
โมฆะสมรสปลอมชื่อคู่สมรส, สมรสเป็นโมฆะ, สิทธิผู้สืบสันดาน,(ฎีกา 1541/2568)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการสมรสที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากมีการปลอมแปลงชื่อบุคคลที่ถึงแก่ความตายไปแล้วมาใช้จดทะเบียนสมรส ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การแสดงความยินยอมเช่นนี้ไม่อาจถือว่าเป็นการยินยอมที่แท้จริงตาม ป.พ.พ. มาตรา 1457 และมาตรา 1458 ส่งผลให้การสมรสดังกล่าวตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1495 โดยศาลยังยืนยันสิทธิของผู้สืบสันดานในการร้องขอให้ศาลเพิกถอนการสมรสที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนี้
สรุปข้อเท็จจริง • นาย จ. และนาง ป. อยู่กินกันโดยมิได้จดทะเบียนสมรส และมีบุตรร่วมกัน 4 คน • นาง ป. เสียชีวิตในปี 2513 • ต่อมา นาง ค. มารดาของผู้คัดค้าน ใช้ชื่อและบัตรประชาชนของนาง ป. ไปจดทะเบียนสมรสกับนาย จ. เมื่อปี 2533 • ผู้ร้องและผู้ร้องร่วม (บุตรแท้ของนาย จ. และนาง ป.) ยื่นคำร้องให้ศาลเพิกถอนการสมรสดังกล่าว โดยอ้างว่าเป็นโมฆะ • ศาลชั้นต้นยกคำร้อง แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้การสมรสเป็นโมฆะและให้เพิกถอนทะเบียนสมรส • ผู้คัดค้านฎีกา แต่ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา 1. เรื่องอำนาจยื่นคำร้อง o ศาลวินิจฉัยว่าผู้ร้องและผู้ร้องร่วมซึ่งเป็นผู้สืบสันดานโดยชอบด้วยกฎหมายของนาย จ. และนาง ป. ย่อมมีสิทธิตาม ป.พ.พ. มาตรา 1496 ในการยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการสมรสที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย o การยกขึ้นต่อสู้ว่าไม่มีอำนาจยื่นคำร้องฟังไม่ขึ้น 2. เรื่องความชอบด้วยกฎหมายของการสมรส o ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1458 การสมรสต้องมีการยินยอมโดยคู่สมรสจริงและต้องแสดงตนต่อหน้านายทะเบียน o เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านาง ป. ถึงแก่ความตายไปแล้ว แต่นาง ค. แอบอ้างชื่อและบัตรของนาง ป. มาจดทะเบียนสมรสแทน การยินยอมจึงไม่ชอบและไม่มีผลทางกฎหมาย o ศาลจึงถือว่าการสมรสดังกล่าวตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1495
วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย • หลักการยินยอมในการสมรส: การสมรสเป็นนิติกรรมพิเศษ ต้องมีการยินยอมโดยเปิดเผยของคู่สมรสทั้งสองฝ่าย หากขาดการยินยอมที่แท้จริงย่อมเป็นโมฆะ • สิทธิผู้สืบสันดาน: มาตรา 1496 ให้อำนาจแก่คู่สมรส บิดามารดา หรือผู้สืบสันดานยื่นคำร้องขอเพิกถอนการสมรสได้ กรณีนี้ผู้ร้องมีสิทธิโดยตรง • ผลของการสมรสเป็นโมฆะ: มาตรา 1497/1 กำหนดให้ศาลแจ้งไปยังนายทะเบียนเพื่อบันทึกความเป็นโมฆะ ซึ่งมีผลให้คู่สมรสถือว่าไม่เคยมีการสมรสเกิดขึ้น
