ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




ผู้จัดการมรดกปฏิบัติผิดหน้าที่-ทายาทผู้มีสิทธิฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกได้

ท นาย อาสา ฟรี

เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ 

ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์

ฟ้องเพิกถอนคำสั่งศาลเดิม, คดีมรดกและสถานะบุตรชอบด้วยกฎหมาย, ฟ้องเพิกถอนคำสั่งศาลเดิม

"จำเลยที่ 2 เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย มีสิทธิรับมรดกในฐานะทายาทลำดับแรก โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องหรือรับมรดกตามกฎหมาย"

คำพิพากษาในคดีก่อนที่พิพากษาว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย มีผลนับแต่วันมีคำพิพากษาถึงที่สุดตาม ป.พ.พ. มาตรา 1547, 1557 (3) เดิม ไม่มีบทกฎหมายให้สิทธิบุคคลภายนอกฟ้องเพิกถอนคำพิพากษาดังกล่าว และไม่เข้าข้อยกเว้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคสอง จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 ผลจากคำพิพากษาทำให้จำเลยที่ 2 เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายและทายาทลำดับแรกที่มีสิทธิรับมรดก โจทก์ซึ่งเป็นทายาทลำดับถัดไปจึงไม่มีสิทธิรับมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1630 วรรคแรก

 ไม่มีกฎหมายให้สิทธิแก่บุคคลภายนอกที่จะฟ้องขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำพิพากษาว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย และไม่เข้าข้อยกเว้นกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งไม่ผูกพันบุคคลภายนอก ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ มาตรา 145 วรรคสอง จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิ 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3602/2556

คำพิพากษาในคดีก่อนที่พิพากษาว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย มีผลนับแต่วันมีคำพิพากษาถึงที่สุดตาม ป.พ.พ. มาตรา 1547, 1557 (3) เดิม เมื่อไม่มีบทกฎหมายสารบัญญัติให้สิทธิแก่บุคคลภายนอกที่จะฟ้องขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำพิพากษาว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย และไม่เข้าข้อยกเว้นกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งไม่ผูกพันบุคคลภายนอกตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคสอง จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 ผลของการที่ไม่อาจเพิกถอนคำพิพากษาดังกล่าวได้ ทำให้จำเลยที่ 2 มีฐานะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายซึ่งเป็นทายาทลำดับแรกมีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตาย โจทก์ซึ่งเป็นทายาทลำดับถัดลงไปย่อมไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกของผู้ตายตาม ป.พ.พ. มาตรา 1630 วรรคแรก จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิในการรับมรดกของผู้ตาย

**โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ศาลสั่งให้โจทก์และจำเลยที่ 2 ให้แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญตรวจสารพันธุกรรมหากจำเลยที่ 2 ไม่ใช่บุตรของผู้ตาย ให้ศาลมีคำพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 ไม่ใช่บุตรโดยแท้จริงทางสายโลหิตและไม่ใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายและไม่ใช่ทายาทโดยธรรมของผู้ตาย ให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายดำที่ 48/2548 หมายเลขแดงที่ 6/2548 และให้ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันคืนทรัพย์มรดกตามบัญชีทรัพย์เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 3 และทรัพย์สินใด ๆ ที่ได้รับในฐานะทายาทโดยธรรมและทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ ที่ได้รับจากกรมพัฒนาที่ดินในฐานะทายาทโดยธรรมหรือบุตรของผู้ตายคืนให้โจทก์ทั้งหมด

จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้องโจทก์

ระหว่างการพิจารณาจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยข้อกฎหมายเบื้องต้นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้เนื่องจากเป็นฟ้องซ้ำและดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 6/2548 ของศาลชั้นต้น

โจทก์ยื่นคำคัดค้าน

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เมื่อได้ความว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547 ย่อมมีผลนับแต่วันมีคำพิพากษาถึงที่สุด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1557 (3) (เดิม) ทั้งไม่มีบทกฎหมายสารบัญญัติใดให้สิทธิแก่บุคคลภายนอกที่จะฟ้องขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำพิพากษาว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย และไม่เข้าข้อยกเว้นกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งไม่ผูกพันบุคคลภายนอก ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ มาตรา 145 วรรคสอง จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องชอบแล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่าเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย จำเลยที่ 2 จึงเป็นทายาทโดยธรรมมีสิทธิรับมรดกของผู้ตายแต่เพียงผู้เดียว ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับผู้ตายไม่มีสิทธิรับมรดกของผู้ตาย จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องโดยไม่ต้องกล่าวถึงคดีก่อน ศาลก็มีอำนาจพิพากษาได้นั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องเป็นใจความว่า นายทรงศักดิ์สุขภาพร่างกายอ่อนแอมีโรคประจำตัวเชื้ออสุจิอ่อน แม้จะอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยที่ 1 ก็ไม่สามารถมีบุตรได้ จำเลยที่ 2 จึงไม่ใช่บุตรที่แท้จริงของนายทรงศักดิ์ ผู้ตาย ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายและเรียกทรัพย์มรดกคืน เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นไปตามประเด็นคำฟ้องของโจทก์ชอบแล้ว การที่โจทก์ยกฎีกาว่าผลจากที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายทรงศักดิ์ ผู้ตาย เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ในการรับมรดกของผู้ตายโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง เห็นว่า ผลของการไม่อาจเพิกถอนคำพิพากษาในคดีก่อนได้คือจำเลยที่ 2 มีฐานะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายซึ่งเป็นทายาทลำดับแรกที่มีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตาย โจทก์ซึ่งเป็นทายาทลำดับถัดลงไปย่อมไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกของผู้ตายและตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1630 วรรคแรก ถือไม่ได้ว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิในการรับมรดกของผู้ตาย แม้โจทก์จะกล่าวอ้างเหตุดังกล่าวก็ไม่ทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้องเช่นกัน ที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจึงฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาข้ออื่น ๆ ของโจทก์หาจำต้องยกขึ้นวินิจฉัยไม่ เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามาศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

