
คำพิพากษาศาลฎีกา 2659/2567 สรุปคดีฉ้อโกงออนไลน์ผ่านเฟซบุ๊ก & ข้อมูลคอมพิวเตอร์เท็จ ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์
บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการหลอกลวงผู้เสียหายผ่านบัญชีเฟซบุ๊ก โดยจำเลยเสนอขายสินค้าโดยไม่มีเจตนาจะขายจริง ทำให้ผู้เสียหายโอนเงินค่าสินค้า ศาลฎีกาพิจารณาว่าโจทก์บรรยายฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตาม มาตรา 343 และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) แต่พฤติการณ์ยังเข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกงตาม มาตรา 341 และการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์เท็จตามมาตรา 14 วรรคสอง โดยศาลลงโทษจำคุกและปรับ แต่ให้รอการลงโทษจำคุกเพื่อเปิดโอกาสให้จำเลยกลับตนเป็นพลเมืองดี
สรุปข้อเท็จจริง • จำเลยใช้บัญชีเฟซบุ๊กโพสต์เสนอขายสินค้า (โคมไฟ, เตียงต่อขนตา) • ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินรวม 1,150 บาท แต่ไม่ได้รับสินค้า • ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 6 ปี ลดเหลือ 2 ปี 12 เดือนเพราะรับสารภาพ และให้คืนเงิน • ศาลอุทธรณ์แก้ไข ไม่ให้คืนเงินเพราะผู้เสียหายได้รับเงินคืนแล้ว • ศาลฎีกาตรวจสอบองค์ประกอบ พบว่าโจทก์ฟ้องไม่ครบตามมาตรา 343 จึงแก้เป็นความผิดฉ้อโกง มาตรา 341 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 วรรคสอง
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา 1. ประเด็นองค์ประกอบความผิด o การบรรยายฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิดฉ้อโกงประชาชน (มาตรา 343) เพราะไม่ได้กล่าวถึง “ประชาชนทั่วไป” o การนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์ก็ไม่เข้ามาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) เพราะไม่ได้ชี้ว่ากระทบต่อประชาชน 2. ความผิดที่ศาลฎีกาเห็นว่าเข้าองค์ประกอบ o การกระทำถือเป็นฉ้อโกงตามมาตรา 341 (หลอกลวงเฉพาะบุคคล) o เป็นการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์เท็จต่อบุคคล (มาตรา 14 วรรคสอง) 3. จำนวนกรรมความผิด o การหลอกลวง 2 ครั้ง ต่อสินค้าต่างชนิดกัน ถือเป็น 2 กรรมความผิดต่างหาก 4. โทษและการรอการลงโทษ o ศาลฎีกาเห็นว่ามูลค่าความเสียหายเล็กน้อย (1,150 บาท), จำเลยคืนเงินแล้ว, มีการบรรเทาเพิ่มอีก 5,000 บาท o ไม่มีประวัติอาชญากร สมควรให้รอการลงโทษจำคุก 2 ปี o กำหนดโทษจำคุก 3 เดือนต่อกระทง รวม 6 เดือน และปรับรวม 5,000 บาท
วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย • การบรรยายฟ้องไม่ครบองค์ประกอบ: ศาลฎีกาย้ำว่า การกล่าวหาความผิดตามมาตรา 343 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) ต้องมีการบรรยาย “ประชาชนทั่วไป” มิฉะนั้นไม่ครบองค์ประกอบ • การปรับบทลงโทษ: แม้โจทก์ฟ้องผิด แต่ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษใหม่ได้ (ป.วิ.อ. มาตรา 195, 225) เพื่อคุ้มครองความสงบเรียบร้อย • หลักหลายกรรมต่างกัน: แม้การกระทำในเวลาใกล้เคียง แต่หากเกี่ยวกับสินค้าคนละชนิดและหลอกต่างครั้ง ก็เป็นหลายกรรมตามมาตรา 91 • หลักการรอการลงโทษ: ศาลนำพฤติการณ์ เช่น ความเสียหายน้อย, ชดใช้แล้ว, ไม่มีประวัติ มาประกอบการรอการลงโทษตามมาตรา 56
ข้อคิดทางกฎหมาย • การบรรยายฟ้องต้องครบองค์ประกอบตามข้อกฎหมาย มิฉะนั้นศาลไม่สามารถลงโทษตามบทที่โจทก์ฟ้องได้ • การฉ้อโกงออนไลน์แม้มีมูลค่าเล็กน้อย แต่ยังถือเป็นความผิดอาญา • ศาลสามารถใช้ดุลพินิจปรับบทลงโทษและรอการลงโทษเพื่อโอกาสในการกลับตัว
IRAC Analysis Issue: จำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน มาตรา 343 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) หรือเป็นเพียงความผิดฉ้อโกงบุคคลตามมาตรา 341 และมาตรา 14 วรรคสอง Rule: • ป.อ. มาตรา 341: ความผิดฐานฉ้อโกงเฉพาะบุคคล • ป.อ. มาตรา 343: ฉ้อโกงประชาชน ต้องมีการบรรยายว่าหลอกลวง “ประชาชนทั่วไป” • พ.ร.บ.คอมฯ มาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1): นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน • มาตรา 14 วรรคสอง: หากการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จทำต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง • ป.อ. มาตรา 91: หลายกรรมต่างกัน • ป.อ. มาตรา 56: การรอการลงโทษ Application: โจทก์ไม่ได้บรรยายถึง “ประชาชนทั่วไป” และ “ความเสียหายแก่ประชาชน” จึงไม่ครบองค์ประกอบตามมาตรา 343 และ พ.ร.บ.คอมฯ มาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) ศาลฎีกาจึงปรับบทเป็นความผิดมาตรา 341 และมาตรา 14 วรรคสองแทน Conclusion: ศาลฎีกาพิพากษาจำเลยผิดฐานฉ้อโกง มาตรา 341 และ พ.ร.บ.คอมฯ มาตรา 14 วรรคสอง ลงโทษจำคุกและปรับ รวม 2 กระทง แต่รอการลงโทษจำคุก 2 ปี
