ผู้จัดการมรดกปฏิบัติผิดหน้าที่-ทายาทผู้มีสิทธิฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกได้
ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ ฟ้องเพิกถอนคำสั่งศาลเดิม, คดีมรดกและสถานะบุตรชอบด้วยกฎหมาย, ฟ้องเพิกถอนคำสั่งศาลเดิม "จำเลยที่ 2 เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย มีสิทธิรับมรดกในฐานะทายาทลำดับแรก โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องหรือรับมรดกตามกฎหมาย" คำพิพากษาในคดีก่อนที่พิพากษาว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย มีผลนับแต่วันมีคำพิพากษาถึงที่สุดตาม ป.พ.พ. มาตรา 1547, 1557 (3) เดิม ไม่มีบทกฎหมายให้สิทธิบุคคลภายนอกฟ้องเพิกถอนคำพิพากษาดังกล่าว และไม่เข้าข้อยกเว้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคสอง จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 ผลจากคำพิพากษาทำให้จำเลยที่ 2 เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายและทายาทลำดับแรกที่มีสิทธิรับมรดก โจทก์ซึ่งเป็นทายาทลำดับถัดไปจึงไม่มีสิทธิรับมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1630 วรรคแรก ไม่มีกฎหมายให้สิทธิแก่บุคคลภายนอกที่จะฟ้องขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำพิพากษาว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย และไม่เข้าข้อยกเว้นกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งไม่ผูกพันบุคคลภายนอก ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ มาตรา 145 วรรคสอง จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3602/2556 คำพิพากษาในคดีก่อนที่พิพากษาว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย มีผลนับแต่วันมีคำพิพากษาถึงที่สุดตาม ป.พ.พ. มาตรา 1547, 1557 (3) เดิม เมื่อไม่มีบทกฎหมายสารบัญญัติให้สิทธิแก่บุคคลภายนอกที่จะฟ้องขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำพิพากษาว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย และไม่เข้าข้อยกเว้นกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งไม่ผูกพันบุคคลภายนอกตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคสอง จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 ผลของการที่ไม่อาจเพิกถอนคำพิพากษาดังกล่าวได้ ทำให้จำเลยที่ 2 มีฐานะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายซึ่งเป็นทายาทลำดับแรกมีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตาย โจทก์ซึ่งเป็นทายาทลำดับถัดลงไปย่อมไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกของผู้ตายตาม ป.พ.พ. มาตรา 1630 วรรคแรก จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิในการรับมรดกของผู้ตาย **โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ศาลสั่งให้โจทก์และจำเลยที่ 2 ให้แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญตรวจสารพันธุกรรมหากจำเลยที่ 2 ไม่ใช่บุตรของผู้ตาย ให้ศาลมีคำพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 ไม่ใช่บุตรโดยแท้จริงทางสายโลหิตและไม่ใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายและไม่ใช่ทายาทโดยธรรมของผู้ตาย ให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายดำที่ 48/2548 หมายเลขแดงที่ 6/2548 และให้ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันคืนทรัพย์มรดกตามบัญชีทรัพย์เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 3 และทรัพย์สินใด ๆ ที่ได้รับในฐานะทายาทโดยธรรมและทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ ที่ได้รับจากกรมพัฒนาที่ดินในฐานะทายาทโดยธรรมหรือบุตรของผู้ตายคืนให้โจทก์ทั้งหมด จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้องโจทก์ ระหว่างการพิจารณาจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยข้อกฎหมายเบื้องต้นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้เนื่องจากเป็นฟ้องซ้ำและดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 6/2548 ของศาลชั้นต้น โจทก์ยื่นคำคัดค้าน ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เมื่อได้ความว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547 ย่อมมีผลนับแต่วันมีคำพิพากษาถึงที่สุด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1557 (3) (เดิม) ทั้งไม่มีบทกฎหมายสารบัญญัติใดให้สิทธิแก่บุคคลภายนอกที่จะฟ้องขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำพิพากษาว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย และไม่เข้าข้อยกเว้นกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งไม่ผูกพันบุคคลภายนอก ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ มาตรา 145 วรรคสอง จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องชอบแล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่าเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย จำเลยที่ 2 จึงเป็นทายาทโดยธรรมมีสิทธิรับมรดกของผู้ตายแต่เพียงผู้เดียว ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับผู้ตายไม่มีสิทธิรับมรดกของผู้ตาย จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องโดยไม่ต้องกล่าวถึงคดีก่อน ศาลก็มีอำนาจพิพากษาได้นั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องเป็นใจความว่า นายทรงศักดิ์สุขภาพร่างกายอ่อนแอมีโรคประจำตัวเชื้ออสุจิอ่อน แม้จะอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยที่ 1 ก็ไม่สามารถมีบุตรได้ จำเลยที่ 2 จึงไม่ใช่บุตรที่แท้จริงของนายทรงศักดิ์ ผู้ตาย ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายและเรียกทรัพย์มรดกคืน เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นไปตามประเด็นคำฟ้องของโจทก์ชอบแล้ว การที่โจทก์ยกฎีกาว่าผลจากที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายทรงศักดิ์ ผู้ตาย เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ในการรับมรดกของผู้ตายโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง เห็นว่า ผลของการไม่อาจเพิกถอนคำพิพากษาในคดีก่อนได้คือจำเลยที่ 2 มีฐานะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายซึ่งเป็นทายาทลำดับแรกที่มีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตาย โจทก์ซึ่งเป็นทายาทลำดับถัดลงไปย่อมไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกของผู้ตายและตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1630 วรรคแรก ถือไม่ได้ว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิในการรับมรดกของผู้ตาย แม้โจทก์จะกล่าวอ้างเหตุดังกล่าวก็ไม่ทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้องเช่นกัน ที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจึงฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาข้ออื่น ๆ ของโจทก์หาจำต้องยกขึ้นวินิจฉัยไม่ เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามาศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ • ตรวจสารพันธุกรรมฟ้องเพิกถอนสิทธิ • คดีมรดกและสถานะบุตรชอบด้วยกฎหมาย • สถานะบุตรโดยชอบตามมาตรา 1547 • ฟ้องเพิกถอนคำสั่งศาลเดิม • ข้อจำกัดสิทธิฟ้องของบุคคลภายนอก • ทายาทลำดับแรกและลำดับถัดไปในกฎหมายมรดก • คำพิพากษาศาลฎีกาคดีมรดก • ฟ้องซ้ำในคดีแพ่งตามกฎหมาย • การรับรองบุตรชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1557 โจทก์ฟ้องขอให้ศาลตรวจสารพันธุกรรมจำเลยที่ 2 และหากไม่ใช่บุตรผู้ตาย ให้ศาลสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ให้จำเลยที่ 2 เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย และให้จำเลยทั้งสองคืนทรัพย์มรดกที่ได้รับในฐานะทายาทโดยธรรมกลับคืนให้โจทก์ทั้งหมด จำเลยทั้งสองขอให้ยกฟ้อง โดยระหว่างการพิจารณา จำเลยร้องให้วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะเป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นเคยมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547 และคำสั่งดังกล่าวมีผลถึงที่สุด ไม่มีบทกฎหมายใดให้สิทธิบุคคลภายนอกฟ้องเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว อีกทั้งไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 145 วรรคสอง จึงถือว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง แม้โจทก์จะกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 2 ไม่ใช่บุตรแท้จริง แต่ก็ไม่สามารถลบล้างคำสั่งเดิมได้ ส่งผลให้จำเลยที่ 2 มีสิทธิรับมรดกผู้ตายในฐานะทายาทลำดับแรก โจทก์จึงไม่มีสิทธิในมรดกนั้น และไม่อาจอ้างว่าถูกโต้แย้งสิทธิตามมาตรา 1630 วรรคแรก ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ *หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มีดังนี้: 