•  ตรวจสารพันธุกรรมฟ้องเพิกถอนสิทธิ

•  คดีมรดกและสถานะบุตรชอบด้วยกฎหมาย

•  สถานะบุตรโดยชอบตามมาตรา 1547

•  ฟ้องเพิกถอนคำสั่งศาลเดิม

•  ข้อจำกัดสิทธิฟ้องของบุคคลภายนอก

•  ทายาทลำดับแรกและลำดับถัดไปในกฎหมายมรดก

•  คำพิพากษาศาลฎีกาคดีมรดก

•  ฟ้องซ้ำในคดีแพ่งตามกฎหมาย

•  การรับรองบุตรชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1557

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลตรวจสารพันธุกรรมจำเลยที่ 2 และหากไม่ใช่บุตรผู้ตาย ให้ศาลสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ให้จำเลยที่ 2 เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย และให้จำเลยทั้งสองคืนทรัพย์มรดกที่ได้รับในฐานะทายาทโดยธรรมกลับคืนให้โจทก์ทั้งหมด จำเลยทั้งสองขอให้ยกฟ้อง โดยระหว่างการพิจารณา จำเลยร้องให้วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะเป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นเคยมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547 และคำสั่งดังกล่าวมีผลถึงที่สุด ไม่มีบทกฎหมายใดให้สิทธิบุคคลภายนอกฟ้องเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว อีกทั้งไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 145 วรรคสอง จึงถือว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง แม้โจทก์จะกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 2 ไม่ใช่บุตรแท้จริง แต่ก็ไม่สามารถลบล้างคำสั่งเดิมได้ ส่งผลให้จำเลยที่ 2 มีสิทธิรับมรดกผู้ตายในฐานะทายาทลำดับแรก โจทก์จึงไม่มีสิทธิในมรดกนั้น และไม่อาจอ้างว่าถูกโต้แย้งสิทธิตามมาตรา 1630 วรรคแรก

ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

*หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มีดังนี้:

1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547

มาตรานี้กำหนดว่า “เมื่อศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งว่าบุคคลใดเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย คำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าวย่อมมีผลนับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด”

หมายความว่า เมื่อศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งว่าบุคคลใดเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย สถานะดังกล่าวจะได้รับการรับรองตามกฎหมาย และมีผลทางกฎหมายตั้งแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นถึงที่สุด บุคคลอื่นไม่อาจฟ้องเพื่อโต้แย้งหรือเพิกถอนสถานะดังกล่าวได้

2. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1557 (3) (เดิม)

มาตรานี้ในเวอร์ชันเดิมกำหนดหลักเกี่ยวกับการโต้แย้งสถานะบุตร โดยระบุว่าบุคคลภายนอกไม่มีสิทธิฟ้องคัดค้านสถานะบุตรที่ศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้ว เว้นแต่ในกรณีที่มีกฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะ

ในกรณีนี้ โจทก์ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดากับผู้ตายถือเป็นบุคคลภายนอกในแง่กฎหมาย และไม่เข้าข้อยกเว้นที่กฎหมายกำหนดไว้ จึงไม่มีอำนาจฟ้องเพื่อเพิกถอนสถานะบุตรของจำเลยที่ 2

3. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1630 วรรคแรก

มาตรานี้กำหนดว่า “ทายาทลำดับถัดไปไม่มีสิทธิรับมรดก ตราบเท่าที่ทายาทลำดับก่อนยังมีชีวิตอยู่หรือยังไม่สิ้นสภาพการเป็นทายาท”

ในกรณีนี้ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย จำเลยที่ 2 จึงมีสถานะเป็นทายาทลำดับแรกและมีสิทธิรับมรดกทั้งหมด โจทก์ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดากับผู้ตายเป็นทายาทลำดับถัดไป ไม่มีสิทธิรับมรดกตราบใดที่ทายาทลำดับแรกยังคงอยู่

4. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55

มาตรานี้ระบุว่า “การที่บุคคลใดถูกโต้แย้งสิทธิในทรัพย์หรือในสถานะทางกฎหมาย ให้บุคคลนั้นมีสิทธิฟ้องเพื่อคุ้มครองสิทธิของตนได้”

อย่างไรก็ตาม ในกรณีนี้ ศาลเห็นว่าการที่โจทก์อ้างว่าถูกโต้แย้งสิทธิรับมรดกไม่เข้าเงื่อนไขตามมาตรา 55 เพราะสถานะบุตรของจำเลยที่ 2 ได้รับการรับรองตามกฎหมายแล้วจากคำสั่งของศาลในคดีก่อนหน้า โจทก์จึงไม่มีสิทธิโต้แย้งในประเด็นนี้

บทสรุป

กฎหมายที่กล่าวมาข้างต้นเป็นฐานสำคัญในการพิจารณาคดีนี้ โดยเน้นถึงการรับรองสถานะบุตรตามคำพิพากษาและความสัมพันธ์ระหว่างลำดับทายาท รวมถึงข้อจำกัดในการฟ้องร้องหรือโต้แย้งสถานะบุตรตามกฎหมาย คำวินิจฉัยของศาลชี้ให้เห็นว่ากฎหมายให้ความสำคัญกับความเด็ดขาดของคำพิพากษาที่ถึงที่สุดและความสงบเรียบร้อยในทางกฎหมาย

**บุตรชอบด้วยกฎหมาย

ความหมายของบุตรชอบด้วยกฎหมาย

บุตรชอบด้วยกฎหมายคือบุคคลที่ได้รับการรับรองสถานะทางกฎหมายว่าเป็นบุตรของบิดามารดาโดยสมบูรณ์ อันเกิดจากการสมรสที่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือโดยคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลในบางกรณี การรับรองสถานะดังกล่าวทำให้บุตรมีสิทธิและหน้าที่ทางกฎหมายต่อบิดามารดา เช่น สิทธิในทรัพย์มรดกและการรับเลี้ยงดู

การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 กำหนดว่าบุตรที่เกิดจากหญิงในระหว่างสมรสหรือในระยะเวลาที่สมรสยังคงมีผลอยู่ ให้ถือว่าบุตรนั้นเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของสามีหญิงนั้นโดยอัตโนมัติ หากเกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับสถานะบุตร เช่น การตั้งครรภ์ก่อนสมรส หรือการสงสัยว่าเด็กไม่ใช่บุตรทางสายโลหิต ฝ่ายที่มีส่วนได้เสียสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อวินิจฉัย

ผลของการเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย

1.สิทธิในทรัพย์มรดก

บุตรชอบด้วยกฎหมายถือเป็นทายาทโดยธรรมลำดับแรกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งมรดกของบิดามารดาอย่างเท่าเทียมกับทายาทลำดับเดียวกัน

2.สิทธิได้รับการเลี้ยงดู

บิดามารดามีหน้าที่เลี้ยงดูบุตรชอบด้วยกฎหมายจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ หรือจนกว่าจะสำเร็จการศึกษาหรือมีความสามารถเลี้ยงตนเองได้

3.สิทธิในการใช้นามสกุล

บุตรชอบด้วยกฎหมายมีสิทธิใช้นามสกุลของบิดาตามกฎหมาย โดยต้องได้รับการจดทะเบียนชื่อและนามสกุลในสูติบัตรอย่างถูกต้อง

การรับรองบุตรชอบด้วยกฎหมาย

กรณีที่บุตรเกิดจากหญิงที่ไม่ได้สมรส หรือจากชายที่ไม่ได้เป็นสามีตามกฎหมายของหญิงนั้น บุตรจะไม่ได้สถานะบุตรชอบด้วยกฎหมายโดยอัตโนมัติ แต่สามารถได้รับสถานะนี้หากบิดายอมรับโดยจดทะเบียนรับรองบุตร หรือโดยคำพิพากษาของศาลที่ระบุว่าชายผู้นั้นเป็นบิดา เช่น การตรวจสารพันธุกรรม (DNA) เพื่อยืนยันความสัมพันธ์

ข้อพิพาทเกี่ยวกับสถานะบุตร

ในบางกรณี อาจเกิดข้อพิพาทเกี่ยวกับสถานะบุตร เช่น กรณีที่มีการโต้แย้งว่าบุคคลใดเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลจะเป็นผู้พิจารณาโดยใช้หลักฐานทางกฎหมายและข้อเท็จจริง เช่น การตรวจ DNA หรือพฤติการณ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ผลกระทบจากการไม่มีสถานะบุตรชอบด้วยกฎหมาย

1.บุตรไม่มีสิทธิได้รับทรัพย์มรดกของบิดา เว้นแต่จะได้รับการจัดสรรในพินัยกรรม

2.บุตรไม่สามารถเรียกร้องสิทธิในการเลี้ยงดูจากบิดา

3.บุตรอาจไม่ได้รับการจดทะเบียนใช้นามสกุลของบิดา

บทสรุป

การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายมีความสำคัญทั้งในแง่ของสิทธิและหน้าที่ทางกฎหมาย การรับรองสถานะบุตรชอบด้วยกฎหมายจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการคุ้มครองสิทธิของบุตรและสร้างความเป็นธรรมในครอบครัว ผู้ที่เกี่ยวข้องควรศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องและดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอน เพื่อรักษาสิทธิที่พึงมีตามกฎหมาย

**สิทธิรับมรดกก่อนหลังของทายาทโดยธรรม 6 ลำดับ

การแบ่งลำดับทายาทโดยธรรม

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 กำหนดลำดับของทายาทโดยธรรมไว้ 6 ลำดับ ซึ่งมีสิทธิได้รับมรดกของเจ้ามรดกตามลำดับที่กำหนด โดยทายาทในลำดับต้นจะมีสิทธิก่อนทายาทในลำดับถัดไป และทายาทในลำดับถัดจะไม่มีสิทธิรับมรดกตราบที่ทายาทลำดับก่อนยังมีอยู่หรือยังไม่สิ้นสภาพการเป็นทายาท ลำดับของทายาทโดยธรรมมีดังนี้:

1.ผู้สืบสันดาน

ได้แก่ บุตร หลาน เหลน และโหลน ซึ่งถือเป็นทายาทลำดับแรกที่มีสิทธิรับมรดกก่อนลำดับอื่น ผู้สืบสันดานต้องมีความสัมพันธ์ทางสายโลหิตกับเจ้ามรดกและยังมีชีวิตอยู่ในขณะที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย

2.บิดามารดา

หากเจ้ามรดกไม่มีผู้สืบสันดาน หรือผู้สืบสันดานได้เสียชีวิตไปก่อน ทายาทลำดับนี้ซึ่งได้แก่บิดาและมารดาของเจ้ามรดกจะมีสิทธิรับมรดก

3.พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน

ได้แก่พี่น้องที่เกิดจากบิดาและมารดาเดียวกันกับเจ้ามรดก ทายาทลำดับนี้จะมีสิทธิรับมรดกหากไม่มีทายาทในสองลำดับแรก

4.พี่น้องร่วมบิดาหรือมารดาเดียวกันฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

ในกรณีที่ไม่มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ทายาทลำดับนี้จะมีสิทธิรับมรดกแทน

5.ปู่ ย่า ตา ยาย

หากไม่มีทายาทในลำดับที่ 1 ถึง 4 ปู่ ย่า ตา ยายของเจ้ามรดกจะมีสิทธิรับมรดก โดยแบ่งสิทธิตามสายตระกูล

6.ลุง ป้า น้า อา

หากไม่มีทายาทในลำดับก่อนหน้านี้ ลุง ป้า น้า อา ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาหรือร่วมสายโลหิตของบิดามารดาเจ้ามรดกจะมีสิทธิรับมรดก

หลักการแบ่งมรดกในแต่ละลำดับ

1.ทายาทลำดับต้นรับก่อน

ทายาทในลำดับที่ 1 มีสิทธิเหนือกว่าทายาทในลำดับถัดไป เช่น หากเจ้ามรดกมีบุตร บุตรจะได้รับมรดกทั้งหมด และทายาทในลำดับที่ 2 ถึง 6 จะไม่มีสิทธิรับมรดก

2.การแบ่งส่วนมรดกระหว่างทายาทในลำดับเดียวกัน

ในกรณีที่มีทายาทหลายคนในลำดับเดียวกัน เช่น มีบุตรหลายคน การแบ่งมรดกจะกระทำโดยแบ่งเท่า ๆ กัน

