ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




(ฎีกาที่ 3013/2568) – ฟ้องบุพการีอุทลุมต้องห้าม ป.พ.พ. มาตรา 1562

คำพิพากษาศาลฎีกา 3013/2568, การฟ้องบุพการีตาม ป.พ.พ. มาตรา 1562, บุตรไม่มีอำนาจฟ้องมารดา, ฟ้องผู้จัดการมรดกที่เป็นบุพการี, ตัวอย่างคดีอุทลุม, แนวคำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องบุพการี, วิเคราะห์กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562, บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายฟ้องบุพการี, สิทธิของผู้จัดการมรดกในคดีครอบครัว, ฟ้องโอนที่ดินที่มีชื่อบิดามารดา, การตีความมาตรา 1562 ศาลฎีกา, แนวปฏิบัติทางรูปคดีศาลฎีกา, อำนาจฟ้องของทายาทโดยธรรม, บทวิเคราะห์กฎหมายครอบครัวและมรดก, คำพิพากษาศาลฎีกาประจำปี 2568

ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการตีความประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562 ซึ่งบัญญัติห้ามมิให้บุตรฟ้องบุพการีของตนในคดีแพ่งหรือคดีอาญา โดยกรณีนี้ โจทก์ในฐานะบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายฟ้องมารดาเพื่อให้โอนที่ดินพิพาทอ้างว่าได้ซื้อจากบิดามารดาแล้ว ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการฟ้องดังกล่าวเป็นคดีอุทลุมต้องห้ามตามกฎหมาย แม้จะอ้างสถานะจำเลยเป็นทายาทหรือผู้จัดการมรดกก็ตาม จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

ข้อเท็จจริง

โจทก์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยและนายนพ

ที่ดินพิพาทมีชื่อจำเลยและนายนพเป็นเจ้าของร่วม

โจทก์อ้างว่าได้ซื้อที่ดินพิพาทจากบิดามารดาและขอให้โอนชื่อในทะเบียนเป็นของตน

หลังนายนพเสียชีวิต ศาลตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดก

โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยโอนที่ดินโดยอ้างสิทธิซื้อขาย

🔹 1. บทกฎหมายที่ใช้เป็นหลักในคดีนี้

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562

“ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญามิได้...”

📌 สาระสำคัญของมาตรานี้:

เป็นบทบัญญัติ ตัดสิทธิในการฟ้องบุพการีของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นบิดาหรือมารดา — ถือเป็น “คดีอุทลุมต้องห้าม” (คือคดีที่กฎหมายห้ามเด็ดขาด ศาลต้องยกฟ้องทันที)

ในคดีนี้ ศาลฎีกาใช้มาตรา 1562 เป็นหลักในการวินิจฉัยว่า

➡️ โจทก์ในฐานะบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีอำนาจฟ้องมารดา (จำเลย) แม้จะอ้างฐานะ “ผู้จัดการมรดก” ของบิดาผู้ตายก็ตาม

เพราะข้อเท็จจริงปรากฏว่าเป็นการฟ้องเพื่อ “ประโยชน์ส่วนตัวของบุตร” โดยตรง

🔹 2. Key Words ที่เป็นแก่นของคดีนี้ (พร้อมขยายประเด็นสั้น ๆ)

① ฟ้องบุพการี 

เป็นหัวใจของคดี — โจทก์ซึ่งเป็นบุตรฟ้องมารดาเพื่อขอให้โอนที่ดินเข้าชื่อตนเอง ถือว่าเข้าลักษณะ “ฟ้องบุพการี” ตามที่มาตรา 1562 ห้ามไว้โดยเด็ดขาด

② คดีอุทลุม 

คดีนี้เป็น คดีอุทลุมต้องห้าม เนื่องจากการฟ้องบุพการีเป็นการกระทำที่กฎหมายปิดประตูไม่ให้ศาลรับไว้พิจารณา ไม่ใช่เรื่องขั้นตอนหรือเทคนิค แต่เป็นเรื่องของ “สิทธิห้ามโดยเด็ดขาด”

③ เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของบุตร

แม้โจทก์อ้างว่าฟ้องในฐานะ “ทายาทโดยธรรม” หรือ “ผู้จัดการมรดก” ของบิดาผู้ตาย แต่เนื้อหาของฟ้องเป็นการเรียกร้องสิทธิให้ตนเองโดยตรง — ศาลจึงเห็นว่าเป็นการฟ้องเพื่อ “ประโยชน์ส่วนตัวของบุตร” ซึ่งอยู่ในข่ายห้ามตามมาตรา 1562

