
การสมรสโมฆะเพราะผู้ตายหมดสภาพบุคคล, มาตรา 1457 ผู้ตายไม่อาจทำการสมรส (ฎีกา 1541/2568) ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ คดีนี้เป็นหนึ่งในตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความหมายของการสมรสที่แท้จริงตามกฎหมายไทย โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับ สภาพบุคคล และการสิ้นสุดสภาพบุคคลเมื่อถึงแก่ความตาย ซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1457 ที่บัญญัติไว้ชัดเจนว่า “บุคคลที่ถึงแก่ความตายแล้ว ไม่มีสภาพบุคคล ไม่อาจทำการสมรสได้” กฎหมายข้อนี้มีลักษณะเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย และศาลย่อมนำมาบังคับใช้โดยเคร่งครัด ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในคดี มีบุคคลหนึ่งได้เสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่หลายสิบปีก่อน แต่ภายหลังมีบุคคลอื่นนำชื่อและบัตรประชาชนของผู้ที่ตายไปแล้วมาแอบอ้างในการจดทะเบียนสมรสกับบุคคลอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อการสมรสถูกบันทึกไว้ในทะเบียนราษฎร ผู้สืบสันดานของคู่สมรสตัวจริงจึงยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้เพิกถอนการสมรสดังกล่าว โดยอ้างว่าเป็นโมฆะ เพราะการยินยอมที่เกิดขึ้นไม่ใช่การยินยอมที่แท้จริงของผู้ตาย และผู้ตายไม่มีสภาพบุคคลแล้ว ศาลชั้นต้นในคดีนี้มีคำสั่งยกคำร้อง แต่ศาลอุทธรณ์กลับเห็นว่า การสมรสที่เกิดขึ้นดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงมีคำพิพากษาให้เพิกถอน และเมื่อคดีขึ้นสู่ศาลฎีกา ศาลฎีกาได้วินิจฉัยชัดเจนว่า หัวใจสำคัญอยู่ที่มาตรา 1457 เพราะผู้ตายย่อมไม่สามารถมีเจตนายินยอมได้อีก การสมรสที่อาศัยการแอบอ้างชื่อผู้ตายจึงไม่อาจถือว่าชอบด้วยกฎหมาย ศาลยังยกเหตุผลเพิ่มเติมว่า การสมรสที่แท้จริงต้องมีการยินยอมโดยตรงจากคู่สมรสทั้งสองฝ่ายต่อหน้านายทะเบียนตามมาตรา 1458 หากคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิตไปแล้ว ย่อมไม่สามารถไปแสดงเจตนาต่อหน้านายทะเบียนได้ ผลที่ตามมาคือ การสมรสที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นนี้ตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1495 ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ถือว่าไม่เคยมีการสมรสเกิดขึ้นตั้งแต่ต้น การเพิกถอนสมรสที่เป็นโมฆะยังเปิดโอกาสให้ผู้สืบสันดานหรือผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง สามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองความเป็นโมฆะได้ตามมาตรา 1496 และเมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้ว ต้องแจ้งไปยังนายทะเบียนให้บันทึกไว้ในทะเบียนสมรสตามมาตรา 1497/1 เพื่อให้ข้อมูลทางทะเบียนถูกต้องตรงตามข้อเท็จจริง จากคำวินิจฉัยนี้ จะเห็นได้ว่าศาลให้ความสำคัญกับหลักกฎหมายเกี่ยวกับ สภาพบุคคล อย่างเคร่งครัด การสิ้นสุดสภาพบุคคลเมื่อถึงแก่ความตาย หมายถึงการสิ้นสุดความสามารถในการทำการใด ๆ ในทางกฎหมายด้วย ไม่เพียงแต่ในเรื่องการสมรส แต่ยังรวมถึงการทำนิติกรรมหรือสัญญาทุกประเภท