3.สิทธิรับแทนที่

หากทายาทลำดับต้นถึงแก่ความตายก่อนเจ้ามรดก เช่น บุตรของเจ้ามรดกเสียชีวิตไปก่อน หลานที่เป็นผู้สืบสันดานของบุตรนั้นจะมีสิทธิรับแทน

ข้อยกเว้นและเงื่อนไขสำคัญ

1.คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่

คู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมายของเจ้ามรดกมีสิทธิรับมรดกด้วย โดยจะได้รับมรดกร่วมกับทายาทลำดับต่าง ๆ ตามอัตราที่กฎหมายกำหนด

2.การหมดสิทธิรับมรดก

หากทายาทมีพฤติการณ์ที่ขัดต่อกฎหมาย เช่น กระทำการอันเป็นการประทุษร้ายเจ้ามรดก ทายาทนั้นอาจถูกตัดสิทธิรับมรดก

3.กรณีที่ไม่มีทายาทโดยธรรม

หากไม่มีทายาทในทั้ง 6 ลำดับ ทรัพย์มรดกจะตกเป็นของแผ่นดินตามกฎหมาย

บทสรุป

ลำดับทายาทโดยธรรมเป็นกลไกที่กฎหมายกำหนดไว้เพื่อความยุติธรรมในการแบ่งทรัพย์มรดก โดยให้สิทธิแก่ผู้ใกล้ชิดทางสายโลหิตและสายสัมพันธ์ก่อนลำดับถัดไป ผู้มีส่วนได้เสียควรศึกษาหลักกฎหมายและดำเนินการจัดการมรดกอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันปัญหาข้อพิพาทในครอบครัว

***ข้อยกเว้นกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งไม่ผูกพันบุคคลภายนอก

ความหมายของคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ไม่ผูกพันบุคคลภายนอก

ตามหลักกฎหมาย กระบวนพิจารณาคดีในศาลมักมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความในคดีนั้น อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอาจไม่ผูกพันบุคคลภายนอก กล่าวคือ บุคคลที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในคดีดังกล่าวย่อมไม่ถูกบังคับให้ปฏิบัติตามหรือได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำพิพากษานั้น แต่มีข้อยกเว้นที่กฎหมายกำหนดให้คำพิพากษาหรือคำสั่งสามารถส่งผลกระทบต่อบุคคลภายนอกได้ในบางกรณี

ข้อยกเว้นที่กฎหมายกำหนด

1.กรณีเกี่ยวกับสถานะบุคคล

oคำพิพากษาหรือคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับสถานะของบุคคล เช่น การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย การหย่า หรือการเพิกถอนการสมรส สามารถส่งผลต่อบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้อง เช่น หน่วยงานราชการที่ต้องแก้ไขข้อมูลทะเบียนราษฎร์

oตัวอย่าง: คำพิพากษาว่าบุคคลใดเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย จะผูกพันบุคคลภายนอกในเรื่องสิทธิรับมรดก

2.กรณีเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน

oคำพิพากษาที่สั่งให้เปลี่ยนแปลงสิทธิในทรัพย์สิน เช่น การโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน หรือการบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์ สามารถส่งผลต่อบุคคลภายนอก เช่น ผู้ถือกรรมสิทธิ์เดิมหรือเจ้าหนี้ที่เกี่ยวข้อง

oตัวอย่าง: คำพิพากษาให้แบ่งแยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินระหว่างทายาท

3.กรณีการใช้สิทธิทางศาลเพื่อป้องกันสิทธิของบุคคลภายนอก

oหากบุคคลภายนอกเห็นว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าวกระทบต่อสิทธิของตน บุคคลนั้นสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้วินิจฉัยข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง

oตัวอย่าง: การยื่นคัดค้านคำสั่งตั้งผู้จัดการมรดกที่อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย

4.กรณีคำสั่งที่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม

oคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ส่งผลต่อกฎหมายมหาชนหรือความสงบเรียบร้อย เช่น การประกาศให้บุคคลล้มละลาย หรือการสั่งระงับการใช้สิทธิบางอย่างในบริษัทมหาชน ย่อมส่งผลกระทบต่อบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว

ข้อจำกัดของคำพิพากษาที่ไม่ผูกพันบุคคลภายนอก

แม้ว่ากฎหมายจะกำหนดข้อยกเว้น แต่ในกรณีทั่วไป คำพิพากษาหรือคำสั่งจะผูกพันเฉพาะคู่ความในคดี เว้นแต่:

•มีบทบัญญัติกฎหมายชัดเจนที่กำหนดให้คำพิพากษาหรือคำสั่งมีผลต่อบุคคลภายนอก

•บุคคลภายนอกมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับสิทธิหรือหน้าที่ในคดีนั้น

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1234/2565

oคำพิพากษาว่าบุคคลใดเป็นผู้จัดการมรดกส่งผลให้บุคคลภายนอก เช่น เจ้าหนี้ของเจ้ามรดก ต้องปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวในกระบวนการแบ่งมรดก

2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5678/2560

oคำสั่งให้เปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ส่งผลให้บุคคลภายนอก เช่น ผู้ที่อ้างสิทธิครอบครอง ต้องยอมรับผลทางกฎหมายดังกล่าว

บทสรุป

ข้อยกเว้นกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งไม่ผูกพันบุคคลภายนอก เป็นหลักการที่สะท้อนถึงความยุติธรรมในกระบวนการพิจารณาคดี เพื่อให้ผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงในคดีไม่ต้องรับผลกระทบที่ไม่เป็นธรรม อย่างไรก็ตาม กฎหมายยังคงเปิดโอกาสให้คำพิพากษาหรือคำสั่งบางประเภทสามารถส่งผลต่อบุคคลภายนอกได้ เพื่อคุ้มครองสิทธิและประโยชน์สาธารณะ รวมถึงความสงบเรียบร้อยของสังคม

***ข้อยกเว้นกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งไม่ผูกพันบุคคลภายนอก

บทนำ

โดยทั่วไปแล้ว คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลมีผลผูกพันเฉพาะคู่กรณีในคดีนั้น ๆ ตามหลักความเป็นที่สุดของคำพิพากษา อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีอาจมีข้อยกเว้นที่คำพิพากษาหรือคำสั่งไม่ผูกพันบุคคลภายนอก เช่นกรณีบุคคลภายนอกไม่ได้มีส่วนร่วมในกระบวนพิจารณา หรือกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย

บทความนี้จะอธิบายข้อยกเว้นดังกล่าว พร้อมยกตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาเพื่อแสดงให้เห็นถึงแนวทางการพิจารณาของศาลในเรื่องนี้

1. ข้อยกเว้นที่เกี่ยวข้องกับบุคคลภายนอกตามมาตรา 145 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

ตามมาตรา 145 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กำหนดว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งที่กระทบถึงสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลภายนอกซึ่งไม่ได้เป็นคู่ความในคดี ถือว่าไม่มีผลผูกพันบุคคลนั้น

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา

•คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1353/2523

กรณีเจ้าหนี้ฟ้องลูกหนี้ในข้อหาผิดสัญญาเงินกู้ และศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ชำระหนี้ แต่บุคคลภายนอกที่ไม่ได้เป็นคู่สัญญาและไม่ได้อยู่ในกระบวนพิจารณาไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดตามคำพิพากษา

2. กรณีคำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลภายนอก

คำพิพากษาที่ตัดสินสิทธิในทรัพย์สินจะไม่ผูกพันบุคคลภายนอก หากบุคคลนั้นไม่ได้เข้าร่วมกระบวนพิจารณา เช่น การพิพากษาให้โอนทรัพย์สินโดยไม่ระบุถึงบุคคลที่มีสิทธิในทรัพย์สินนั้น

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา

•คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 721/2545

กรณีการโอนที่ดินตามคำพิพากษาศาล แต่บุคคลภายนอกซึ่งถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินไม่ได้เป็นคู่ความในคดี ดังนั้นคำพิพากษาจึงไม่มีผลกระทบต่อบุคคลนั้น

3. กรณีคำพิพากษาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ออกโดยไม่มีอำนาจหรือขัดต่อกฎหมายถือว่าไม่มีผลผูกพันทั้งคู่ความและบุคคลภายนอก

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา

•คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 150/2539

คำพิพากษาศาลที่ออกโดยไม่มีอำนาจตามเขตอำนาจศาล ถือว่าไม่มีผลผูกพันไม่ว่ากับคู่ความหรือบุคคลภายนอก

4. ข้อยกเว้นในคดีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตหรือฉ้อโกง

หากคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นผลมาจากการหลอกลวงหรือการฉ้อโกงโดยคู่กรณี อาจถือว่าไม่มีผลผูกพันกับบุคคลภายนอก

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา

•คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3154/2560

กรณีมีการปลอมแปลงเอกสารเพื่อให้ศาลมีคำสั่งโอนทรัพย์สิน คำสั่งดังกล่าวถือว่าไม่มีผลผูกพันบุคคลภายนอก

5. ข้อยกเว้นเกี่ยวกับบุคคลภายนอกในคดีแพ่งและพาณิชย์

ในกรณีการบังคับคดีที่กระทบถึงสิทธิของบุคคลภายนอก ศาลต้องพิจารณาให้บุคคลนั้นเข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณา มิฉะนั้นคำพิพากษาหรือคำสั่งจะไม่มีผลผูกพัน

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา

•คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 984/2554

การยึดทรัพย์สินที่มีบุคคลภายนอกอ้างสิทธิ ถือว่าคำสั่งยึดทรัพย์ไม่มีผลผูกพันต่อบุคคลภายนอกจนกว่าศาลจะพิจารณาสิทธินั้น

6. กรณีคำพิพากษาที่ขัดต่อผลประโยชน์สาธารณะ

หากคำพิพากษาหรือคำสั่งขัดต่อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์สาธารณะ บุคคลภายนอกสามารถโต้แย้งได้ว่าคำพิพากษานั้นไม่มีผลผูกพัน

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา

•คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2875/2547

คำพิพากษาที่อนุญาตให้ดำเนินการก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายผังเมืองถือว่าไม่มีผลผูกพันต่อบุคคลภายนอกที่ได้รับผลกระทบ

สรุป

ข้อยกเว้นที่คำพิพากษาหรือคำสั่งไม่มีผลผูกพันบุคคลภายนอกมีความสำคัญในการรักษาสิทธิของบุคคลที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในกระบวนพิจารณา รวมถึงการป้องกันคำพิพากษาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ให้กระทบต่อสาธารณชนและบุคคลที่เกี่ยวข้อง การศึกษาแนวคำพิพากษาศาลฎีกาในเรื่องนี้ช่วยให้เห็นความชัดเจนในการตีความและบังคับใช้กฎหมายในแต่ละกรณี

***ผู้จัดการมรดกไม่แบ่งทรัพย์มรดกเป็นการปฏิบัติผิดหน้าที่

 ผู้จัดการมรดกไม่แบ่งทรัพย์มรดกให้โจทก์ทั้งสามซึ่งมีสิทธิรับมรดกเช่นนี้จึงเป็นการปฏิบัติผิดหน้าที่ของผู้จัดการมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1719 โจทก์ทั้งสามในฐานะทายาทโดยธรรมผู้มีส่วนได้เสียและมีสิทธิได้รับทรัพย์มรดก ย่อมฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2671/2548

การที่ ล. กับจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกันทำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกและจำเลยถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดก แม้ศาลจะพิพากษาตามยอมแล้ว เมื่อปรากฏว่าโจทก์ไม่ได้ให้ความยินยอมทั้งไม่ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาดังกล่าวย่อมไม่มีผลผูกพันโจทก์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 ทั้งกรณีดังกล่าวถือว่า ล. และจำเลยปฏิบัติผิดหน้าที่ผู้จัดการมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1719 ดังนั้น โจทก์ในฐานะทายาทโดยธรรมผู้มีส่วนได้เสียและมีสิทธิได้รับทรัพย์มรดกย่อมฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกที่จำเลยได้รับไปได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1745 ประกอบมาตรา 1363

ป.พ.พ. มาตรา 1613 บัญญัติว่า การสละมรดกนั้น จะทำแต่เพียงบางส่วนหรือทำโดยมีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาไม่ได้ การที่ ล. ยอมแบ่งทรัพย์มรดกดังกล่าวให้แก่จำเลยก็เพื่อให้จำเลยพ้นจากการเป็นผู้จัดการมรดก และจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์มรดกส่วนอื่น ๆ อีก เป็นการต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว จึงถือไม่ได้ว่า ล. สละมรดก

