

ฟ้องขอให้แบ่งทรัพย์มรดกเมื่อล่วงพ้นกำหนดอายุความแล้ว ฟ้องขอให้แบ่งทรัพย์มรดกเมื่อล่วงพ้นกำหนดอายุความแล้ว ที่ดินพิพาทยังไม่พ้นสภาพจากการเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายและกรณีต้องถือว่าการครอบครองที่ดินพิพาทอยู่นั้นเป็นการครอบครองแทนทายาทอื่น ๆ ของผู้ตายทุกคน กรณีจึงเข้าเกณฑ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1748 วรรคหนึ่ง ที่ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นทายาทของผู้ตายมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกที่ดินพิพาทได้ แม้ว่าจะล่วงพ้นกำหนดอายุความมรดกตามมาตรา 1754 แล้วก็ตาม ดังนั้น คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8371/2557 การแบ่งปันทรัพย์มรดกซึ่งอาจทำได้โดยทายาทต่างเข้าครอบครองทรัพย์สินเป็นส่วนสัดตามมาตรา 1750 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น เป็นกรณีซึ่งข้อเท็จจริงต้องได้ความชัดแจ้งแล้วว่าทายาทได้ตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกโดยต่างได้เข้าครอบครองทรัพย์มรดกตามส่วนแบ่งนั้นอย่างเป็นส่วนสัดชัดเจนว่าทายาทคนใดเข้าครอบครองที่ดินทรัพย์มรดกนั้นในส่วนใด มีอาณาเขตและเนื้อที่ดินเข้าครอบครองแบ่งแยกกันจนชัดเจนเพียงพอที่จะดำเนินการจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์กันได้ เมื่อข้อเท็จจริงจากทางนำสืบไม่ได้ความ เช่นนั้นที่ดินพิพาทจึงยังไม่พ้นสภาพจากการเป็นทรัพย์มรดกของ พ. และกรณีต้องถือว่าการที่ ต. และจำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินพิพาทอยู่นั้นเป็นการครอบครองแทนทายาทอื่น ๆ ของ พ. ทุกคน กรณีจึงเข้าเกณฑ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1748 วรรคหนึ่ง ที่ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นทายาทของ พ. เพราะเข้าสืบสิทธิในมรดกส่วนของ ต. มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกที่ดินพิพาทได้ แม้ว่าจะล่วงพ้นกำหนดอายุความมรดกตามมาตรา 1754 แล้วก็ตาม ดังนั้น คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 6975 ระหว่างจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกและในฐานะส่วนตัวและให้เพิกถอนการซื้อขายที่ดินดังกล่าวระหว่างจำเลยทั้งสอง หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินระหว่างจำเลยทั้งสอง ฉบับลงวันที่ 16 ตุลาคม 2546 ในที่ดินโฉนดเลขที่ 6975 ตำบลอำนาจอำเภอลืออำนาจ จังหวัดอำนาจเจริญ และให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินของจำเลยที่ 1ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายแพง ที่จดทะเบียนโอนให้แก่ตนเองในฐานะส่วนตัวฉบับลงวันที่ 23 มกราคม 2538 ในที่ดินโฉนดเลขที่ 6975 ตำบลอำนาจ อำเภอลืออำนาจ จังหวัดอำนาจเจริญ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความจำนวน 10,000 บาท จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ตกเป็นพับ โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่านางแตงมารดาของโจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกกันโดยต่างเข้าครอบครองที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1750 ที่ดินพิพาทจึงพ้นสภาพจากการเป็นทรัพย์มรดกของนายแพงผู้ตายแล้วหรือไม่ เห็นว่า การแบ่งปันทรัพย์มรดกซึ่งอาจทำได้โดยทายาทต่างเข้าครอบครองทรัพย์สินเป็นส่วนสัดตามมาตรา1750 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น เป็นกรณีซึ่งข้อเท็จจริงต้องได้ความชัดแจ้งแล้วว่าทายาทได้ตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกโดยต่างได้เข้าครอบครองทรัพย์มรดกตามส่วนแบ่งนั้นอย่างเป็นส่วนสัดชัดเจนว่าทายาทคนใดเข้าครอบครองที่ดินทรัพย์มรดกนั้นในส่วนใดมีอาณาเขตและเนื้อที่ดินเข้าครอบครองแบ่งแยกกันจนชัดเจนเพียงพอที่จะดำเนินการจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์กันได้ แต่ทางนำสืบของโจทก์ซึ่งจำเลยทั้งสองมิได้นำสืบโต้เถียงเป็นอย่างอื่นได้ความจากคำเบิกความของโจทก์เพียงว่า หลังจากนายแพงเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 และนางแตงมารดาของโจทก์ตกลงแบ่งการครอบครองที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 6975 ตำบลอำนาจ อำเภอลืออำนาจ จังหวัดอำนาจเจริญ โดยนางแตงมารดาของโจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาททางทิศตะวันตก เนื้อที่ประมาณ 2 งานเศษ ส่วนจำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินพิพาททางทิศตะวันออก หลังจากนั้นนางแตงมารดาของโจทก์ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์โดยปลูกบ้านพักอาศัย และต่อมานางจันทร์เพ็ญกับนายเฉลิมพล ซึ่งเป็นพี่สาวและพี่ชายของโจทก์ได้เข้าไปปลูกบ้านพักในที่ดินพิพาทบริเวณทางทิศใต้สุดของที่ดินพิพาทติดต่อกันตามลำดับในแผนที่สังเขปของที่ดินพิพาท และต่อมาจำเลยที่ 1 ก็ได้ปลูกสร้างบ้านพักอาศัยบนที่ดินพิพาททางทิศตะวันออก โดยมีถนนสาธารณประโยชน์ตัดผ่านแบ่งที่ดินพิพาทออกเป็นสองส่วน แต่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ก็มิได้นำสืบให้เห็นว่าได้มีการตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกที่ดินพิพาทกันโดยให้ถือเอาถนนสาธารณะผ่ากลางที่ดินพิพาทเป็นสองส่วน คือ ส่วนทางทิศตะวันออกและส่วนทางทิศตะวันตกของถนนสาธารณะที่คั่นกลางนั้นเป็นของจำเลยที่ 1 และของมารดาโจทก์ตามที่แต่ละคนปลูกบ้านพักอาศัยอยู่แต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น จำเลยที่ 1 ยังเบิกความตอบคำถามค้านของทนายโจทก์ยอมรับว่า หลังจากศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนายแพงแล้ว จำเลยที่ 1 ได้โอนที่ดินมรดกจำนวน 3 แปลง ให้แก่จำเลยที่ 1 คงเหลือเฉพาะที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 6975 ทายาทของนางแตงและนายเคนเคยทวงถามให้จำเลยที่ 1 นำที่ดินพิพาทไปแบ่งปันให้แก่ทายาท แต่จำเลยที่ 1 บอกว่าให้รอก่อนจำเลยที่ 1 จึงโอนที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทไว้แทนทายาทคนอื่นด้วย ตามพฤติการณ์แห่งคดีดังที่ได้วินิจฉัยมา จึงถือไม่ได้ว่านางแตงมารดาของโจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกกันโดยต่างเข้าครอบครองที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1750 แล้ว ที่ดินพิพาทจึงยังไม่พ้นสภาพจากการเป็นทรัพย์มรดกของนายแพงเจ้ามรดก และกรณีต้องถือว่าการที่นางแตงมารดาของโจทก์และจำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินพิพาทอยู่นั้นเป็นการครอบครองแทนทายาทอื่น ๆ ของนายแพงทุกคน กรณีจึงเข้าเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1748 วรรคหนึ่ง ที่ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นทายาทของนายแพงเพราะเข้าสืบสิทธิในมรดกส่วนของนางแตงมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกที่ดินพิพาทได้ แม้ว่าจะล่วงพ้นกำหนดอายุความมรดกตามมาตรา 1754 แล้วก็ตาม ดังนั้น คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า การที่นางแตงมารดาของโจทก์และจำเลยที่ 1 แบ่งแยกกันครอบครองที่ดินโดยนางแตงและบุตรของนางแตงปลูกบ้านพักอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทแปลงด้านทิศตะวันตกตามแผนที่สังเขปของที่ดินพิพาทมาจนถึงปัจจุบัน โดยต่างไม่โต้แย้งการครอบครองซึ่งกันและกันถือว่าเป็นการตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกกันโดยต่างเข้าครอบครองที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1750 ที่ดินพิพาทจึงพ้นสภาพจากการเป็นทรัพย์มรดกของนายแพงผู้ตายแล้วนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย แต่ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทยังเป็นทรัพย์มรดกของนายแพง และจำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินพิพาทไว้แทนทายาทคนอื่น จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายแพงจึงไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนโอนขายให้แก่จำเลยที่ 2 ได้ โดยไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 รับโอนที่ดินพิพาทโดยสุจริตหรือไม่แต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6441/2561 เจ้ามรดกทั้งสองมีชื่อเป็นเจ้าของที่ดิน 3 แปลง โดยเจ้ามรดกคนที่ 1 มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ เจ้ามรดกคนที่ 2 มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินเนื้อที่ 1 ไร่เศษ และเจ้ามรดกทั้งสองมีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทเนื้อที่ 25 ไร่เศษ เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดกทั้งสอง