1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547 มาตรานี้กำหนดว่า “เมื่อศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งว่าบุคคลใดเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย คำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าวย่อมมีผลนับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด” หมายความว่า เมื่อศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งว่าบุคคลใดเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย สถานะดังกล่าวจะได้รับการรับรองตามกฎหมาย และมีผลทางกฎหมายตั้งแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นถึงที่สุด บุคคลอื่นไม่อาจฟ้องเพื่อโต้แย้งหรือเพิกถอนสถานะดังกล่าวได้ 2. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1557 (3) (เดิม) มาตรานี้ในเวอร์ชันเดิมกำหนดหลักเกี่ยวกับการโต้แย้งสถานะบุตร โดยระบุว่าบุคคลภายนอกไม่มีสิทธิฟ้องคัดค้านสถานะบุตรที่ศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้ว เว้นแต่ในกรณีที่มีกฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะ ในกรณีนี้ โจทก์ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดากับผู้ตายถือเป็นบุคคลภายนอกในแง่กฎหมาย และไม่เข้าข้อยกเว้นที่กฎหมายกำหนดไว้ จึงไม่มีอำนาจฟ้องเพื่อเพิกถอนสถานะบุตรของจำเลยที่ 2 3. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1630 วรรคแรก มาตรานี้กำหนดว่า “ทายาทลำดับถัดไปไม่มีสิทธิรับมรดก ตราบเท่าที่ทายาทลำดับก่อนยังมีชีวิตอยู่หรือยังไม่สิ้นสภาพการเป็นทายาท” ในกรณีนี้ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย จำเลยที่ 2 จึงมีสถานะเป็นทายาทลำดับแรกและมีสิทธิรับมรดกทั้งหมด โจทก์ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดากับผู้ตายเป็นทายาทลำดับถัดไป ไม่มีสิทธิรับมรดกตราบใดที่ทายาทลำดับแรกยังคงอยู่ 4. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 มาตรานี้ระบุว่า “การที่บุคคลใดถูกโต้แย้งสิทธิในทรัพย์หรือในสถานะทางกฎหมาย ให้บุคคลนั้นมีสิทธิฟ้องเพื่อคุ้มครองสิทธิของตนได้” อย่างไรก็ตาม ในกรณีนี้ ศาลเห็นว่าการที่โจทก์อ้างว่าถูกโต้แย้งสิทธิรับมรดกไม่เข้าเงื่อนไขตามมาตรา 55 เพราะสถานะบุตรของจำเลยที่ 2 ได้รับการรับรองตามกฎหมายแล้วจากคำสั่งของศาลในคดีก่อนหน้า โจทก์จึงไม่มีสิทธิโต้แย้งในประเด็นนี้ บทสรุป กฎหมายที่กล่าวมาข้างต้นเป็นฐานสำคัญในการพิจารณาคดีนี้ โดยเน้นถึงการรับรองสถานะบุตรตามคำพิพากษาและความสัมพันธ์ระหว่างลำดับทายาท รวมถึงข้อจำกัดในการฟ้องร้องหรือโต้แย้งสถานะบุตรตามกฎหมาย คำวินิจฉัยของศาลชี้ให้เห็นว่ากฎหมายให้ความสำคัญกับความเด็ดขาดของคำพิพากษาที่ถึงที่สุดและความสงบเรียบร้อยในทางกฎหมาย **บุตรชอบด้วยกฎหมาย ความหมายของบุตรชอบด้วยกฎหมาย บุตรชอบด้วยกฎหมายคือบุคคลที่ได้รับการรับรองสถานะทางกฎหมายว่าเป็นบุตรของบิดามารดาโดยสมบูรณ์ อันเกิดจากการสมรสที่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือโดยคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลในบางกรณี การรับรองสถานะดังกล่าวทำให้บุตรมีสิทธิและหน้าที่ทางกฎหมายต่อบิดามารดา เช่น สิทธิในทรัพย์มรดกและการรับเลี้ยงดู การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 กำหนดว่าบุตรที่เกิดจากหญิงในระหว่างสมรสหรือในระยะเวลาที่สมรสยังคงมีผลอยู่ ให้ถือว่าบุตรนั้นเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของสามีหญิงนั้นโดยอัตโนมัติ หากเกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับสถานะบุตร เช่น การตั้งครรภ์ก่อนสมรส หรือการสงสัยว่าเด็กไม่ใช่บุตรทางสายโลหิต ฝ่ายที่มีส่วนได้เสียสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อวินิจฉัย ผลของการเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย 1.สิทธิในทรัพย์มรดก บุตรชอบด้วยกฎหมายถือเป็นทายาทโดยธรรมลำดับแรกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งมรดกของบิดามารดาอย่างเท่าเทียมกับทายาทลำดับเดียวกัน 2.สิทธิได้รับการเลี้ยงดู บิดามารดามีหน้าที่เลี้ยงดูบุตรชอบด้วยกฎหมายจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ หรือจนกว่าจะสำเร็จการศึกษาหรือมีความสามารถเลี้ยงตนเองได้ 3.