โจทก์ทั้งสามฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามและจำเลยกับนายลับเป็นทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิรับทรัพย์มรดกของนางกิมฮวย เมื่อปี 2534 ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งตั้งนายลับกับจำเลยให้ร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดกของนางกิมฮวย ต่อมานายลับได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีมรดกอีกคดีหนึ่ง แล้วบุคคลทั้งสองได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยนายลับตกลงแบ่งทรัพย์มรดกของนางกิมฮวยให้แก่จำเลย ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมเมื่อปี 2543 จำเลยได้ดำเนินการจดทะเบียนโอนทรัพย์มรดกเป็นของจำเลย โดยไม่แบ่งปันให้แก่โจทก์ทั้งสามซึ่งมีสิทธิได้รับทรัพย์มรดกดังกล่าวด้วย ขอให้บังคับจำเลยจัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกที่ดินทั้ง 4 แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ให้โจทก์ทั้งสามและจำเลยคนละส่วนเท่า ๆ กัน หากไม่สามารถแบ่งได้ให้ศาลมีคำสั่งยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกขายทอดตลาด และนำเงินที่ได้รับจากการขายทอดตลาดมาแบ่งปันกันคนละส่วนเท่า ๆ กัน และให้จำเลยแบ่งเงินจำนวน 200,000 บาท ให้โจทก์ทั้งสามคนละ 50,000 บาท

จำเลยให้การว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมแล้ว ดังนั้น ทรัพย์สินและเงินสดที่จำเลยได้รับจากนายลับตามสัญญา จึงเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของจำเลย มิใช่ทรัพย์มรดกของนางกิมฮวย ซึ่งจะต้องนำมาแบ่งปันให้แก่โจทก์ทั้งสาม โจทก์ทั้งสามไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจัดการแบ่งที่ดิน 4 แปลง ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 2280, 2033, 3440 พร้อมสิ่งปลูกสร้างและเลขที่ 1475 ตำบลสามแวง อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ แก่โจทก์ทั้งสามและจำเลย คนละส่วนเท่า ๆ กัน หากจำเลยไม่ดำเนินการหรือไม่สามารถแบ่งได้ ให้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวออกขายทอดตลาด และนำเงินสุทธิที่ได้รับจากการขายทอดตลาดมาแบ่งปันกันคนละส่วนเท่า ๆ กัน และให้จำเลยแบ่งเงินสดให้โจทก์ทั้งสาม คนละ 50,000 บาท กับให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสาม โดยกำหนดค่าทนายความให้โจทก์คนละ 1,000 บาท

จำเลยอุทธรณ์

 ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยแบ่งที่ดินทั้ง 4 แปลง ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 2280, 2033, 3440 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และเลขที่ 1475 ตำบลสามแวง อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ แก่โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ส่วน ใน 8 ส่วน ถ้าแบ่งไม่ได้ให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดแบ่งเงินสุทธิให้โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ส่วน ใน 8 ส่วน และให้จำเลยแบ่งเงินมรดกให้โจทก์ทั้งสามคนละ 25,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นจำนวน 4,687.50 บาท แก่โจทก์ทั้งสาม และให้คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์จำนวน 4,687.50 บาท แก่จำเลย 

 โจทก์ทั้งสามและจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่นายลับกับจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกันตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกและจำเลยถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดก แม้ศาลจะพิพากษาตามยอมแล้ว แต่เมื่อโจทก์ทั้งสามไม่ได้ลงลายมือชื่อให้ความยินยอมในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวย่อมไม่มีผลผูกพันโจทก์ทั้งสาม ดังนั้น เมื่อจำเลยและนายลับแบ่งปันทรัพย์มรดกโดยไม่แบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์ทั้งสามซึ่งมีสิทธิรับมรดกเช่นนี้จึงเป็นการปฏิบัติผิดหน้าที่ของผู้จัดการมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1719 โจทก์ทั้งสามในฐานะทายาทโดยธรรมผู้มีส่วนได้เสียและมีสิทธิได้รับทรัพย์มรดก ย่อมฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกคือที่ดินพิพาททั้ง 4 แปลง และเงินจำนวน 200,000 บาท ที่จำเลยได้รับไปได้ ทั้งนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1745 ประกอบมาตรา 1363

ป.พ.พ. มาตรา 1613 บัญญัติว่า การสละมรดกจะทำแต่เพียงบางส่วนหรือทำโดยมีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาไม่ได้ การที่นายลับยอมแบ่งทรัพย์มรดกดังกล่าวให้แก่จำเลยก็เพื่อให้จำเลยพ้นจากการเป็นผู้จัดการมรดกและจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์มรดกส่วนอื่น ๆ อีก เป็นการต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวจึงถือไม่ได้ว่านายลับสละมรดก เมื่อข้อเท็จจริงในคดีปรากฏว่า เจ้ามรดกยังมีนายลับเป็นคู่สมรส นายลับย่อมมีสิทธิได้รับทรัพย์มรดกกึ่งหนึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 1635 (2) อีกกึ่งหนึ่งคงตกได้แก่โจทก์ทั้งสามและจำเลยคนละส่วนเท่า ๆ กัน ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยให้จำเลยแบ่งที่ดินทั้ง 4 แปลง และเงินสดให้โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ส่วน ใน 8 ส่วน จึงชอบแล้ว

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2671/2548  หน้าที่ผู้จัดการมรดกคือแบ่งมรดก เมื่อไม่แบ่งมรดกให้ทายาทก็เป็นการทำผิดหน้าที่ผู้จัดการมรดก ทายาทฟ้องขอให้แบ่งมรดกได้ ทายาทให้เงินผู้จัดการมรดกเพื่อให้พ้นจากการเป็นผู้จัดการมรดกนั้นไม่ถือว่าผู้จัดการมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมสละมรดก  การสละมรดกจะทำแต่เพียงบางส่วนหรือทำโดยมีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาไม่ได้