④ ผู้จัดการมรดก

ศาลวินิจฉัยชัดว่า “การเป็นผู้จัดการมรดก” ไม่ได้ทำให้พ้นจากข้อห้ามของมาตรา 1562 เพราะสถานะดังกล่าวไม่ได้เปลี่ยนความสัมพันธ์ทางกฎหมายระหว่างบุตรกับบุพการี การฟ้องจึงยังต้องห้ามอยู่

⑤ อำนาจฟ้อง 

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ “ไม่มีอำนาจฟ้อง”เพราะการฟ้องละเมิดบทบัญญัติแห่งมาตรา 1562 ซึ่งเป็นข้อห้ามเด็ดขาด — ศาลจึงไม่จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นอื่นของฎีกาต่อไป

🔸 สรุปสั้นที่สุด

คดีนี้ใช้มาตรา 1562 แห่ง ป.พ.พ. เป็นหลักในการวินิจฉัยว่า “บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายไม่มีสิทธิฟ้องบุพการีของตน” แม้จะอ้างฐานะผู้จัดการมรดกหรือทายาทก็ตาม

ศาลถือว่าเป็น “คดีอุทลุมต้องห้าม” เพราะฟ้องเพื่อประโยชน์ส่วนตัวโดยตรง จึงยกฟ้อง

คำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์

ศาลชั้นต้น: พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์

ศาลอุทธรณ์ภาค 8: แก้เป็นยกคำพิพากษาส่วนที่ว่า ที่ดินเป็นของโจทก์ ถือว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

คำวินิจฉัยของศาลฎีกา

ป.พ.พ. มาตรา 1562 กำหนดชัดว่า “ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนมิได้”

แม้โจทก์อ้างว่าฟ้องจำเลยในฐานะ “ทายาทและผู้จัดการมรดก” แต่แก่นแท้คือการฟ้อง “มารดา” ซึ่งเป็นบุพการี เพื่อประโยชน์ส่วนตน

หากบิดายังมีชีวิตอยู่ โจทก์ก็ไม่อาจฟ้องบิดาเพื่อบังคับโอนที่ดินได้

การฟ้องจึงเป็นคดีอุทลุมต้องห้ามตามมาตรา 1562

ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

พิพากษายืน – ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

ขยายความประเด็นทางกฎหมาย

เจตนารมณ์ของมาตรา 1562: เพื่อคุ้มครองความสัมพันธ์ระหว่างบุตรและบุพการี ป้องกันมิให้เกิดการฟ้องร้องในทางแพ่งหรืออาญาซึ่งอาจกระทบต่อความสงบเรียบร้อยในครอบครัว

ขอบเขตการใช้บังคับ: จำกัดเฉพาะกรณีที่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายฟ้องบุพการีเพื่อประโยชน์ส่วนตน ไม่อาจอ้างสถานะอื่น เช่น ทายาท หรือผู้จัดการมรดก เพื่อเลี่ยงบทบัญญัติ

แนวทางการตีความ: ศาลฎีกายึดหลักการตีความเคร่งครัด เมื่อเป็นบทบัญญัติที่ตัดสิทธิบุคคล

ผลของคดี: คำฟ้องของโจทก์ตกเป็นคดีอุทลุมอันต้องห้าม ฟ้องไม่ได้

สรุปข้อคิดทางกฎหมาย

คดีนี้ตอกย้ำหลักการว่า บุตรไม่อาจฟ้องบุพการีของตนเพื่อประโยชน์ส่วนตัวได้ ไม่ว่าจะอ้างฐานะจำเลยเป็นทายาทหรือผู้จัดการมรดกก็ตาม การตีความมาตรา 1562 ต้องเคร่งครัดเพื่อรักษาความสัมพันธ์ครอบครัวและหลักนิติธรรม

IRAC

Issue (ประเด็นปัญหา)

โจทก์ซึ่งเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย มีอำนาจฟ้องมารดาเพื่อบังคับโอนที่ดินโดยอ้างสิทธิซื้อขายหรือไม่

Rule (กฎหมายที่ใช้บังคับ)

ป.พ.พ. มาตรา 1562 “ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญามิได้”

