจทก์ในระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส และต่อมาไม่ปรากฏว่าโจทก์กับจำเลยได้จดทะเบียนสมรสกันหรือจำเลยได้จดทะเบียนว่าผู้เยาว์เป็นบุตรหรือมีคำพิพากษาของศาลว่าผู้เยาว์เป็นบุตรของจำเลย ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีตามที่จำเลยฎีกาเพียงว่าการที่จำเลยมีพฤติการณ์รับรองว่าผู้เยาว์เป็นบุตร เช่น การให้ผู้เยาว์ใช้ชื่อสกุลของจำเลยและการที่จำเลยอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์อย่างบิดากับบุตรมาตลอด ถือได้ว่าจำเลยเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้เยาว์แล้วหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547 บัญญัติไว้ว่า เด็กเกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกันจะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายต่อเมื่อบิดามารดาได้สมรสกันในภายหลังหรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร ดังนี้ พฤติการณ์รับรองว่าผู้เยาว์เป็นบุตร เช่น การให้ผู้เยาว์ใช้ชื่อสกุลของจำเลย และการที่จำเลยอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์อย่าบิดากับบุตรจึงไม่ใช่เหตุที่กฎหมายรับรองทำให้ผู้เยาว์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยได้ จำเลยจึงไม่ใช่บิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้เยาว์ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยไม่มีอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ตามกฎหมาย จำเลยจึงต้องคืนผู้เยาว์แก่โจทก์ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น"

 

พฤติการณ์รับรองว่าผู้เยาว์เป็นบุตรเช่นการให้ผู้เยาว์ใช้ชื่อสกุลของจำเลยและการที่จำเลยอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์อย่างบิดากับบุตรจึงไม่ใช่เหตุที่กฎหมายรับรองทำให้ผู้เยาว์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยได้ จำเลยจึงไม่ใช่บิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้เยาว์



เปลี่ยนสิทธิดูแลบุตรจากมารดาเป็นบิดา
สิทธิและหน้าที่ในการเลี้ยงดูบุตร, ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร,
การเลี้ยงดูบุตรหลังการหย่า, การอุปการะเลี้ยงดูบุตร มาตรา 1564, ข้อตกลงการเลี้ยงดูบุตรในกรณีหย่าร้าง
ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร, การคำนวณค่าเลี้ยงดูบุตร, สิทธิเลี้ยงดูบุตร หลังการหย่า,
การจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตร, การรับรองบุตร, ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร
การเปลี่ยนแปลงอำนาจการปกครองบุตร, การยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อสิทธิเลี้ยงดูบุตร
เปลี่ยนตัวผู้ใช้อำนาจปกครอง
การถอนอำนาจปกครองบิดา ตั้งน้าสาวเป็นผู้ปกครองผู้เยาว์แทน
บิดามารดาโดยกำเนิดหมดอำนาจปกครองบุตร
กฎหมายเรื่อง,ฟ้องร้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร, ฟ้องหย่า, อำนาจปกครองบุตร,
ขอเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว
ขอจดทะเบียนรับรองบุตร,ขอรับเด็กเป็นบุตร บุตรนอกสมรส
ค่าอุปการะเลี้ยงดูกับค่าเลี้ยงชีพ, การใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์
ฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตร-มารดาเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมฟ้องแทนได้
การถอนอำนาจปกครองเป็นอำนาจของศาล
ส่วนแบ่งสินสมรสและความรับผิดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร
อำนาจศาลเพิกถอน ลด เพิ่ม หรือกลับการให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร
เด็กเกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกัน
ให้ใช้นามสกุลในสูติบัตรยังไม่เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย
หน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบุตรยุติไปด้วยความตายไม่ตกทอดเป็นมรดก
โจทก์ฟ้องขอให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว
หน้าที่ตามกฎหมายบิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตร
อายุความฟ้องขอเลิกรับบุตรบุญธรรม
ฟ้องขอให้เพิกถอนข้อตกลงท้ายทะเบียนหย่า ค่าเลี้ยงชีพ อำนาจปกครองบุตร
อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียวมีได้ในกรณีใดบ้าง
รับสมอ้างว่าเป็นบุตรในการแจ้งเกิด, บิดาในสูติบัตร
ทำสัญญาประนีประนอมแทนผู้เยาว์ต้องขออนุญาตศาล
การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรแต่บิดาปฏิเสธว่าเป็นบุตร
เรียกบุตรคืนจากสามีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย, บิดานอกกฎหมายไม่มีสิทธิที่จะกำหนดที่อยู่ของบุตร
บิดาลงชื่อในใบแต่งทนายความแทนบุตรที่บรรละนิติภาวะแล้ว
การจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตร (เด็กและมารดาของเด็กถึงแก่ความตายแล้ว)
บุตรนอกกฎหมายเรียกค่าขาดไร้อุปการะได้หรือไม่?
บุตรนอกกฎหมาย สิทธิประกันสังคม
บุตรจำต้องเลี้ยงดูบิดามารดา เรียกค่าขาดไร้อุปการะจากจำเลยได้
ข้อตกลงท้ายทะเบียนหย่าให้บิดาเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร
ผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว
เพิกถอนหน้าที่ผู้จัดการทรัพย์สิน
ฟ้องบุพการี,คดีอุทลุม,การใช้สิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์จากผู้ไม่มีสิทธิยึดถือได้
อำนาจศาลสั่งให้บิดาหรือมารดาใช้อำนาจปกครองแต่เพียงผู้เดียว
ศาลชอบที่จะสั่งให้แก้ไขความบกพร่องเรื่องความสามารถเสียก่อนยกฟ้อง
บุตรไม่ชอบด้วยกฎหมายฟ้องบิดาไม่เป็นคดีอุทลุม
การฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตรต้องพิสูจน์หักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมาย
การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตร (คดีขาดอายุความ)
ใช้สิทธิทางศาลขอเป็นบิดาชอบด้วยกฎหมาย
บิดาขอจดทะเบียนรับรองบุตรกรณีเด็กถึงแก่ความตายแล้ว
การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตร (บิดาถึงแก่ความตาย)
อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์, ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร
ไม่มีกฎหมายให้บิดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรนอกกฎหมาย
ฟ้องให้บิดารับรองบุตร เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์
การนับอายุความสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนของผู้เยาว์
จำเลยตั้งครรภ์ด้วยวิธีการผสมเทียมโดยไม่ใช่อสุจิของโจทก์
สามีนำเงินสินส่วนตัวชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองที่ดินสินสมรส
ละเมิดเรียกค่าขาดแรงงานในครัวเรือนของบิดามารดา
ศาลมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขตามสัญญายอมความได้
ผู้เยาว์บรรลุนิติภาวะได้ทั้งการสมรสหรือมีอายุครบ 20 ปี
คำร้องขอจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย
สามีภริยาสมัครใจมีบุตรร่วมกันโดยการทำกิ๊ฟท์
การอุปการะเลี้ยงดูบุตรต้องกระทำจนถึงบุตรบรรลุนิติภาวะ
เงินที่มีผู้ช่วยทำศพผู้ตายนำมาบรรเทาความรับผิดไม่ได้
โจทก์เป็นบุตรมีอำนาจฟ้องบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายได้
ห้ามฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งและคดีอาญา
บุตรขอเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ผู้ตายในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ถือหุ้นฟ้องปู่ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทไม่เป็นคดีอุทลุม
คดีอุทลุมคือการห้ามฟ้องบุพการี
ฟ้องให้รับรองบุตรเมื่อเด็กอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์แล้ว
กฎหมายไม่บังคับว่าบุตรจะต้องใช้ชื่อสกุลของบิดาหรือมารดา
สิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ
การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตร
ฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตรเนื่องจากไม่ใช่บุตรที่แท้จริง
เด็กหรือมารดาเด็กไม่ให้ความยินยอมจดทะเบียนรับรองบุตรได้หรือไม่
ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเป็นบุตรเพราะมิใช่บิดาแท้จริง
สิทธิรับมรดกของบุตรนอกกฎหมายที่เจ้ามรดกได้รับรองแล้ว
บุตรนอกสมรสตาย บิดามารดาจดทะเบียนสมรสภายหลังการตาย
เมื่อศาลได้พิพากษาแล้วไม่จำต้องบังคับจำเลยให้ไปจดทะเบียนรับเป็นบุตรอีก
เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ให้หญิงอื่นตั้งครรภ์แทน
เพิกถอนอำนาจปกครองเกี่ยวกับการกำหนดที่อยู่ของบุตร
หน้า 1/1
1
[Go to top]