การสมรสจึงเป็นตัวอย่างชัดเจนของนิติกรรมที่ต้องอาศัยการยินยอมโดยตรงจากบุคคลทั้งสองฝ่าย และหากบุคคลใดถึงแก่ความตายแล้ว ก็ไม่สามารถทำการสมรสหรือให้ความยินยอมได้อีก นอกจากนี้ หลักกฎหมายที่ศาลยกขึ้นมาประกอบ เช่น มาตรา 1458 เรื่องการยินยอมต่อหน้านายทะเบียน ช่วยย้ำให้เห็นว่ากฎหมายกำหนดขั้นตอนและเงื่อนไขเพื่อป้องกันการปลอมแปลงหรือแอบอ้าง ส่วนมาตรา 1495 และ 1496 ก็กำหนดผลทางกฎหมายที่ตามมาอย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้สืบสันดานและผู้มีส่วนได้เสียได้รับความคุ้มครองตามสิทธิที่แท้จริง สรุปได้ว่า หลักการที่สำคัญที่สุดจากคดีนี้คือ มาตรา 1457 ที่ชี้ชัดว่า “บุคคลที่ถึงแก่ความตายแล้วไม่มีสภาพบุคคล ไม่อาจทำการสมรสได้” การแอบอ้างชื่อผู้ตายจดทะเบียนสมรสจึงเป็นโมฆะโดยสิ้นเชิง การยืนยันหลักกฎหมายข้อนี้ไม่เพียงเป็นการตีความเพื่อแก้ไขคดีเฉพาะราย แต่ยังเป็นแนวทางสำคัญในการรักษาความมั่นคงของสถาบันครอบครัว และป้องกันการทุจริตหรือการแสวงหาผลประโยชน์โดยไม่ชอบในทางกฎหมายต่อไป (อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับเต็ม)
ประเด็นสำคัญที่สุดของ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1541/2568 อยู่ที่การตีความและการใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1457, 1458, 1495 และ 1496 เป็นหลักในการวินิจฉัย กฎหมายที่ใช้เป็นหลัก • ป.พ.พ. มาตรา 1457 – บุคคลที่ถึงแก่ความตายแล้วไม่มีสภาพบุคคล ไม่อาจทำการสมรสได้ • ป.พ.พ. มาตรา 1458 – การสมรสต้องยินยอมโดยคู่สมรสทั้งสองต่อหน้านายทะเบียน • ป.พ.พ. มาตรา 1495 – การสมรสที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายตกเป็นโมฆะ • ป.พ.พ. มาตรา 1496 – คู่สมรส บิดามารดา หรือผู้สืบสันดาน มีสิทธิเข้าศาลร้องขอให้เพิกถอนการสมรสเป็นโมฆะได้
Keywords สำคัญที่สุด 1. “การยินยอมในการสมรส” o หัวใจของคดีนี้คือการยินยอมต้องเป็นของคู่สมรสที่แท้จริง ไม่ใช่การแอบอ้างบุคคลอื่น 2. “สภาพบุคคล” o ผู้ตายแล้วไม่อาจมีสิทธิหรือความสามารถทางกฎหมายในการสมรสได้ การแอบอ้างชื่อผู้ตายเป็นการกระทำที่ไม่ชอบ 3. “สมรสโมฆะ” o การสมรสที่ขาดการยินยอมที่แท้จริง หรือขัดต่อกฎหมายโดยตรง ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1495 4. “สิทธิผู้สืบสันดาน” o ผู้สืบสันดานสามารถร้องศาลให้เพิกถอนสมรสที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิในครอบครัวและทรัพย์สิน 5. “การเพิกถอนทะเบียนสมรส” o เมื่อศาลพิพากษาให้การสมรสเป็นโมฆะ ต้องแจ้งให้นายทะเบียนบันทึกไว้ในทะเบียนสมรสตามมาตรา 1497/1
👉 สรุปสั้น ๆ: คดีนี้ใช้ มาตรา 1457, 1458, 1495, และ 1496 เป็นแกนหลัก โดยแก่นสำคัญคือ การยินยอมที่แท้จริงในการสมรสและสิทธิของผู้สืบสันดานในการขอเพิกถอนสมรสโมฆะ