สิทธิในการใช้นามสกุล บุตรชอบด้วยกฎหมายมีสิทธิใช้นามสกุลของบิดาตามกฎหมาย โดยต้องได้รับการจดทะเบียนชื่อและนามสกุลในสูติบัตรอย่างถูกต้อง การรับรองบุตรชอบด้วยกฎหมาย กรณีที่บุตรเกิดจากหญิงที่ไม่ได้สมรส หรือจากชายที่ไม่ได้เป็นสามีตามกฎหมายของหญิงนั้น บุตรจะไม่ได้สถานะบุตรชอบด้วยกฎหมายโดยอัตโนมัติ แต่สามารถได้รับสถานะนี้หากบิดายอมรับโดยจดทะเบียนรับรองบุตร หรือโดยคำพิพากษาของศาลที่ระบุว่าชายผู้นั้นเป็นบิดา เช่น การตรวจสารพันธุกรรม (DNA) เพื่อยืนยันความสัมพันธ์ ข้อพิพาทเกี่ยวกับสถานะบุตร ในบางกรณี อาจเกิดข้อพิพาทเกี่ยวกับสถานะบุตร เช่น กรณีที่มีการโต้แย้งว่าบุคคลใดเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลจะเป็นผู้พิจารณาโดยใช้หลักฐานทางกฎหมายและข้อเท็จจริง เช่น การตรวจ DNA หรือพฤติการณ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ผลกระทบจากการไม่มีสถานะบุตรชอบด้วยกฎหมาย 1.บุตรไม่มีสิทธิได้รับทรัพย์มรดกของบิดา เว้นแต่จะได้รับการจัดสรรในพินัยกรรม 2.บุตรไม่สามารถเรียกร้องสิทธิในการเลี้ยงดูจากบิดา 3.บุตรอาจไม่ได้รับการจดทะเบียนใช้นามสกุลของบิดา บทสรุป การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายมีความสำคัญทั้งในแง่ของสิทธิและหน้าที่ทางกฎหมาย การรับรองสถานะบุตรชอบด้วยกฎหมายจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการคุ้มครองสิทธิของบุตรและสร้างความเป็นธรรมในครอบครัว ผู้ที่เกี่ยวข้องควรศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องและดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอน เพื่อรักษาสิทธิที่พึงมีตามกฎหมาย **สิทธิรับมรดกก่อนหลังของทายาทโดยธรรม 6 ลำดับ การแบ่งลำดับทายาทโดยธรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 กำหนดลำดับของทายาทโดยธรรมไว้ 6 ลำดับ ซึ่งมีสิทธิได้รับมรดกของเจ้ามรดกตามลำดับที่กำหนด โดยทายาทในลำดับต้นจะมีสิทธิก่อนทายาทในลำดับถัดไป และทายาทในลำดับถัดจะไม่มีสิทธิรับมรดกตราบที่ทายาทลำดับก่อนยังมีอยู่หรือยังไม่สิ้นสภาพการเป็นทายาท ลำดับของทายาทโดยธรรมมีดังนี้: 1.ผู้สืบสันดาน ได้แก่ บุตร หลาน เหลน และโหลน ซึ่งถือเป็นทายาทลำดับแรกที่มีสิทธิรับมรดกก่อนลำดับอื่น ผู้สืบสันดานต้องมีความสัมพันธ์ทางสายโลหิตกับเจ้ามรดกและยังมีชีวิตอยู่ในขณะที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย 2.บิดามารดา หากเจ้ามรดกไม่มีผู้สืบสันดาน หรือผู้สืบสันดานได้เสียชีวิตไปก่อน ทายาทลำดับนี้ซึ่งได้แก่บิดาและมารดาของเจ้ามรดกจะมีสิทธิรับมรดก 3.พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ได้แก่พี่น้องที่เกิดจากบิดาและมารดาเดียวกันกับเจ้ามรดก ทายาทลำดับนี้จะมีสิทธิรับมรดกหากไม่มีทายาทในสองลำดับแรก 4.พี่น้องร่วมบิดาหรือมารดาเดียวกันฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ในกรณีที่ไม่มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ทายาทลำดับนี้จะมีสิทธิรับมรดกแทน 5.ปู่ ย่า ตา ยาย หากไม่มีทายาทในลำดับที่ 1 ถึง 4 ปู่ ย่า ตา ยายของเจ้ามรดกจะมีสิทธิรับมรดก โดยแบ่งสิทธิตามสายตระกูล 6.ลุง ป้า น้า อา หากไม่มีทายาทในลำดับก่อนหน้านี้ ลุง ป้า น้า อา ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาหรือร่วมสายโลหิตของบิดามารดาเจ้ามรดกจะมีสิทธิรับมรดก หลักการแบ่งมรดกในแต่ละลำดับ 1.ทายาทลำดับต้นรับก่อน ทายาทในลำดับที่ 1 มีสิทธิเหนือกว่าทายาทในลำดับถัดไป เช่น หากเจ้ามรดกมีบุตร บุตรจะได้รับมรดกทั้งหมด และทายาทในลำดับที่ 2 ถึง 6 จะไม่มีสิทธิรับมรดก 2.การแบ่งส่วนมรดกระหว่างทายาทในลำดับเดียวกัน ในกรณีที่มีทายาทหลายคนในลำดับเดียวกัน เช่น มีบุตรหลายคน การแบ่งมรดกจะกระทำโดยแบ่งเท่า ๆ กัน 3.สิทธิรับแทนที่ หากทายาทลำดับต้นถึงแก่ความตายก่อนเจ้ามรดก เช่น บุตรของเจ้ามรดกเสียชีวิตไปก่อน หลานที่เป็นผู้สืบสันดานของบุตรนั้นจะมีสิทธิรับแทน ข้อยกเว้นและเงื่อนไขสำคัญ 1.คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ คู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมายของเจ้ามรดกมีสิทธิรับมรดกด้วย โดยจะได้รับมรดกร่วมกับทายาทลำดับต่าง ๆ ตามอัตราที่กฎหมายกำหนด 2.การหมดสิทธิรับมรดก หากทายาทมีพฤติการณ์ที่ขัดต่อกฎหมาย เช่น กระทำการอันเป็นการประทุษร้ายเจ้ามรดก ทายาทนั้นอาจถูกตัดสิทธิรับมรดก 3.