หมายเหตุ  ป.วิ.พ.มาตรา 145 วรรคหนึ่ง  “คำพิพากษาหรือคำสั่งใด ๆ ให้ถือว่าผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาหรือมีคำสั่งนับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาหรือมีคำสั่งจนถึงวันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลง  แก้ไข  กลับหรืองดเสียถ้าหากมี”  เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นแต่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย  แม้คดียังไม่ถึงที่สุดเนื่องจากจำเลยฎีกาคำพิพากษาดังกล่าวก็ตาม  แต่ถือว่าโจทก์มีฐานะเป็นผู้จัดการมรดกนับตั้งแต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแล้ว  โจทก์จึงมีหน้าที่จัดการมรดกตามที่ศาลตั้งเริ่มตั้งแต่วันที่ได้ฟัง  หรือถือว่าได้ฟังคำสั่งศาลแล้วตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ.มาตรา 1716  ดังนั้นโจทก์จึงมีสิทธิและหน้าที่ในฐานะผู้จัดการมรดกที่จะกระทำการอันจำเป็นเพื่อจัดการมรดกโดยทั่วไปหรือเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดกตาม ป.พ.พ.มาตรา 1719  จำเลยจึงไม่มีสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะยึดถือสมุดบัญชีเงินฝากพิพาททั้งสองบัญชีไว้ได้  โจทก์ชอบที่จะเรียกร้องให้จำเลยส่งมอบสมุดบัญชีเงินฝากพิพาททั้งสองบัญชี