จำเลยที่ 1 ได้โอนที่ดินมาเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดก จากนั้นได้โอนมาเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 ในฐานะส่วนตัวบ่งชี้ว่าที่ดิน 3 แปลง เป็นทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกทั้งสองที่จำเลยที่ 1 ต้องดำเนินการในฐานะผู้จัดการมรดก จำเลยที่ 1 จัดการโอนที่ดินมรดกของเจ้ามรดกคนที่ 2 แปลงเนื้อที่ 1 ไร่เศษ ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 3 หลังจากนั้นโจทก์ที่ 3 นำที่ดินไปจำนองไว้แก่ ป. แล้วโอนที่ดินดังกล่าวตีใช้หนี้ ป. เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ต้องไปซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวกลับคืนมาจาก ป. แล้วใส่ชื่อจำเลยที่ 1 กับโจทก์ที่ 4 เป็นเจ้าของที่ดินร่วมกัน แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มิได้จัดการมรดกโดยพลการและอยู่ในความรู้เห็นของโจทก์ที่ 3 และที่ 4 มาตลอด อีกทั้งโจทก์ที่ 3 และที่ 4 ก็ไม่เคยโต้แย้งคัดค้านการจัดการมรดกของจำเลยที่ 1 โจทก์ที่ 2 กับมารดาของโจทก์ที่ 2 มีเหตุขัดแย้งกับเจ้ามรดกคนที่ 2 จึงไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินและไม่ไปงานศพของเจ้ามรดกคนที่ 2 มูลเหตุแห่งการขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 สืบเนื่องมาจาก ก. บุตรของโจทก์ที่ 1 ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด โจทก์ที่ 1 กับ ส. บุตรสาวของโจทก์ที่ 1 จึงมาขอร้องให้จำเลยที่ 1 ขายที่ดินพิพาทเพื่อนำเงินไปประกันตัว ก. จำเลยที่ 1 ตกลงและขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไปบางส่วนเนื้อที่ 20 ไร่ แล้วมอบหมายให้ ม. ภริยาของจำเลยที่ 1 นำเงินที่ได้จากการขายไปประกันตัว อันเป็นการแสดงว่าโจทก์ที่ 1 รับรู้และเห็นชอบในการขายที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 1 มาแต่ต้น เมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซื้อที่ดินพิพาทบางส่วนมาจากจำเลยที่ 1 แล้วเข้าทำนาในที่ดินพิพาทแทนที่โจทก์ที่ 1 กับครอบครัว โจทก์ที่ 1 ก็หลีกทางให้เข้ายึดถือทำประโยชน์โดยไม่มีข้อทักท้วงโต้แย้งใด ๆ เท่ากับเป็นการยอมรับว่าจำเลยที่ 1 มีอำนาจจัดการที่ดินพิพาทได้เพียงผู้เดียว สอดคล้องกับการแบ่งปันทรัพย์มรดกระหว่างทายาทด้วยการให้จำเลยที่ 1 เข้าครอบครองที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัดตาม ป.พ.พ. มาตรา 1750 ดังนี้ การที่จำเลยที่ 1 รับโอนที่ดินพิพาทมาเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 เอง จึงมิใช่การมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแทนทายาทอื่น หลังจากเจ้ามรดกคนที่ 1 ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 ทำหน้าที่ดูแลเจ้ามรดกคนที่ 2 ซึ่งมีอาการป่วยเจ็บหนักและต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนนานหลายวันต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นเงินจำนวนมาก สอดคล้องกับยอดเงินในบัญชีเงินฝากของเจ้ามรดกคนที่ 2 ที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยก่อนถึงแก่ความตาย และยังสอดคล้องกับการที่จำเลยที่ 1 นำเงินที่ได้จากการขายที่ดินมรดกไปชำระหนี้จำนองให้แก่ อ. และ ป. นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ได้อนุญาตให้ ส. บุตรของโจทก์ที่ 1 ทยอยไปขอเบิกเงินที่ได้จากการขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 จากจำเลยที่ 2 หลายครั้ง อันเป็นข้อบ่งชี้ว่าจำเลยที่ 1 มิได้ขายที่ดินพิพาทแล้วนำเงินไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวเพียงฝ่ายเดียว แต่นำไปใช้เพื่ออุดหนุนจุนเจือโจทก์ที่ 3 และที่ 4 รวมทั้ง ก. และ ส. ซึ่งเป็นบุคคลในครอบครัวของโจทก์ที่ 1 มาโดยตลอด ที่ดินพิพาทจึงเป็นทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกทั้งสองที่โจทก์ทั้งสี่ยินยอมให้ตกเป็นของจำเลยที่ 1 แต่เพียงผู้เดียว จำเลยที่ 1 จึงไม่จำต้องแบ่งปันที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสี่ ทั้งมีอำนาจในการขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้โดยชอบ โดยโจทก์ทั้งสี่ไม่อาจบังคับให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายและเพิกถอนโฉนดที่ดินพิพาทได้ |