Application (การวินิจฉัย)

แม้โจทก์อ้างว่าฟ้องจำเลยในฐานะทายาทและผู้จัดการมรดก แต่เนื้อแท้คือการฟ้อง “มารดา” เพื่อให้โอนที่ดินซึ่งเป็นประโยชน์ส่วนตัว หากบิดายังมีชีวิตอยู่ก็ไม่อาจฟ้องได้เช่นเดียวกัน ศาลจึงเห็นว่าเป็นคดีอุทลุมต้องห้ามตามมาตรา 1562

Conclusion (ข้อสรุป)

โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ยกฟ้อง

🟩 คำถามที่ 1:

ในกรณีที่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายฟ้องมารดาของตน ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของบิดาที่ถึงแก่ความตาย เพื่อให้ไปจดทะเบียนโอนที่ดินซึ่งมีชื่อของบิดาและมารดาเป็นเจ้าของร่วมให้เป็นชื่อของบุตร โดยอ้างว่าบิดาและมารดาได้ขายที่ดินดังกล่าวให้แล้ว ศาลฎีกาวินิจฉัยอย่างไรเกี่ยวกับ “อำนาจฟ้องของบุตร” และการตีความบทบัญญัติแห่งมาตรา 1562 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าห้ามฟ้องบุพการีในลักษณะเช่นนี้หรือไม่

🟦 คำตอบ:

ศาลฎีกาได้วินิจฉัยโดยยึดหลักบทบัญญัติของ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562 ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญามิได้” อันเป็นบทบัญญัติที่ตัดสิทธิการฟ้องโดยเด็ดขาด (เป็น “คดีอุทลุมต้องห้าม”) เพื่อคุ้มครองความสัมพันธ์ภายในครอบครัวมิให้บุตรดำเนินคดีกับบิดามารดาในเรื่องส่วนตัวของตนเอง

ในคดีนี้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยกับนายนพ ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมในที่ดินพิพาท และภายหลังนายนพถึงแก่ความตาย ศาลได้แต่งตั้งให้จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนายนพ โจทก์จึงฟ้องจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกและทายาทโดยธรรมของบิดา ขอให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้ตน โดยอ้างว่าจำเลยและนายนพได้ขายที่ดินให้แก่โจทก์แล้ว

ศาลฎีกาได้พิเคราะห์ว่า แม้โจทก์จะอ้างว่าฟ้องจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของบิดา แต่เนื้อหาของคำฟ้องกลับแสดงให้เห็นว่าการฟ้องดังกล่าวเป็นไป “เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของโจทก์” โดยตรง เนื่องจากมีวัตถุประสงค์ให้โอนที่ดินมาเป็นชื่อของตนเอง มิใช่เพื่อจัดการหรือรักษาผลประโยชน์ของกองมรดกตามอำนาจผู้จัดการมรดกแต่อย่างใด

ดังนั้น เมื่อจำเลยยังเป็น “มารดาโดยชอบด้วยกฎหมาย” ของโจทก์ การฟ้องในลักษณะดังกล่าวจึงเข้าลักษณะ “บุตรฟ้องบุพการีของตน” เพื่อประโยชน์ส่วนตัวโดยตรง ซึ่งเป็นการกระทำต้องห้ามตามมาตรา 1562 ศาลฎีกาจึงเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ภาค 8 ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และให้ยืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

กล่าวโดยสรุป: คดีนี้เป็นตัวอย่างชัดเจนที่ศาลฎีกายืนยันหลักว่า “บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งไม่ได้” แม้จะอ้างสถานะผู้จัดการมรดกก็ตาม หากการฟ้องมีวัตถุประสงค์เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของบุตร ย่อมต้องถือว่าเป็นคดีอุทลุมต้องห้ามตามมาตรา 1562

🟩 คำถามที่ 2:

การที่โจทก์ในคดีนี้อ้างตนเป็น “ผู้จัดการมรดกของบิดาผู้ตาย” และฟ้องจำเลยซึ่งเป็นมารดาเพื่อให้จดทะเบียนโอนที่ดิน อันมีชื่อของบิดาและมารดาเป็นเจ้าของร่วม โดยโจทก์อ้างว่าเป็นการใช้สิทธิในฐานะผู้จัดการมรดก มิใช่ในฐานะบุตร ศาลฎีกาได้ตีความ “ขอบเขตของบทห้ามฟ้องบุพการี” อย่างไร และเห็นว่าการอ้างฐานะผู้จัดการมรดกดังกล่าวมีผลทำให้คดีพ้นจากข้อห้ามตามมาตรา 1562 หรือไม่