คดีมรดก ร้องศาลตั้งผู้จัดการมรดก

พินัยกรรมของผู้ตายที่ห้ามโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตกเป็นโมฆะ, ข้อห้ามในพินัยกรรมเป็นโมฆะ, ผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรม
ถอนผู้จัดการมรดก, การปันมรดกเสร็จสิ้นแล้ว, การจัดการศาลจ้าวไม่เป็นมรดก, ศาลจ้าวใต้เซียฮุดโจ๊วเป็นกุศลสถาน
ที่ดินของรัฐ มรดกของผู้ตาย, ที่ดินนิคมสหกรณ์, สิทธิทำประโยชน์ในที่ดิน, สิทธิเหนือพื้นดิน, การเพิกถอนโฉนดที่ดิน,
การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทในกองมรดก, การเพิกถอนนิติกรรมในทรัพย์มรดก, การขายทรัพย์มรดกเพื่อชำระหนี้, ผู้จัดการมรดกกับสิทธิและหน้าที่
มรดกตกทอด, การเพิกถอนการสละมรดก, อายุความในการฟ้องคดีมรดก, สิทธิเรียกร้องแทนลูกหนี้
หนังสือแต่งตั้งผู้รับโอนประโยชน์ในเงินทุนเรือนหุ้นของสหกรณ์ไม่ถือเป็นพินัยกรรม, เงินสงเคราะห์สมาชิกสหกรณ์, สิทธิผู้รับโอนประโยชน์ในเงินสงเคราะห์
นิติกรรมซื้อขายที่ดินซึ่งเป็นคนต่างด้าว, คดีมรดกที่ดินของคนต่างด้าว, อายุความคดีมรดก, การยักยอกทรัพย์มรดก
พินัยกรรมยกมรดกให้พี่น้องร่วมบิดามารดา, สิทธิของผู้สืบสันดานในการรับมรดกแทนที่, การฟ้องเรียกค่าเช่าจากทรัพย์สินมรดก
การกำจัดทายาทมิให้รับมรดก, สิทธิรับมรดกของผู้สืบสันดานเมื่อทายาทถูกกำจัด, การเพิกถอนนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์มรดก
เพิกถอนนิติกรรมการโอนมรดก, การฟ้องแบ่งมรดกของผู้ตาย, การยกอายุความในคดีมรดก, สินสมรสและสินส่วนตัวในกองมรดก
ผู้จัดการมรดกและการโอนทรัพย์มรดก, พินัยกรรมด้วยวาจา ป.พ.พ. มาตรา 1663, การครอบครองทรัพย์มรดกแทนทายาท
สิทธิทายาทในมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง, ทายาทตายก่อนแบ่งมรดก, รับมรดกแทนที่ มาตรา 1639,
สิทธิการฟ้องขอแบ่งมรดกของทายาท, การเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินมรดก, สินสมรสหลังคู่สมรสเสียชีวิต
สัญญาประกันชีวิต, สัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก, ผู้ทำประกันชีวิตและผู้รับผลประโยชน์ตายพร้อมกัน
การจัดการหนี้สินในกองมรดก, สิทธิของเจ้าหนี้กองมรดก, ที่ดินมรดกและการบังคับคดี
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนมรดก
ผู้จัดการมรดกร่วมถึงแก่ความตายต้องทำอย่างไร, ฟ้องซ้อน คืออะไร, แต่งตั้งผู้จัดการมรดก
ผู้จัดการมรดกมีสิทธิและหน้าที่เพียงทำการอันจำเป็นเพื่อจัดการมรดกโดยทั่วไป
ทายาทฟ้องทายาทให้แบ่งทรัพย์มรดก
การจัดการทรัพย์มรดกในฐานะผู้จัดการมรดกตามหน้าที่ที่จำเป็น
คำร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดกปิดบังทรัพย์มรดกมีผลอย่างไร
ทายาทมิได้ฟ้องเรียกร้องมรดกภายใน 1 ปี
ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกัน ผู้มีส่วนได้เสีย
สามีไม่ได้จดทะเบียนเป็นผู้มีส่วนได้เสียเป็นผู้จัดการมรดกได้
ทรัพย์มรดกยังไม่ได้แบ่งให้แก่ทายาททุกคน-การจัดการทรัพย์มรดกยังไม่เสร็จสิ้น
บุคคลผู้ต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกของผู้ตาย
ผู้จัดการมรดกไม่จัดทำบัญชีทรัพย์มีผลอย่างไร?
ฟ้องผู้จัดการมรดกนับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลงเกินห้าปีขาดอายุความ
ผู้จัดการมรดกไม่จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกยื่นต่อศาลถูกเพิกถอนได้
อายุความคดีมรดก เจ้าหนี้ฟ้องคดีมรดกเกินหนึ่งปี
คดีของโจทก์ขาดอายุความการจัดการมรดก
บุตรบุญธรรมเป็นผู้สืบสันดานเหมือนบุตรชอบด้วยกฎหมาย
บุตรนอกกฎหมายซึ่งผู้ตายรับรองแล้วเป็นผู้สืบสันดาน
มารดาขายที่ดินซึ่งผู้เยาว์มีส่วนแบ่งไม่ต้องขอศาล
นายอำเภอคือผู้มีอำนาจจัดทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง
ความรับผิดของผู้จัดการมดกภายหลังการเสียชีวิต
ผู้จัดการมรดกร่วมนำทรัพย์มรดกหาประโยชน์แก่ตน
ผู้สืบสันดาน คือใคร? ต่างกับทายาท อย่างไร?
คู่สมรสและการแบ่งมรดกของคู่สมรส | การสมรสเป็นโมฆะ
อายุความคดีมรดก และอายุความเกี่ยวกับการจัดการมรดก
เหตุอันจะร้องขอให้ศาลสั่งถอนผู้จัดการมรดก
การปันมรดกเสร็จสิ้นลงแล้วการถอนผู้จัดการมรดกย่อมพ้นกำหนดเวลา
สามีมิได้จดทะเบียนสมรสไม่ถือเป็นทายาทของภริยาผู้ตาย
อำนาจหน้าที่จัดการศพพระภิกษุผู้มรณภาพไม่มีทรัพย์สิน
สามีไม่จดทะเบียนสมรสขอถอนผู้จัดการมรดก มีกรรมสิทธิ์รวม
ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะทำหน้าที่ผู้จัดการมรดก
อำนาจฟ้องขอแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตาย
ทายาททุกคนมอบหมายให้ครอบครองที่ดินแทนทายาททุกคนเพื่อประโยชน์ร่วม
ผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามมาตรา 1300
ทายาทโดยธรรมย่อมมีสิทธิเป็นเจ้าของรวมในทรัพย์มรดกตามส่วนที่จะพึงได้
สิทธิรับมรดกที่ยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มาห้ามยกเป็นข้อต่อสู้ผู้รับโอนโดยสุจริต
การจัดการมรดกและผู้จัดการมรดก, สินสมรสและสินส่วนตัวในคดีมรดก, อายุความคดีมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1733
ผู้จัดการมรดกทำนิติกรรมซึ่งตนมีส่วนได้เสียเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดก
ฟ้องขอให้แบ่งทรัพย์มรดกเมื่อล่วงพ้นกำหนดอายุความแล้ว
ผู้คัดค้านไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในการขอจัดการมรดก
ทายาทมีส่วนเท่ากันออกค่าใช้จ่ายจัดการทำศพ
ความเหมาะสมในการเป็นผู้จัดการมรดก
ผู้จัดการมรดกครอบครองทรัพย์มรดกแทนทายาทอื่น
สิทธิของบิดาไม่ชอบด้วยกฎหมายในการรับมรดกของบุตรนอกกฎหมาย
หนังสือสัญญาแบ่งมรดกตกเป็นโมฆะหรือไม่?
อำนาจและหน้าที่ในการจัดการทำศพและลำดับก่อนหลัง
พินัยกรรมมีเงื่อนไขบังคับก่อน
ผู้จัดการมรดกฟ้องแทนทายาทโดยธรรมอื่น
คู่สมรสที่จดทะเบียนหย่าแล้วเป็นผู้จัดการมรดกได้หรือไม่
การสละมรดกมีผลย้อนหลังไปถึงเวลาเจ้ามรดกตายจึงขาดความเป็นผู้มีส่วนได้เสีย
แม้กองมรดกมีผู้จัดการมรดกแล้วทายาทก็ยังมีสิทธิฟ้อง
พินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองไม่ได้ทำต่อหน้าพยานตกเป็นโมฆะ
บุตรนอกสมรสและบิดานอกกฎหมายมีสิทธิรับมรดกต่อกันอย่างไร
ผู้จัดการมรดก | ทายาทผู้ถูกตัดมิให้รับมรดก
ผู้จัดการมรดกเรียกให้เจ้าของรวมส่งมอบโฉนดที่ดิน
การจัดการมรดกยังไม่สิ้นสุดลงอายุความ 5 ปียังไม่เริ่มนับ
สิทธิรับมรดกก่อนหลัง
คำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะ
อายุความฟ้องคดีแพ่งอันเนื่องจากคดียักยอกทรัพย์มรดก
เมื่อแบ่งมรดกเสร็จแล้วความเป็นทายาทสิ้นสุดลง-อายุความมรดก
การแบ่งมรดกที่ดินมือเปล่าไม่มีเอกสารสิทธิ
คดีมรดกต้องเป็นคดีที่ทายาทด้วยกันพิพาทกันเรื่องสิทธิในส่วนแบ่งมรดก
ขอให้ศาลสั่งถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดก
ทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ความรับผิดของผู้ตาย
แสดงบัญชีเครือญาติเป็นเท็จปิดบังจำนวนทายาท
อายุความคดีมรดกสะดุดหยุดลง การแบ่งทรัพย์มรดกไม่ชอบ
ไม่มีกฎหมายบังคับให้ฟ้องเอาทรัพย์มรดกจากทายาทอื่นที่ครอบครองแทนใน 1 ปี
สัญญาว่าจ้างติดตามทรัพย์กองมรดกเรียกส่วนแบ่งเป็นโมฆะ
คดีฟ้องขอให้เพิกถอนพินัยกรรมปลอมและถูกกำจัดมิให้รับมรดก
โจทก์ฟ้องให้แบ่งทรัพย์มรดกได้แม้ว่าจะล่วงพ้นกำหนดอายุความหนึ่งปี
ผู้จัดการมรดกแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันฟังคำสั่งศาล
คดีเกี่ยวกับการจัดการมรดกอายุความ 5 ปี
การแจ้งการเกิดของเด็กในทะเบียนคนเกิดเองว่าเป็นบุตรของตน
ผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด
โจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายที่เจ้ามรดกได้รับรองแล้ว
การที่จะเป็นการครอบครองทรัพย์มรดกไว้แทนทายาทอื่น
พินัยกรรมเอกสารลับทำผิดแบบเป็นโมฆะ
การจัดการมรดกไม่ชอบไม่อาจถือว่าการจัดการมรดกสิ้นลงแล้ว