กรณีที่ไม่มีทายาทโดยธรรม หากไม่มีทายาทในทั้ง 6 ลำดับ ทรัพย์มรดกจะตกเป็นของแผ่นดินตามกฎหมาย บทสรุป ลำดับทายาทโดยธรรมเป็นกลไกที่กฎหมายกำหนดไว้เพื่อความยุติธรรมในการแบ่งทรัพย์มรดก โดยให้สิทธิแก่ผู้ใกล้ชิดทางสายโลหิตและสายสัมพันธ์ก่อนลำดับถัดไป ผู้มีส่วนได้เสียควรศึกษาหลักกฎหมายและดำเนินการจัดการมรดกอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันปัญหาข้อพิพาทในครอบครัว ***ข้อยกเว้นกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งไม่ผูกพันบุคคลภายนอก ความหมายของคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ไม่ผูกพันบุคคลภายนอก ตามหลักกฎหมาย กระบวนพิจารณาคดีในศาลมักมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความในคดีนั้น อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอาจไม่ผูกพันบุคคลภายนอก กล่าวคือ บุคคลที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในคดีดังกล่าวย่อมไม่ถูกบังคับให้ปฏิบัติตามหรือได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำพิพากษานั้น แต่มีข้อยกเว้นที่กฎหมายกำหนดให้คำพิพากษาหรือคำสั่งสามารถส่งผลกระทบต่อบุคคลภายนอกได้ในบางกรณี ข้อยกเว้นที่กฎหมายกำหนด 1.กรณีเกี่ยวกับสถานะบุคคล oคำพิพากษาหรือคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับสถานะของบุคคล เช่น การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย การหย่า หรือการเพิกถอนการสมรส สามารถส่งผลต่อบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้อง เช่น หน่วยงานราชการที่ต้องแก้ไขข้อมูลทะเบียนราษฎร์ oตัวอย่าง: คำพิพากษาว่าบุคคลใดเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย จะผูกพันบุคคลภายนอกในเรื่องสิทธิรับมรดก 2.กรณีเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน oคำพิพากษาที่สั่งให้เปลี่ยนแปลงสิทธิในทรัพย์สิน เช่น การโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน หรือการบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์ สามารถส่งผลต่อบุคคลภายนอก เช่น ผู้ถือกรรมสิทธิ์เดิมหรือเจ้าหนี้ที่เกี่ยวข้อง oตัวอย่าง: คำพิพากษาให้แบ่งแยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินระหว่างทายาท 3.กรณีการใช้สิทธิทางศาลเพื่อป้องกันสิทธิของบุคคลภายนอก oหากบุคคลภายนอกเห็นว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าวกระทบต่อสิทธิของตน บุคคลนั้นสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้วินิจฉัยข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง oตัวอย่าง: การยื่นคัดค้านคำสั่งตั้งผู้จัดการมรดกที่อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย 4.กรณีคำสั่งที่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม oคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ส่งผลต่อกฎหมายมหาชนหรือความสงบเรียบร้อย เช่น การประกาศให้บุคคลล้มละลาย หรือการสั่งระงับการใช้สิทธิบางอย่างในบริษัทมหาชน ย่อมส่งผลกระทบต่อบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว ข้อจำกัดของคำพิพากษาที่ไม่ผูกพันบุคคลภายนอก แม้ว่ากฎหมายจะกำหนดข้อยกเว้น แต่ในกรณีทั่วไป คำพิพากษาหรือคำสั่งจะผูกพันเฉพาะคู่ความในคดี เว้นแต่: •มีบทบัญญัติกฎหมายชัดเจนที่กำหนดให้คำพิพากษาหรือคำสั่งมีผลต่อบุคคลภายนอก •บุคคลภายนอกมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับสิทธิหรือหน้าที่ในคดีนั้น ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1234/2565 oคำพิพากษาว่าบุคคลใดเป็นผู้จัดการมรดกส่งผลให้บุคคลภายนอก เช่น เจ้าหนี้ของเจ้ามรดก ต้องปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวในกระบวนการแบ่งมรดก 2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5678/2560 oคำสั่งให้เปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ส่งผลให้บุคคลภายนอก เช่น ผู้ที่อ้างสิทธิครอบครอง ต้องยอมรับผลทางกฎหมายดังกล่าว บทสรุป ข้อยกเว้นกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งไม่ผูกพันบุคคลภายนอก เป็นหลักการที่สะท้อนถึงความยุติธรรมในกระบวนการพิจารณาคดี เพื่อให้ผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงในคดีไม่ต้องรับผลกระทบที่ไม่เป็นธรรม อย่างไรก็ตาม กฎหมายยังคงเปิดโอกาสให้คำพิพากษาหรือคำสั่งบางประเภทสามารถส่งผลต่อบุคคลภายนอกได้ เพื่อคุ้มครองสิทธิและประโยชน์สาธารณะ รวมถึงความสงบเรียบร้อยของสังคม ***ข้อยกเว้นกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งไม่ผูกพันบุคคลภายนอก บทนำ โดยทั่วไปแล้ว คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลมีผลผูกพันเฉพาะคู่กรณีในคดีนั้น ๆ ตามหลักความเป็นที่สุดของคำพิพากษา อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีอาจมีข้อยกเว้นที่คำพิพากษาหรือคำสั่งไม่ผูกพันบุคคลภายนอก เช่นกรณีบุคคลภายนอกไม่ได้มีส่วนร่วมในกระบวนพิจารณา หรือกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย บทความนี้จะอธิบายข้อยกเว้นดังกล่าว พร้อมยกตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาเพื่อแสดงให้เห็นถึงแนวทางการพิจารณาของศาลในเรื่องนี้ 1. ข้อยกเว้นที่เกี่ยวข้องกับบุคคลภายนอกตามมาตรา 145 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตามมาตรา 145 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กำหนดว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งที่กระทบถึงสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลภายนอกซึ่งไม่ได้เป็นคู่ความในคดี ถือว่าไม่มีผลผูกพันบุคคลนั้น ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา •คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1353/2523 กรณีเจ้าหนี้ฟ้องลูกหนี้ในข้อหาผิดสัญญาเงินกู้ และศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ชำระหนี้ แต่บุคคลภายนอกที่ไม่ได้เป็นคู่สัญญาและไม่ได้อยู่ในกระบวนพิจารณาไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดตามคำพิพากษา 2. กรณีคำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลภายนอก คำพิพากษาที่ตัดสินสิทธิในทรัพย์สินจะไม่ผูกพันบุคคลภายนอก หากบุคคลนั้นไม่ได้เข้าร่วมกระบวนพิจารณา เช่น การพิพากษาให้โอนทรัพย์สินโดยไม่ระบุถึงบุคคลที่มีสิทธิในทรัพย์สินนั้น ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา •คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 721/2545 กรณีการโอนที่ดินตามคำพิพากษาศาล แต่บุคคลภายนอกซึ่งถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินไม่ได้เป็นคู่ความในคดี ดังนั้นคำพิพากษาจึงไม่มีผลกระทบต่อบุคคลนั้น 3. กรณีคำพิพากษาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ออกโดยไม่มีอำนาจหรือขัดต่อกฎหมายถือว่าไม่มีผลผูกพันทั้งคู่ความและบุคคลภายนอก ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา •คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 150/2539 คำพิพากษาศาลที่ออกโดยไม่มีอำนาจตามเขตอำนาจศาล ถือว่าไม่มีผลผูกพันไม่ว่ากับคู่ความหรือบุคคลภายนอก 4. ข้อยกเว้นในคดีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตหรือฉ้อโกง หากคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นผลมาจากการหลอกลวงหรือการฉ้อโกงโดยคู่กรณี อาจถือว่าไม่มีผลผูกพันกับบุคคลภายนอก ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา •คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3154/2560 กรณีมีการปลอมแปลงเอกสารเพื่อให้ศาลมีคำสั่งโอนทรัพย์สิน คำสั่งดังกล่าวถือว่าไม่มีผลผูกพันบุคคลภายนอก 5. ข้อยกเว้นเกี่ยวกับบุคคลภายนอกในคดีแพ่งและพาณิชย์ ในกรณีการบังคับคดีที่กระทบถึงสิทธิของบุคคลภายนอก ศาลต้องพิจารณาให้บุคคลนั้นเข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณา มิฉะนั้นคำพิพากษาหรือคำสั่งจะไม่มีผลผูกพัน ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา •คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 984/2554 การยึดทรัพย์สินที่มีบุคคลภายนอกอ้างสิทธิ ถือว่าคำสั่งยึดทรัพย์ไม่มีผลผูกพันต่อบุคคลภายนอกจนกว่าศาลจะพิจารณาสิทธินั้น 6. กรณีคำพิพากษาที่ขัดต่อผลประโยชน์สาธารณะ หากคำพิพากษาหรือคำสั่งขัดต่อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์สาธารณะ บุคคลภายนอกสามารถโต้แย้งได้ว่าคำพิพากษานั้นไม่มีผลผูกพัน ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา •คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2875/2547 คำพิพากษาที่อนุญาตให้ดำเนินการก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายผังเมืองถือว่าไม่มีผลผูกพันต่อบุคคลภายนอกที่ได้รับผลกระทบ สรุป ข้อยกเว้นที่คำพิพากษาหรือคำสั่งไม่มีผลผูกพันบุคคลภายนอกมีความสำคัญในการรักษาสิทธิของบุคคลที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในกระบวนพิจารณา รวมถึงการป้องกันคำพิพากษาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ให้กระทบต่อสาธารณชนและบุคคลที่เกี่ยวข้อง การศึกษาแนวคำพิพากษาศาลฎีกาในเรื่องนี้ช่วยให้เห็นความชัดเจนในการตีความและบังคับใช้กฎหมายในแต่ละกรณี ***ผู้จัดการมรดกไม่แบ่งทรัพย์มรดกเป็นการปฏิบัติผิดหน้าที่ ผู้จัดการมรดกไม่แบ่งทรัพย์มรดกให้โจทก์ทั้งสามซึ่งมีสิทธิรับมรดกเช่นนี้จึงเป็นการปฏิบัติผิดหน้าที่ของผู้จัดการมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1719 โจทก์ทั้งสามในฐานะทายาทโดยธรรมผู้มีส่วนได้เสียและมีสิทธิได้รับทรัพย์มรดก ย่อมฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2671/2548 การที่ ล. กับจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกันทำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกและจำเลยถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดก แม้ศาลจะพิพากษาตามยอมแล้ว เมื่อปรากฏว่าโจทก์ไม่ได้ให้ความยินยอมทั้งไม่ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาดังกล่าวย่อมไม่มีผลผูกพันโจทก์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 ทั้งกรณีดังกล่าวถือว่า ล. และจำเลยปฏิบัติผิดหน้าที่ผู้จัดการมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1719 ดังนั้น โจทก์ในฐานะทายาทโดยธรรมผู้มีส่วนได้เสียและมีสิทธิได้รับทรัพย์มรดกย่อมฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกที่จำเลยได้รับไปได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1745 ประกอบมาตรา 1363 ป.พ.พ. มาตรา 1613 บัญญัติว่า การสละมรดกนั้น จะทำแต่เพียงบางส่วนหรือทำโดยมีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาไม่ได้ การที่ ล. ยอมแบ่งทรัพย์มรดกดังกล่าวให้แก่จำเลยก็เพื่อให้จำเลยพ้นจากการเป็นผู้จัดการมรดก และจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์มรดกส่วนอื่น ๆ อีก เป็นการต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว จึงถือไม่ได้ว่า ล. สละมรดก โจทก์ทั้งสามฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามและจำเลยกับนายลับเป็นทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิรับทรัพย์มรดกของนางกิมฮวย เมื่อปี 2534 ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งตั้งนายลับกับจำเลยให้ร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดกของนางกิมฮวย ต่อมานายลับได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีมรดกอีกคดีหนึ่ง แล้วบุคคลทั้งสองได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยนายลับตกลงแบ่งทรัพย์มรดกของนางกิมฮวยให้แก่จำเลย ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมเมื่อปี 2543 จำเลยได้ดำเนินการจดทะเบียนโอนทรัพย์มรดกเป็นของจำเลย โดยไม่แบ่งปันให้แก่โจทก์ทั้งสามซึ่งมีสิทธิได้รับทรัพย์มรดกดังกล่าวด้วย ขอให้บังคับจำเลยจัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกที่ดินทั้ง 4 แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ให้โจทก์ทั้งสามและจำเลยคนละส่วนเท่า ๆ กัน หากไม่สามารถแบ่งได้ให้ศาลมีคำสั่งยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกขายทอดตลาด และนำเงินที่ได้รับจากการขายทอดตลาดมาแบ่งปันกันคนละส่วนเท่า ๆ กัน และให้จำเลยแบ่งเงินจำนวน 200,000 บาท ให้โจทก์ทั้งสามคนละ 50,000 บาท จำเลยให้การว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมแล้ว ดังนั้น ทรัพย์สินและเงินสดที่จำเลยได้รับจากนายลับตามสัญญา จึงเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของจำเลย มิใช่ทรัพย์มรดกของนางกิมฮวย ซึ่งจะต้องนำมาแบ่งปันให้แก่โจทก์ทั้งสาม โจทก์ทั้งสามไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจัดการแบ่งที่ดิน 4 แปลง ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 2280, 2033, 3440 พร้อมสิ่งปลูกสร้างและเลขที่ 1475 ตำบลสามแวง อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ แก่โจทก์ทั้งสามและจำเลย คนละส่วนเท่า ๆ กัน หากจำเลยไม่ดำเนินการหรือไม่สามารถแบ่งได้ ให้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวออกขายทอดตลาด และนำเงินสุทธิที่ได้รับจากการขายทอดตลาดมาแบ่งปันกันคนละส่วนเท่า ๆ กัน และให้จำเลยแบ่งเงินสดให้โจทก์ทั้งสาม คนละ 50,000 บาท กับให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสาม โดยกำหนดค่าทนายความให้โจทก์คนละ 1,000 บาท จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยแบ่งที่ดินทั้ง 4 แปลง ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 2280, 2033, 3440 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และเลขที่ 1475 ตำบลสามแวง อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ แก่โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ส่วน ใน 8 ส่วน ถ้าแบ่งไม่ได้ให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดแบ่งเงินสุทธิให้โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ส่วน ใน 8 ส่วน และให้จำเลยแบ่งเงินมรดกให้โจทก์ทั้งสามคนละ 25,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นจำนวน 4,687.50 บาท แก่โจทก์ทั้งสาม และให้คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์จำนวน 4,687.50 บาท แก่จำเลย โจทก์ทั้งสามและจำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่นายลับกับจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกันตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกและจำเลยถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดก แม้ศาลจะพิพากษาตามยอมแล้ว แต่เมื่อโจทก์ทั้งสามไม่ได้ลงลายมือชื่อให้ความยินยอมในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวย่อมไม่มีผลผูกพันโจทก์ทั้งสาม ดังนั้น เมื่อจำเลยและนายลับแบ่งปันทรัพย์มรดกโดยไม่แบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์ทั้งสามซึ่งมีสิทธิรับมรดกเช่นนี้จึงเป็นการปฏิบัติผิดหน้าที่ของผู้จัดการมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1719 โจทก์ทั้งสามในฐานะทายาทโดยธรรมผู้มีส่วนได้เสียและมีสิทธิได้รับทรัพย์มรดก ย่อมฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกคือที่ดินพิพาททั้ง 4 แปลง และเงินจำนวน 200,000 บาท ที่จำเลยได้รับไปได้ ทั้งนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1745 ประกอบมาตรา 1363 ป.พ.พ. มาตรา 1613 บัญญัติว่า การสละมรดกจะทำแต่เพียงบางส่วนหรือทำโดยมีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาไม่ได้ การที่นายลับยอมแบ่งทรัพย์มรดกดังกล่าวให้แก่จำเลยก็เพื่อให้จำเลยพ้นจากการเป็นผู้จัดการมรดกและจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์มรดกส่วนอื่น ๆ อีก เป็นการต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวจึงถือไม่ได้ว่านายลับสละมรดก เมื่อข้อเท็จจริงในคดีปรากฏว่า เจ้ามรดกยังมีนายลับเป็นคู่สมรส นายลับย่อมมีสิทธิได้รับทรัพย์มรดกกึ่งหนึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 1635 (2) อีกกึ่งหนึ่งคงตกได้แก่โจทก์ทั้งสามและจำเลยคนละส่วนเท่า ๆ กัน ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยให้จำเลยแบ่งที่ดินทั้ง 4 แปลง และเงินสดให้โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ส่วน ใน 8 ส่วน จึงชอบแล้ว พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2671/2548 หน้าที่ผู้จัดการมรดกคือแบ่งมรดก เมื่อไม่แบ่งมรดกให้ทายาทก็เป็นการทำผิดหน้าที่ผู้จัดการมรดก ทายาทฟ้องขอให้แบ่งมรดกได้ ทายาทให้เงินผู้จัดการมรดกเพื่อให้พ้นจากการเป็นผู้จัดการมรดกนั้นไม่ถือว่าผู้จัดการมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมสละมรดก การสละมรดกจะทำแต่เพียงบางส่วนหรือทำโดยมีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาไม่ได้ หมายเหตุ ป.วิ.พ.มาตรา 145 วรรคหนึ่ง “คำพิพากษาหรือคำสั่งใด ๆ ให้ถือว่าผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาหรือมีคำสั่งนับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาหรือมีคำสั่งจนถึงวันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับหรืองดเสียถ้าหากมี” เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นแต่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย แม้คดียังไม่ถึงที่สุดเนื่องจากจำเลยฎีกาคำพิพากษาดังกล่าวก็ตาม แต่ถือว่าโจทก์มีฐานะเป็นผู้จัดการมรดกนับตั้งแต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแล้ว โจทก์จึงมีหน้าที่จัดการมรดกตามที่ศาลตั้งเริ่มตั้งแต่วันที่ได้ฟัง หรือถือว่าได้ฟังคำสั่งศาลแล้วตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ.มาตรา 1716 ดังนั้นโจทก์จึงมีสิทธิและหน้าที่ในฐานะผู้จัดการมรดกที่จะกระทำการอันจำเป็นเพื่อจัดการมรดกโดยทั่วไปหรือเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดกตาม ป.พ.พ.มาตรา 1719 จำเลยจึงไม่มีสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะยึดถือสมุดบัญชีเงินฝากพิพาททั้งสองบัญชีไว้ได้ โจทก์ชอบที่จะเรียกร้องให้จำเลยส่งมอบสมุดบัญชีเงินฝากพิพาททั้งสองบัญชี |