หลักกฎหมายมาตรา 1457, 1458, 1495, 1496 พร้อมตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาอื่นที่เกี่ยวข้อง หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 1. ป.พ.พ. มาตรา 1457 ข้อความกฎหมาย: “บุคคลที่ถึงแก่ความตายแล้ว ไม่มีสภาพบุคคล ไม่อาจทำการสมรสได้” หลักการ: มาตรานี้เป็นบทบัญญัติที่ตอกย้ำว่า “การสมรส” ต้องเกิดขึ้นระหว่างบุคคลที่ยังคงมีสภาพบุคคลอยู่ตามกฎหมาย การเสียชีวิตย่อมทำให้สภาพบุคคลสิ้นสุด และไม่สามารถก่อสิทธิหรือหน้าที่ทางกฎหมายได้อีก การที่มีบุคคลพยายามใช้ชื่อหรือเอกสารของผู้ตายไปทำการสมรส ย่อมไม่ก่อให้เกิดผลทางกฎหมายแต่อย่างใด
2. ป.พ.พ. มาตรา 1458 ข้อความกฎหมาย: “การสมรสจะทำได้ต่อเมื่อชายหญิงยินยอมเป็นสามีภริยากัน และต้องแสดงการยินยอมโดยเปิดเผยต่อหน้านายทะเบียน และให้นายทะเบียนบันทึกความยินยอมนั้นไว้ด้วย” หลักการ: การสมรสไม่เพียงแต่ต้องมีเจตนายินยอมเท่านั้น แต่การยินยอมนั้นต้องทำ “โดยคู่สมรสทั้งสองฝ่าย” และ “ต่อหน้านายทะเบียน” การให้บุคคลอื่นแสดงตนแทน หรือแอบอ้างเป็นคู่สมรส จึงไม่ใช่การสมรสที่แท้จริงและขาดองค์ประกอบทางกฎหมาย
3. ป.พ.พ. มาตรา 1495 ข้อความกฎหมาย: “การสมรสที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายตกเป็นโมฆะ” หลักการ: มาตรานี้กำหนดผลทางกฎหมายชัดเจนว่า หากการสมรสขัดต่อบทบัญญัติ เช่น ไม่มีการยินยอมที่แท้จริง หรือคู่สมรสหมดสภาพบุคคลไปแล้ว การสมรสนั้นย่อมเป็น “โมฆะ” โดยถือว่าไม่เคยมีการสมรสเกิดขึ้นแต่แรก
4. ป.พ.พ. มาตรา 1496 ข้อความกฎหมาย: “คู่สมรส บิดามารดา หรือผู้สืบสันดาน อาจร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะได้” หลักการ: แม้การสมรสจะเป็นโมฆะโดยสภาพ แต่เพื่อความชัดเจนและความสงบเรียบร้อยในทางทะเบียนราษฎร จึงต้องให้ศาลมีคำพิพากษารับรองว่าการสมรสนั้นเป็นโมฆะ และผู้ที่มีสิทธิร้องคือคู่สมรสโดยตรง รวมถึงบิดามารดาหรือผู้สืบสันดานที่มีผลกระทบทางสิทธิ
ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1246/2547 ข้อเท็จจริง: จำเลยอ้างตนเป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย โดยนำเอกสารมาแสดงว่ามีการสมรส แต่ปรากฏว่าผู้ชายได้เสียชีวิตไปแล้วก่อนการสมรสจะเกิดขึ้นจริง ศาลฎีกาวินิจฉัย: การสมรสที่เกิดขึ้นในขณะที่ฝ่ายหนึ่งถึงแก่ความตายแล้ว เป็นการสมรสที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะบุคคลที่ตายไปแล้วไม่มีสภาพบุคคล ไม่อาจสมรสได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1457 การสมรสดังกล่าวจึงเป็นโมฆะตามมาตรา 1495 แหล่งอ้างอิง: คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1246/2547 (ประชุมใหญ่) – ฎีกาที่เกี่ยวกับความเป็นโมฆะของการสมรสอันเกิดจากการขาดสภาพบุคคล
สรุป • มาตรา 1457 เป็นหัวใจของคดี: ผู้ที่ตายแล้วไม่มีสภาพบุคคล การสมรสในนามผู้ตายจึงเป็นโมฆะ • มาตรา 1458 เสริมเงื่อนไขว่าต้องมีการยินยอมโดยคู่สมรสที่แท้จริงต่อหน้านายทะเบียน • มาตรา 1495 กำหนดผลว่าการสมรสที่ไม่ถูกต้องตกเป็นโมฆะทันที • มาตรา 1496 กำหนดสิทธิให้คู่สมรส บิดามารดา หรือผู้สืบสันดาน ยื่นคำร้องเพิกถอนต่อศาลได้
ดังนั้นคดีลักษณะนี้จึงสะท้อนให้เห็นว่า การสมรสเป็นนิติกรรมพิเศษที่ต้องมีคู่สมรสที่ยังคงมีชีวิตและมีการยินยอมจริง มิอาจใช้ชื่อผู้ตายมาจดทะเบียนสมรสแทนได้
|
![]() |