IRAC Analysis Issue: การสมรสที่เกิดจากการแอบอ้างชื่อบุคคลที่ถึงแก่ความตายแล้วโดยผู้อื่น จะถือเป็นการสมรสที่ชอบด้วยกฎหมายหรือโมฆะ Rule: • ป.พ.พ. มาตรา 1457: การสมรสจะทำได้ต่อเมื่อคู่สมรสมีสภาพบุคคลอยู่ • ป.พ.พ. มาตรา 1458: การสมรสต้องยินยอมและแสดงตนต่อหน้านายทะเบียน • ป.พ.พ. มาตรา 1495: การสมรสที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตกเป็นโมฆะ • ป.พ.พ. มาตรา 1496: ผู้สืบสันดานมีสิทธิร้องขอเพิกถอนการสมรส Application: • นาง ค. แอบอ้างชื่อและเอกสารของนาง ป. เพื่อจดทะเบียนสมรสกับนาย จ. • ขณะจดทะเบียน นาง ป. เสียชีวิตไปแล้ว ไม่อาจมีสภาพบุคคลในการสมรส • การแสดงความยินยอมจึงไม่ใช่การยินยอมที่แท้จริง และไม่ชอบด้วยกฎหมาย • ผู้ร้องในฐานะผู้สืบสันดานมีสิทธิร้องต่อศาลให้เพิกถอนการสมรสดังกล่าวได้ Conclusion: ศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้การสมรสดังกล่าวตกเป็นโมฆะ และให้บันทึกความเป็นโมฆะไว้ในทะเบียนสมรส
สรุปข้อคิดทางกฎหมาย • การสมรสที่ถูกต้องต้องมีการยินยอมที่แท้จริงของคู่สมรสทั้งสองฝ่าย • การแอบอ้างบุคคลอื่นมาสมรสถือเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายโดยตรง • ผู้สืบสันดานมีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนการสมรสที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิทางครอบครัวและทรัพย์สิน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1541/2568 การสมรสจะทำได้ก็ต่อเมื่อชายหญิงยินยอมเป็นสามีภริยากันและต้องแสดงการยินยอมนั้นให้ปรากฏโดยเปิดเผยต่อหน้านายทะเบียนและให้นายทะเบียนบันทึกความยินยอมนั้นไว้ด้วย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1458การแสดงความยินยอมนั้นจะต้องกระทำโดยชายและหญิงที่จะทำการสมรสกันโดยแสดงตนต่อหน้านายทะเบียน เมื่อข้อเท็จจริงที่คู่ความรับกันฟังได้ว่า ค. มารดาของผู้คัดค้านอ้างตนเองเป็น ป. พร้อมทั้งใช้บัตรประจำตัวประชาชนและข้อมูลของ ป. ไปแสดงตนต่อหน้านายทะเบียนร่วมกับ จ. และได้ให้ความยินยอมด้วยตนเองต่อหน้านายทะเบียนในการจดทะเบียนสมรสกับ จ. ทั้งที่ ป. ถึงแก่ความตายไปก่อนแล้วตั้งแต่ปี 2513 การกระทำของ ค. ที่ไปแสดงตนเป็นบุคคลอื่น คือ ป.แล้วให้ความยินยอม ย่อมไม่มีผลเป็นความยินยอมของ ป. และขณะที่จดทะเบียนสมรส ป. ได้ถึงแก่ความตายแล้ว ย่อมไม่มีสภาพบุคคลที่จะทำการจดทะเบียนสมรส หรือให้ความยินยอมตามกฎหมายได้จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วย มาตรา 1457 และมาตรา 1458 เช่นนี้การจดทะเบียนสมรสระหว่าง ป. กับ จ. จึงเป็นโมฆะ ตามมาตรา 1495
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้การสมรสระหว่าง นาง ค. ซึ่งใช้ชื่อนาง ป. กับนาย จ. เป็นโมฆะ และเพิกถอนใบสำคัญการสมรสเลขทะเบียนที่ 91/21494 ลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2533 ระหว่างพิจารณา ผู้ร้องร่วมทั้งสามยื่นคำร้องขอเข้าเป็นผู้ร้องร่วม เนื่องจากเป็นบุตรของนาย จ. กับนาง ป. ศาลชั้นต้นอนุญาต ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้องขอ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษากลับว่า ให้การสมรสระหว่างนาง ค. ซึ่งใช้ชื่อนาง ป. กับนาย จ. เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2533 เป็นโมฆะ และให้แจ้งไปยังนายทะเบียนเพื่อบันทึกความเป็นโมฆะไว้ในทะเบียนสมรสเมื่อคดีถึงที่สุด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1497/1 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ ผู้คัดค้านฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า นาง ป. กับนาย จ. อยู่กินฉันสามีภริยากันโดยมิได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรด้วยกัน 4 คน คือ ผู้ร้อง และผู้ร้องร่วมทั้งสาม นาง ป. ถึงแก่ความตาย เมื่อปี 2513 ด้วยสาเหตุอาหารเป็นพิษ (ทานเห็ดพิษ) ที่บ้านโนนดู่ นาย จ. กับนาง ป. มีทรัพย์สินร่วมกัน คือ ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 377 นาง ค. หรือ ป. มารดาของผู้คัดค้านเป็นคนละคนกับนาง ป. มารดาของผู้ร้องและผู้ร้องร่วมทั้งสาม เดิมนาง ค. หรือ ป. เคยอยู่กินฉันสามีภริยากับนาย บ. (ถึงแก่ความตายปี 2517) มีบุตรด้วยกัน 4 คน คือ ผู้คัดค้าน นาง ก. นาง ร. และนาย ณ. (เกิดวันที่ 5 ตุลาคม 2513) ต่อมานาง ค. หรือ ป. กับนาย จ. (ถึงแก่ความตายเมื่อปี 2535) ได้อยู่กินฉันสามีภริยาแล้วจดทะเบียนสมรสกัน มีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ นาย ด เกิดวันที่ 21 กันยายน 2521
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านประการแรกว่า ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมิได้วินิจฉัยปัญหาเรื่องอำนาจยื่นคำร้องขอของผู้ร้องและผู้ร้องร่วมทั้งสาม ซึ่งเป็นประเด็นในคำแก้อุทธรณ์ของผู้คัดค้านชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการจดทะเบียนสมรสระหว่างนาย จ. กับนาง ป. หรือนาง ค. เป็นโมฆะ โดยอ้างว่า นาง ค. นำบัตรประจำตัวประชาชนของนาง ป. ไปแสดงต่อหน้านายทะเบียนอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย พร้อมแสดงตนว่าเป็นนาง ป. ในการทำคำร้องขอจดทะเบียนสมรสกับนาย จ. ต่อนายทะเบียน นายทะเบียนหลงเชื่อว่านาง ค. คือนาง ป. จริงจึงทำการจดทะเบียนสมรสให้แก่นาง ค. ในชื่อของนาง ป. ให้สมรสกับนาย จ. ดังนี้ เป็นการกล่าวอ้างว่ามีการจดทะเบียนสมรสไม่ถูกต้องตามกฎหมายโดยนาง ป. ไม่ได้ให้ความยินยอม โดยเปิดเผยต่อหน้านายทะเบียน และให้นายทะเบียนบันทึกความยินยอมนั้นไว้ หากเป็นจริงตามคำร้องขอเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1458 เรื่องการให้ความยินยอมในการสมรส ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1495 ซึ่งคำพิพากษาของศาลเท่านั้นที่จะแสดงว่า การสมรสเป็นโมฆะ โดยคู่สมรส บิดามารดา หรือผู้สืบสันดานของคู่สมรสอาจร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะได้ตามมาตรา 1496 ตามข้อเท็จจริงที่รับกันว่า ขณะที่ผู้ร้องและผู้ร้องร่วมทั้งสามยื่นคำร้องขอให้การสมรสเป็นโมฆะคดีนี้ เมื่อการจดทะเบียนสมรสระหว่างนาย จ. กับนาง ป. ยังปรากฏความเป็นโมฆะอยู่โดยยังไม่มีคำพิพากษาให้เป็นโมฆะเช่นนี้ ย่อมกระทบกระเทือนสิทธิของผู้ร้องและผู้ร้องร่วมทั้งสามซึ่งเป็นผู้สืบสันดานตามความเป็นจริงของนาย จ. กับนาง ป. ผู้ร้องและผู้ร้องร่วมทั้งสามย่อมมีอำนาจยื่นคำร้องขอให้การสมรสระหว่างนาย