🟦 คำตอบ:

ศาลฎีกาได้วางหลักสำคัญไว้ชัดเจนว่า การตีความบทบัญญัติแห่ง มาตรา 1562 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ต้องกระทำอย่างเคร่งครัด เพราะเป็นบทกฎหมายที่ “ตัดสิทธิในการฟ้อง” ของบุคคลหนึ่งต่อบุพการีของตนโดยเด็ดขาด ทั้งนี้ บทบัญญัติดังกล่าวมิได้จำกัดเฉพาะคดีที่บุตรฟ้องในฐานะบุตรโดยตรงเท่านั้น หากแต่รวมถึงกรณีที่บุตรพยายามอ้างสถานะทางกฎหมายอื่นเพื่อดำเนินคดีกับบุพการีของตนด้วย หากเนื้อแท้ของการฟ้องยังคงเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว

ในคดีนี้ โจทก์อ้างว่า ฟ้องจำเลยในฐานะ “ผู้จัดการมรดกของบิดา” เพื่อให้โอนที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์ร่วมระหว่างบิดาและมารดาให้แก่ตนเอง แต่เมื่อพิจารณาจากคำขอฟ้องและข้อเท็จจริงแล้ว การฟ้องนี้มิใช่การดำเนินการเพื่อจัดการหรือรักษาผลประโยชน์ของกองมรดกโดยรวมของบิดา หากแต่เป็นการดำเนินคดีเพื่อให้ที่ดินตกเป็นของโจทก์ผู้เดียว ซึ่งเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวของบุตรโดยตรง

ศาลฎีกาจึงเห็นว่า แม้โจทก์จะอ้างสถานะผู้จัดการมรดก แต่จำเลยยังคงเป็น “มารดาโดยชอบด้วยกฎหมาย” ของโจทก์ และเนื้อหาการฟ้องก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของโจทก์ จึงไม่อาจอาศัยสถานะผู้จัดการมรดกมาเป็นเหตุยกเว้นบทห้ามตามมาตรา 1562 ได้

ข้อวินิจฉัยสำคัญ:

ศาลฎีกาย้ำว่า การเป็นผู้จัดการมรดกเป็นเพียง “ฐานะในการดำเนินการแทนกองมรดก” มิใช่ฐานะใหม่ที่ตัดขาดความสัมพันธ์ทางครอบครัวระหว่างบุตรกับบุพการี ดังนั้น หากบุตรใช้ฐานะดังกล่าวเพื่อดำเนินคดีกับมารดาในเรื่องส่วนตัว ก็ยังคงเข้าลักษณะ “บุตรฟ้องบุพการี” อันต้องห้ามตามกฎหมายเช่นเดิม

สรุป: การอ้างฐานะเป็นผู้จัดการมรดกไม่ได้ทำให้คดีพ้นจากข้อห้ามตามมาตรา 1562 เพราะแก่นของการฟ้องยังเป็นการดำเนินคดีระหว่างบุตรกับบุพการีเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ศาลจึงถือว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องเช่นเดิม

🔸 สรุปรวมทั้งสองประเด็น (ภาพรวมทางกฎหมาย):

คดีนี้จึงเป็นแนวคำพิพากษาที่ศาลฎีกาเน้นย้ำว่า

มาตรา 1562 เป็นบทกฎหมายที่มีลักษณะ “ตัดสิทธิอย่างเด็ดขาด”

การตีความต้องเคร่งครัดและครอบคลุมกรณีที่บุตรใช้ฐานะอื่นฟ้องบุพการี

การฟ้องเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของบุตรต่อบุพการี ไม่ว่าจะอ้างสถานะใดก็ตาม ย่อมเป็น คดีอุทลุมต้องห้าม

English Summary 

Supreme Court Decision No. 3013/2025 concerns Section 1562 of the Civil and Commercial Code, which prohibits children from filing civil or criminal lawsuits against their parents. The plaintiff, as a lawful child, sued his mother (also the estate administrator) to transfer disputed land, claiming prior purchase. The Court held that such a claim constitutes a prohibited “unfilial suit” under Section 1562, regardless of the plaintiff’s reliance on inheritance rights. The Supreme Court upheld the Appeal Court’s ruling that the plaintiff had no standing to sue.