English Summary The Supreme Court Decision No. 2659/2024 concerns online fraud via Facebook, where the defendant falsely offered goods and induced payment. The Court ruled that the indictment did not fulfill elements of public fraud under Section 343 of the Penal Code and Section 14(1) of the Computer Crime Act. Instead, the conduct fell under Section 341 (fraud against a person) and Section 14(2) (false computer data against an individual). The defendant was sentenced to imprisonment and a fine but granted a suspended sentence due to minor damage, restitution, and no prior record.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2659/2567
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยโดยทุจริตหลอกลวงผู้เสียหายด้วยการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จผ่านทางโปรแกรมเฟซบุ๊กตามฟ้อง เสนอขายสินค้าซึ่งความจริงแล้วจำเลยไม่มีเจตนาขายสินค้าดังกล่าวทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินค่าสินค้าให้แก่จำเลย แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องกล่าวหาด้วยว่าเป็นการหลอกลวงเสนอขายสินค้าต่อประชาชนอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตาม ป.อ. มาตรา 343 และไม่ได้บรรยายว่าการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ดังกล่าวนั้นน่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ส่วนบัญชีเฟซบุ๊กตามฟ้อง โจทก์ก็ไม่บรรยายว่าเฟซบุ๊กดังกล่าวเปิดเป็นสาธารณะที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ อันจะถือได้ว่าเป็นการหลอกลวงประชาชน และการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จดังกล่าวน่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน โจทก์จึงบรรยายฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตาม ป.อ. มาตรา 343 และฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) จึงไม่อาจลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 343 และปรับบทลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยไม่ได้ฎีกาปัญหานี้มา ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 แต่พฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยตามฟ้องเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341 และฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จอันเป็นการกระทำต่อบุคคลใดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 วรรคสอง ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพ ย่อมลงโทษจำเลยในความผิดฐานดังกล่าวได้
การกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันตาม ป.อ. มาตรา 91 ไม่ได้บัญญัติว่าการกระทำหลายกรรมนั้นจะเกิดขึ้นในวาระเดียวกันไม่ได้ การกระทำในวันและเวลาเดียวกันหรือต่อเนื่องในคราวเดียวกันก็อาจจะเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันได้ คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามฟ้องว่าจำเลยหลอกลวงโดยการส่งข้อความเสนอขายสินค้าให้แก่ผู้เสียหายผ่านทางบัญชีเฟซบุ๊กตามฟ้องรวม 2 ครั้ง และผู้เสียหายซื้อสินค้าต่างชนิดกัน 2 ครั้ง เป็นการหลอกลวงผู้เสียหายเพื่อให้ได้เงินจากผู้เสียหายในการซื้อสินค้าต่างชนิดกันรวม 2 ครั้ง จึงเป็นความผิด 2 กรรมต่างกัน
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 341, 343 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 ให้จำเลยคืนเงินหรือชดใช้เงินคืนจำนวน 1,150 บาท แก่ผู้เสียหาย จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฉ้อโกงประชาชนและฐานโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน มีระวางโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 เพียงบทเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกกระทงละ 3 ปี รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 6 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 12 เดือน ให้จำเลยคืนเงินหรือชดใช้เงินคืนจำนวน 1,150 บาท แก่ผู้เสียหาย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอที่ให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงินจำนวน 1,150 บาท แก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่าโจทก์บรรยายฟ้องครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) หรือไม่ เห็นว่า ตามฟ้องข้อ 1.1 และ 1.2 โจทก์บรรยายว่าจำเลยโดยทุจริตหลอกลวงผู้เสียหายด้วยการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จผ่านทางโปรแกรมเฟซบุ๊กชื่อบัญชีตามฟ้อง เสนอขายสินค้า ซึ่งความจริงแล้วจำเลยไม่มีเจตนาที่จะขายสินค้าดังกล่าวทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินค่าสินค้าให้แก่จำเลย แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องกล่าวหาด้วยว่าเป็นการหลอกลวงเสนอขายสินค้าต่อประชาชนอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 