
คำพิพากษาศาลฎีกานี้เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงขายสินค้าผ่านเฟซบุ๊ก จำเลยเสนอขายโดยไม่มีเจตนาจะขายจริง ทำให้ผู้เสียหายโอนเงิน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์บรรยายฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิดฉ้อโกงประชาชนตาม มาตรา 343 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) แต่ยังเข้าองค์ประกอบฉ้อโกงตาม มาตรา 341 และการนำเข้าข้อมูลเท็จตาม มาตรา 14 (2) ศาลจึงลงโทษจำคุกและปรับ แต่ให้รอการลงโทษเพื่อเปิดโอกาสให้จำเลยกลับตัว ข้อเท็จจริง • จำเลยใช้เฟซบุ๊กหลอกขายโคมไฟและเตียงต่อขนตา • ผู้เสียหายโอนเงิน 1,150 บาท แต่ไม่ได้รับสินค้า • ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุก 6 ปี (ลดโทษเหลือ 2 ปี 12 เดือน), ศาลอุทธรณ์แก้ไม่ให้คืนเงิน • ศาลฎีกาแก้เป็นผิด ม.341 และ พ.ร.บ.คอมฯ มาตรา 14 (2) คำวินิจฉัย 1. องค์ประกอบความผิด – ฟ้องไม่ครบ ม.343 และ ม.14 (1) เพราะไม่กล่าวถึง “ประชาชนทั่วไป” 2. ความผิดที่รับฟังได้ – เป็นฉ้อโกง ม.341 และการนำเข้าข้อมูลเท็จต่อบุคคล ม.14 (2) 3. หลายกรรม – หลอกลวง 2 ครั้ง สินค้าต่างชนิด ถือเป็น 2 กรรม 4. โทษ – มูลค่าความเสียหายเล็กน้อย, จำเลยคืนเงินและบรรเทาเพิ่ม 5,000 บาท, ไม่มีประวัติ ศาลให้รอการลงโทษจำคุก 2 ปี ลงโทษจำคุก 3 เดือนต่อกระทง รวม 6 เดือน และปรับ 5,000 บาท วิเคราะห์กฎหมาย • ฟ้องไม่ครบองค์ประกอบ ศาลไม่อาจลงโทษตามที่ฟ้อง แต่ปรับบทลงโทษได้เองตาม ป.วิ.อ. ม.195, 225 • หลักหลายกรรม: แม้กระทำต่อเนื่อง แต่สินค้าต่างชนิด จัดเป็นหลายกรรม (ม.91) • รอการลงโทษ: ใช้เมื่อความเสียหายน้อย, จำเลยชดใช้แล้ว, ไม่มีประวัติ (ม.56) ข้อคิดทางกฎหมาย • ฟ้องต้องครบองค์ประกอบจึงจะลงโทษตามบทได้ • ฉ้อโกงออนไลน์ แม้เงินน้อยก็ยังผิดอาญา • ศาลใช้ดุลพินิจปรับบทและรอการลงโทษได้เพื่อโอกาสกลับตัว
• การฉ้อโกงตามกฎหมายอาญา • กฎหมายอาญา มาตรา 341 • โทษการฉ้อโกง • การฉ้อโกงประชาชน • การหลอกลวงและปกปิดความจริง • องค์ประกอบการฉ้อโกง • คดีฉ้อโกงในศาลไทย 1. ความหมายและประเภทของการฉ้อโกงตามกฎหมายอาญา การฉ้อโกงตามกฎหมายไทย เป็นความผิดที่ผู้กระทำกระทำการหลอกลวงผู้อื่นโดยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริงซึ่งควรบอก ทำให้ผู้ถูกหลอกลวงนั้นกระทำการ หรือไม่กระทำการ อันส่งผลให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลอื่น การฉ้อโกงถูกบัญญัติไว้ใน ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341-344 ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำและการลงโทษตามแต่ละประเภทของการฉ้อโกง 2. มาตราและหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง •มาตรา 341: กล่าวถึงการฉ้อโกงทั่วไป ผู้ใดโดยทุจริตหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอก ทำให้บุคคลนั้นยินยอมส่งมอบทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่ผู้กระทำหรือบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ •มาตรา 342: กล่าวถึงการฉ้อโกงโดยอาศัยเหตุพิเศษ เช่น การแอบอ้างชื่อบุคคลอื่น การแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงาน หรือการแสดงตัวเป็นผู้มีหน้าที่พิเศษ •มาตรา 343: การฉ้อโกงประชาชน ผู้ใดฉ้อโกงที่มีลักษณะหรือกระบวนการที่หลอกลวงประชาชนเป็นหมู่มาก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ •มาตรา 344: การฉ้อโกงเงินหรือทรัพย์สินในลักษณะที่เป็นการเล่นพนันหรือเสี่ยงโชคโดยไม่สุจริต เป็นการเพิ่มโทษให้ผู้กระทำผิดกรณีที่การฉ้อโกงเกี่ยวข้องกับการลวงในกิจกรรมเสี่ยงโชค 3. องค์ประกอบความผิด การฉ้อโกงในกฎหมายอาญาประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญดังนี้: •การแสดงข้อความอันเป็นเท็จ: ผู้กระทำต้องมีเจตนาแสดงข้อความที่ไม่เป็นความจริง •การปกปิดความจริง: การไม่เปิดเผยข้อมูลที่ควรแจ้งเพื่อไม่ให้ผู้ถูกหลอกลวงเสียหาย •การกระทำโดยทุจริต: เจตนาของผู้กระทำต้องมีเจตนาที่จะได้ประโยชน์ที่ไม่สมควรได้มา 4. หลักการวินิจฉัยและคำพิพากษาที่เกี่ยวข้อง ในคดีการฉ้อโกง ศาลต้องพิจารณาเจตนาของผู้กระทำประกอบกับพฤติการณ์ที่แสดงออกมา การหลอกลวงต้องมีความเชื่อมโยงกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้ถูกหลอกลวง เช่น ในคำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องการฉ้อโกงประชาชนที่ศาลพิจารณาให้ลงโทษจำคุกกับผู้กระทำเพราะมีพยานหลักฐานชัดเจนว่าผู้กระทำมีเจตนาทุจริตและทำให้ประชาชนหลงเชื่อโดยสูญเสียทรัพย์สิน 5. โทษและการลงโทษเพิ่มเติม นอกจากโทษที่บัญญัติในแต่ละมาตราแล้ว ศาลสามารถกำหนดโทษเพิ่มเติมได้ตามดุลพินิจ เช่น กรณีที่ผู้กระทำเป็นข้าราชการหรือมีการแอบอ้างสิทธิหรือสถานะพิเศษ ศาลอาจพิจารณาโทษสูงสุดตามหลักกฎหมาย 6. แนวทางในการป้องกันการฉ้อโกง การป้องกันการฉ้อโกงสามารถทำได้โดยการระมัดระวังในการทำธุรกรรม การตรวจสอบข้อมูลให้ครบถ้วน และการให้ความรู้เกี่ยวกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประชาชนเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อการฉ้อโกง บทความนี้เป็นการสรุปภาพรวมของการฉ้อโกงตามกฎหมายอาญาไทย โดยอ้างอิงตามมาตราที่เกี่ยวข้องพร้อมอธิบายหลักการเบื้องต้นของการกระทำความผิดและบทลงโทษที่ใช้บังคับในกฎหมาย
|
หน้า 1/2 1 2 [ถัดไป] | [Go to top] |