จ. กับนาง ป. เป็นโมฆะได้ กรณีมิใช่เป็นเรื่องการสมรสซ้อนดังที่ผู้คัดค้านอ้างมาในฎีกา ทั้งการที่ผู้คัดค้านยื่นคำแก้อุทธรณ์ซึ่งถือเป็นคำคู่ความ ย่อมตั้งประเด็นในคำแก้อุทธรณ์ขอให้ศาลชั้นอุทธรณ์หยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1 (5), 237 และ 240 ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 182 แม้ผู้คัดค้านมิได้อุทธรณ์ เพราะศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอ แต่ผู้คัดค้านยื่นคำแก้อุทธรณ์ว่า ผู้ร้องและผู้ร้องร่วมทั้งสามไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอ คดีจึงยังมีประเด็นในชั้นอุทธรณ์ ไม่ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษกล่าวในคำพิพากษาว่าประเด็นนี้ยุติแล้วโดยไม่มีคู่ความอุทธรณ์ แม้จะไม่ถูกต้อง แต่ในคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้ให้เหตุผลแห่งคำวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวแล้ว คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 141 ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 6 ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านในประการต่อมาว่า การสมรสระหว่างนาย จ. กับนาง ค. หรือ ป. ในชื่อของนาง ป. เป็นโมฆะหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1458 บัญญัติว่า การสมรสจะทำได้ต่อเมื่อชายหญิงยินยอมเป็นสามีภริยากันและต้องแสดงการยินยอมนั้นให้ปรากฏโดยเปิดเผยต่อหน้านายทะเบียนและให้นายทะเบียนบันทึกความยินยอมนั้นไว้ด้วย จากบทบัญญัติของกฎหมาย การแสดงความยินยอมนั้นจะต้องกระทำโดยชายและหญิงที่จะทำการสมรสกันโดยแสดงตนต่อหน้านายทะเบียน เมื่อข้อเท็จจริงที่คู่ความรับกันฟังได้ว่า นาง ค. มารดาของผู้คัดค้านอ้างตนเองเป็นนาง ป. พร้อมทั้งใช้บัตรประจำตัวประชาชนและข้อมูลของนาง ป. ไปแสดงตนต่อหน้านายทะเบียนร่วมกับนาย จ. และได้ให้ความยินยอมด้วยตนเองต่อหน้านายทะเบียนในการจดทะเบียนสมรสกับนาย จ. ทั้งที่นาง ป. ถึงแก่ความตายไปก่อนแล้วตั้งแต่ปี 2513 การกระทำดังกล่าวของนาง ค. ที่ไปแสดงตนเป็นบุคคลอื่นคือนาง ป. แล้วให้ความยินยอม ย่อมไม่มีผลเป็นความยินยอมของนาง ป. และขณะที่จดทะเบียนสมรสนาง ป. ได้ถึงแก่ความตายแล้วย่อมไม่มีสภาพบุคคลที่จะทำการจดทะเบียนสมรส หรือให้ความยินยอมตามกฎหมายได้จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วย มาตรา 1457 และมาตรา 1458 เช่นนี้ การจดทะเบียนสมรสตามใบสำคัญการสมรสเลขทะเบียนที่ 91/21494 ลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2533 ระหว่างนาง ป. กับนาย จ. จึงเป็นโมฆะตามมาตรา 1495 ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาให้การสมรสระหว่างนาง ค. ซึ่งใช้ชื่อนาง ป. กับนาย จ.เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2533 เป็นโมฆะ และให้แจ้งไปยังนายทะเบียนเพื่อบันทึกความเป็นโมฆะไว้ในทะเบียนสมรส เมื่อคดีถึงที่สุด ตามมาตรา1497/1 นั้น ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นฎีกาให้เป็นพับ
|