และไม่ได้บรรยายว่าการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ดังกล่าวนั้นน่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันถือเป็นองค์ประกอบความผิด ส่วนบัญชีเฟซบุ๊กตามฟ้อง โจทก์ก็ไม่บรรยายว่าเฟซบุ๊กดังกล่าวเปิดเป็นสาธารณะที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ อันจะถือได้ว่าเป็นการหลอกลวงประชาชน และการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จดังกล่าวน่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนด้วย โจทก์จึงบรรยายฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 และฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) ศาลล่างทั้งสองย่อมไม่อาจลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 ตามคำขอท้ายฟ้อง และปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) ได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยไม่ได้ฎีกาปัญหานี้มาด้วย ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 แต่พฤติการณ์กระทำความผิดของจำเลยตามฟ้องเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จอันเป็นการกระทำต่อบุคคลใดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 วรรคสอง ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลฎีกาย่อมพิจารณาลงโทษจำเลยในฐานความผิดตามฟ้องได้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การที่จำเลยหลอกลวงขายโคมไฟและเตียงต่อขนตาตามฟ้องให้แก่ผู้เสียหายเป็นการกระทำความผิด 2 กระทง ตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า การกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ไม่ได้บัญญัติว่าการกระทำหลายกรรมนั้นจะเกิดขึ้นในวาระเดียวกันไม่ได้ การกระทำในวันและเวลาเดียวกันหรือต่อเนื่องในคราวเดียวกันก็อาจจะเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันได้ คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพข้อเท็จจริงซึ่งรับฟังได้ตามฟ้องว่าจำเลยหลอกลวงโดยส่งข้อความเสนอขายสินค้าให้แก่ผู้เสียหายผ่านทางบัญชีเฟซบุ๊กตามฟ้องรวม 2 ครั้ง และผู้เสียหายซื้อสินค้าต่างชนิดกัน 2 ครั้ง อันเป็นกรณีที่จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายเพื่อให้ได้เงินจากผู้เสียหายในการซื้อสินค้าต่างชนิดกันรวม 2 ครั้ง จึงเป็นความผิด 2 กรรมต่างกัน ตามฟ้องก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยหลอกลวงผู้เสียหายโดยส่งข้อความผ่านทางบัญชีเฟซบุ๊กเพื่อให้ผู้เสียหายดูสินค้า 2 ชนิดนั้นในคราวเดียวกัน และได้เงินค่าสินค้า 2 ชนิดจากผู้เสียหายในคราวเดียวกัน อันจะถือได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดกระทงเดียว และไม่ใช่กรณีมีเหตุสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดในคราวเดียวที่ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยดังที่จำเลยอ้างมาในฎีกา ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลย 2 กระทง นั้น จึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเป็นประการสุดท้ายมีว่า มีเหตุสมควรลงโทษจำเลยสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการกระทำความผิดของจำเลยไม่ได้กระทำต่อประชาชนทั่วไป หากกระทำต่อผู้เสียหายคนเดียว เช่นนี้ จึงเห็นสมควรกำหนดโทษจำเลยเสียใหม่เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพความผิดและพฤติการณ์แห่งคดี การที่จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายเป็นการเฉพาะตัวโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยหลอกลวงบุคคลอื่นใดในทำนองนี้อีก และเงินที่หลอกลวงไปจากผู้เสียหายก็มีจำนวนเพียงเล็กน้อย บิดาจำเลยได้วางเงิน 1,150 บาท ที่จำเลยฉ้อโกงไปจากผู้เสียหายให้ผู้เสียหายมารับไปจากศาลแล้ว นอกจากนั้นจำเลยยังวางเงินบรรเทาความเสียหายให้แก่ผู้เสียหายอีก 5,000 บาท ส่อแสดงว่าจำเลยรู้สำนึกในการกระทำความผิดและพยายามบรรเทาผลร้าย เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน สมควรให้โอกาสจำเลยในการกลับตนเป็นพลเมืองดีสักครั้งด้วยการรอการลงโทษจำคุกไว้ แต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำ จึงให้ลงโทษปรับอีกสถานหนึ่งด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยตามฟ้องไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) จำเลยคงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 วรรคสอง ให้ลงโทษฐานฉ้อโกง จำคุกกระทงละ 6 เดือน และปรับกระทงละ 5,000 บาท รวม 2 กระทง เมื่อลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกกระทงละ 3 เดือน และปรับกระทงละ 2,500 บาท รวมจำคุก 6 เดือน และปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี นับแต่วันฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
|