ฎีกา 3013/2568: บุตรฟ้องมารดาให้โอนที่ดิน อ้างสิทธิซื้อขายจากบิดามารดา ศาลวินิจฉัยว่าเป็นคดีอุทลุมต้องห้ามตาม ป.พ.พ. ม.1562 เพราะเป็นการฟ้องบุพการีเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ศาลฎีกาพิพากษายืนว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3013/2568

ป.พ.พ. มาตรา 1562 บัญญัติว่า "ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญามิได้..." อันเป็นบทบัญญัติตัดสิทธิห้ามมิให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดฟ้องบุพการีของตน จึงต้องตีความอย่างเคร่งครัดโดยจำกัดเฉพาะกรณีบุคคลผู้ฟ้องคดีในฐานะที่ตนเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายฟ้องบุพการีเพื่อประโยชน์ส่วนตัว แม้ตามคำฟ้องของโจทก์ระบุว่าเป็นการฟ้องจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมและผู้จัดการมรดกของ น. ผู้ตายผู้เป็นบิดาของโจทก์ แต่จำเลยเป็นมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ และโจทก์มีคำขอให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทซึ่งมีชื่อจำเลยและ น. ผู้เป็นบิดาเป็นชื่อของโจทก์ โดยอ้างว่าจำเลยและ น. ได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แล้ว ถ้าหาก น. ยังมีชีวิตอยู่ โจทก์ก็ไม่อาจฟ้อง น. ผู้เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายให้โอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ด้วยเหตุอย่างเดียวกันนี้ได้เพราะเป็นคดีอุทลุมต้องห้ามตามมาตรา 1562 ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมและผู้จัดการมรดกของ น. ผู้ตายให้ไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นชื่อของโจทก์ จึงเป็นกรณีที่โจทก์ในฐานะบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายฟ้องจำเลยซึ่งเป็นบุพการีเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของโจทก์เองโดยตรง ฟ้องโจทก์จึงเป็นคดีอุทลุมอันต้องห้ามตามมาตรา 1562

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยในฐานะทายาทและผู้จัดการมรดกของนายนพไปดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อในทะเบียนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 704 จากชื่อของนายนพและจำเลยเป็นชื่อโจทก์ หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 704 เป็นของโจทก์ คำขออื่นให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในส่วนที่พิพากษาว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 704 เป็นของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกิน 200 บาท แก่โจทก์และจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมส่วนที่ศาลไม่สั่งคืนทั้งสองชั้นศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับกันและไม่ได้โต้แย้งกันรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยกับนายนพ จำเลยและนายนพมีชื่อเป็นเจ้าของร่วมกันในที่ดินพิพาท เมื่อปี 2525 โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ปลูกพืชผลและสร้างบ้านบนที่ดินพิพาท ในวันที่ 15 กันยายน 2558 นายนพถึงแก่ความตาย และศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงวันที่ 29 ตุลาคม 2561 ตั้งจำเลยให้เป็นผู้จัดการมรดกของนายนพ ต่อมาโจทก์ขอให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โดยอ้างว่านายนพและจำเลยซึ่งเป็นบิดามารดาได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562 บัญญัติว่า "ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญามิได้..." อันเป็นบทบัญญัติตัดสิทธิห้ามมิให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดฟ้องบุพการีของตน จึงต้องตีความอย่างเคร่งครัดโดยจำกัดเฉพาะกรณีบุคคลผู้ฟ้องคดีในฐานะที่ตนเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายฟ้องบุพการีเพื่อประโยชน์ส่วนตัว คดีนี้ แม้ตามคำฟ้องของโจทก์ระบุว่าเป็นการฟ้องจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมและผู้จัดการมรดกของนายนพผู้ตายดังที่โจทก์ฎีกาก็ตาม แต่จำเลยเป็นมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์และโจทก์มีคำขอให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทซึ่งมีชื่อจำเลยและนายนพผู้เป็นบิดาเป็นชื่อของโจทก์โดยอ้างว่าจำเลยและนายนพได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แล้ว ถ้าหากนายนพยังมีชีวิตอยู่ โจทก์ก็ไม่อาจฟ้องนายนพผู้เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายให้โอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ด้วยเหตุอย่างเดียวกันนี้ได้เพราะเป็นคดีอุทลุมต้องห้ามตามมาตรา 1562 ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมและผู้จัดการมรดกของนายนพผู้ตายให้ไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นชื่อของโจทก์ จึงเป็นกรณีที่โจทก์ในฐานะบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายฟ้องจำเลยซึ่งเป็นบุพการีเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของโจทก์เองโดยตรง ฟ้องโจทก์จึงเป็นคดีอุทลุมอันต้องห้ามตามมาตรา 1562 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยข้อฎีกาของโจทก์ในประการอื่นเพราะไม่มีผลทำให้คดีเปลี่ยนแปลง ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

 

•	เจตนารมณ์มาตรา 1562: คุ้มครองความสัมพันธ์บุตรกับบุพการี ป้องกันการฟ้องร้องที่กระทบความสงบเรียบร้อยครอบครัว •	ขอบเขตบังคับ: จำกัดเฉพาะบุตรฟ้องบุพการีเพื่อประโยชน์ตน แม้อ้างเป็นทายาทหรือผู้จัดการมรดกก็ไม่พ้น •	แนวทางตีความ: ศาลฎีกาใช้การตีความเคร่งครัดเพราะเป็นบทตัดสิทธิ •	ผลคดี: คำฟ้องเป็นคดีอุทลุม ต้องห้ามฟ้อง




บิดามารดา กับ บุตร

ไม่มีกฎหมายให้บิดาต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรนอกกฎหมาย แม้บิดาจะรับรองแล้วก็ตาม
การจดทะเบียนรับรองบุตร: ขั้นตอน กฎหมาย และคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง
ขอบเขตการขอเป็นคู่ความแทนในคดีหย่าและแบ่งสินสมรส(ฎีกา 3927/2562)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4410/2563 : ศาลฎีกายืนให้บิดาจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรตามศาลชั้นต้น
เปลี่ยนสิทธิดูแลบุตรจากมารดาเป็นบิดา
สิทธิและหน้าที่ในการเลี้ยงดูบุตร, ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร,
การเลี้ยงดูบุตรหลังการหย่า, การอุปการะเลี้ยงดูบุตร มาตรา 1564, ข้อตกลงการเลี้ยงดูบุตรในกรณีหย่าร้าง
ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร, การคำนวณค่าเลี้ยงดูบุตร, สิทธิเลี้ยงดูบุตร หลังการหย่า,
การจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตร, การรับรองบุตร, ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร
การเปลี่ยนแปลงอำนาจการปกครองบุตร, การยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อสิทธิเลี้ยงดูบุตร
เปลี่ยนตัวผู้ใช้อำนาจปกครอง
สิทธิการตั้งผู้ปกครองผู้เยาว์เมื่อมารดาเสียชีวิตและบิดายังมีชีวิต(ฎีกา 2563/2544)
บิดามารดาโดยกำเนิดหมดอำนาจปกครองบุตร
กฎหมายเรื่อง,ฟ้องร้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร, ฟ้องหย่า, อำนาจปกครองบุตร,
ขอเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว
ค่าอุปการะเลี้ยงดูกับค่าเลี้ยงชีพ, การใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์
ฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตร-มารดาเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมฟ้องแทนได้
สิทธิอำนาจปกครองบุตรหลังหย่า และเงื่อนไขการ ‘ตั้งผู้ปกครอง’(ฎีกา 2960/2548)
ส่วนแบ่งสินสมรสและความรับผิดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร
อำนาจศาลเพิกถอน ลด เพิ่ม หรือกลับการให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร
เด็กเกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกัน
ให้ใช้นามสกุลในสูติบัตรยังไม่เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย
หน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบุตรยุติไปด้วยความตายไม่ตกทอดเป็นมรดก
โจทก์ฟ้องขอให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว
หน้าที่ตามกฎหมายบิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตร
อายุความฟ้องขอเลิกรับบุตรบุญธรรม
ถอนข้อตกลงท้ายทะเบียนหย่า เรียกค่าเลี้ยงชีพ อำนาจปกครองบุตร(ฎีกา 8596/2559)
อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียวมีได้ในกรณีใดบ้าง
รับสมอ้างว่าเป็นบุตรในการแจ้งเกิด, บิดาในสูติบัตร
ทำสัญญาประนีประนอมแทนผู้เยาว์ต้องขออนุญาตศาล
การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรแต่บิดาปฏิเสธว่าเป็นบุตร
เรียกบุตรคืนจากสามีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย, บิดานอกกฎหมายไม่มีสิทธิที่จะกำหนดที่อยู่ของบุตร
บิดาลงชื่อในใบแต่งทนายความแทนบุตรที่บรรละนิติภาวะแล้ว
การจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตร (เด็กและมารดาของเด็กถึงแก่ความตายแล้ว)
บุตรนอกกฎหมายเรียกค่าขาดไร้อุปการะได้หรือไม่?
บุตรนอกกฎหมาย สิทธิประกันสังคม
บุตรจำต้องเลี้ยงดูบิดามารดา เรียกค่าขาดไร้อุปการะจากจำเลยได้
ข้อตกลงท้ายทะเบียนหย่าให้บิดาเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร
ผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว
เพิกถอนผู้จัดการทรัพย์สินผู้เยาว์ & ส่งมอบทรัพย์สิน(ฎีกา 458/2547)
ฟ้องบุพการี,คดีอุทลุม,การใช้สิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์จากผู้ไม่มีสิทธิยึดถือได้
อำนาจศาลสั่งให้ใช้อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว(ฎีกา 2668/2556)
ศาลชอบที่จะสั่งให้แก้ไขความบกพร่องเรื่องความสามารถเสียก่อนยกฟ้อง
บุตรไม่ชอบด้วยกฎหมายฟ้องบิดาไม่เป็นคดีอุทลุม
การฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตรต้องพิสูจน์หักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมาย
การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตร (คดีขาดอายุความ)
ใช้สิทธิทางศาลขอเป็นบิดาชอบด้วยกฎหมาย
บิดาขอจดทะเบียนรับรองบุตรกรณีเด็กถึงแก่ความตายแล้ว
การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตร (บิดาถึงแก่ความตาย)
อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์, ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร
ฟ้องให้บิดารับรองบุตร เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์
การนับอายุความสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนของผู้เยาว์
จำเลยตั้งครรภ์ด้วยวิธีการผสมเทียมโดยไม่ใช่อสุจิของโจทก์
ละเมิดเรียกค่าขาดแรงงานในครัวเรือนของบิดามารดา
ศาลมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขตามสัญญายอมความได้
ผู้เยาว์บรรลุนิติภาวะได้ทั้งการสมรสหรือมีอายุครบ 20 ปี
คำร้องขอจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย
สามีภริยาสมัครใจมีบุตรร่วมกันโดยการทำกิ๊ฟท์
การอุปการะเลี้ยงดูบุตรต้องกระทำจนถึงบุตรบรรลุนิติภาวะ
เงินที่มีผู้ช่วยทำศพผู้ตายนำมาบรรเทาความรับผิดไม่ได้
โจทก์เป็นบุตรมีอำนาจฟ้องบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายได้
ห้ามฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งและคดีอาญา
บุตรขอเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ผู้ตายในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ถือหุ้นฟ้องปู่ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทไม่เป็นคดีอุทลุม
คดีอุทลุมคือการห้ามฟ้องบุพการี
ฟ้องให้รับรองบุตรเมื่อเด็กอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์แล้ว
กฎหมายไม่บังคับว่าบุตรจะต้องใช้ชื่อสกุลของบิดาหรือมารดา
สิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ
การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตร
ฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตรเนื่องจากไม่ใช่บุตรที่แท้จริง
เด็กหรือมารดาเด็กไม่ให้ความยินยอมจดทะเบียนรับรองบุตรได้หรือไม่
ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเป็นบุตรเพราะมิใช่บิดาแท้จริง
สิทธิรับมรดกของบุตรนอกกฎหมายที่เจ้ามรดกได้รับรองแล้ว
บุตรนอกสมรสตาย บิดามารดาจดทะเบียนสมรสภายหลังการตาย
เมื่อศาลได้พิพากษาแล้วไม่จำต้องบังคับจำเลยให้ไปจดทะเบียนรับเป็นบุตรอีก
เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ให้หญิงอื่นตั้งครรภ์แทน
ถอนอำนาจปกครองบิดามารดาเกี่ยวกับการกำหนดที่อยู่ของบุตร(ฎีกา 515/2560)