
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5682/2567: คดีลักทรัพย์และการเพิ่มโทษตามมาตรา 93 พร้อมข้อจำกัดการฎีกาข้อเท็จจริง
บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 วรรคสอง ประกอบมาตรา 336 ทวิ และการเพิ่มโทษตามมาตรา 93 เนื่องจากจำเลยมีประวัติการกระทำผิดซ้ำ ศาลยังพิจารณาการกักกันตามมาตรา 41(8) พร้อมวินิจฉัยข้อจำกัดการฎีกาข้อเท็จจริงตามมาตรา 218 และ 221 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยเห็นว่าจำเลยไม่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนการขออนุญาตฎีกาที่ถูกต้อง ทำให้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
สรุปข้อเท็จจริงของคดี 1.การฟ้องและข้อกล่าวหา โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาลักทรัพย์ตามมาตรา 335(1)(3)(5) วรรคสอง ประกอบมาตรา 336 ทวิ และขอเพิ่มโทษตามมาตรา 93(13) พร้อมทั้งให้กักกันจำเลยไม่น้อยกว่า 3 ปี และให้คืนไข่ไก่ 24 ฟอง หรือชดใช้เป็นเงิน 120 บาท 2.คำให้การของจำเลย จำเลยรับสารภาพว่าลักทรัพย์จริง และยอมรับว่าเป็นบุคคลเดียวกับผู้ต้องหาที่เคยกระทำผิดในคดีก่อนหน้า 3.คำพิพากษาศาลชั้นต้น oจำคุก 1 ปี 6 เดือน oเพิ่มโทษ 1 ใน 3 ตามมาตรา 92 → จำคุก 1 ปี 12 เดือน oลดโทษครึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 → เหลือจำคุก 12 เดือน oชดใช้หรือคืนไข่ไก่ให้ผู้เสียหาย oยกฟ้องข้อหารับของโจร 4.คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 oเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามมาตรา 93(13) → จำคุก 1 ปี 15 เดือน oลดโทษครึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 → เหลือจำคุก 13 เดือน 15 วัน oสั่งกักกัน 3 ปี ตามมาตรา 41(8) oยืนยันคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนอื่น
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา •ประเด็นการเพิ่มโทษจากมาตรา 92 เป็นมาตรา 93(13) เป็นเพียงการแก้ไขในส่วนโทษ ไม่ได้แก้ไขมาตราแห่งความผิด •การกักกันตามมาตรา 41(8) ไม่ใช่โทษตามมาตรา 18 จึงถือเป็นการแก้ไขเล็กน้อย •คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี จึงอยู่ในบังคับมาตรา 218 วรรคหนึ่ง ซึ่งห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง เว้นแต่จะได้รับอนุญาตตามมาตรา 221 •จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาต่อศาลฎีกาโดยตรง ไม่ได้ยื่นต่อผู้พิพากษาศาลล่างตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด •ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาในข้อเท็จจริง และพิพากษายกฎีกาของจำเลย
การขยายความประเด็นทางกฎหมาย 1.การเพิ่มโทษตามมาตรา 92 และ 93 oมาตรา 92: เพิ่มโทษ 1 ใน 3 สำหรับผู้กระทำผิดซ้ำภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด oมาตรา 93(13): เพิ่มโทษกึ่งหนึ่งสำหรับการกระทำผิดในลักษณะร้ายแรง หรือมีเหตุหนักกว่าปกติ เช่น เคยต้องโทษจำคุกในความผิดลักษณะเดียวกัน 2.การกักกันตามมาตรา 41(8) oเป็นมาตรการเพื่อความปลอดภัยหลังพ้นโทษ ไม่ใช่โทษตามมาตรา 18 oมีวัตถุประสงค์ป้องกันการกระทำผิดซ้ำ 3.ข้อจำกัดการฎีกาข้อเท็จจริง (มาตรา 218 และ 221 ป.วิ.อ.) oมาตรา 218 วรรคหนึ่ง: หากโทษไม่เกิน 5 ปี ห้ามฎีกาข้อเท็จจริง เว้นแต่มีการอนุญาตตามมาตรา 221 oมาตรา 221: ต้องยื่นคำร้องต่อผู้พิพากษาศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ที่มีส่วนพิจารณา oการยื่นตรงต่อศาลฎีกาโดยไม่ผ่านขั้นตอนนี้ทำให้คำร้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ข้อคิดทางกฎหมาย •การฎีกาข้อเท็จจริงในคดีที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนมาตรา 221 อย่างเคร่งครัด •การกักกันเป็นมาตรการเพื่อความปลอดภัย ไม่ถือเป็นโทษตามมาตรา 18 •การเพิ่มโทษต้องพิจารณาว่ามีเหตุซ้ำหรือพฤติการณ์ร้ายแรงตามที่กฎหมายบัญญัติ
IRAC วิเคราะห์คดี Issue (ประเด็นปัญหา) จำเลยสามารถฎีกาข้อเท็จจริงเพื่อขอลดโทษได้หรือไม่ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้เพิ่มโทษตามมาตรา 93 และสั่งกักกัน Rule (กฎหมายที่ใช้บังคับ) •ป.อ. มาตรา 335, 336 ทวิ (ความผิดฐานลักทรัพย์) •ป.อ. มาตรา 92, 93(13) (การเพิ่มโทษ) •ป.อ. มาตรา 41(8) (การกักกัน) •ป.วิ.อ. มาตรา 218, 221 (ข้อจำกัดและขั้นตอนการฎีกาข้อเท็จจริง) Application (การปรับใช้กฎหมายกับข้อเท็จจริง) •ศาลอุทธรณ์เพียงแก้ไขส่วนโทษ ไม่ได้เปลี่ยนข้อหา •โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี เข้าข่ายมาตรา 218 วรรคหนึ่ง ห้ามฎีกาข้อเท็จจริง เว้นแต่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 221 •จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาโดยตรง ไม่ผ่านศาลล่าง → ไม่ชอบด้วยมาตรา 221 Conclusion (ข้อสรุป) จำเลยไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการขออนุญาตฎีกาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยและพิพากษายกฎีกา
สรุปภาษาอังกฤษ (English Summary) The Supreme Court Judgment No. 5682/2567 involves a theft case under Sections 335 and 336 bis of the Criminal Code, with an increased penalty under Section 93(13) due to prior offenses, and post-sentence detention under Section 41(8). The Court ruled that the appeal on factual issues was inadmissible because the defendant failed to follow the procedure under Section 221 of the Criminal Procedure Code, which requires prior permission from lower court judges. The Supreme Court dismissed the defendant’s appeal.
สรุปย่อฎีกา ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 1 ปี 6 เดือน เพิ่มโทษ 1 ใน 3 ตามมาตรา 92 เหลือจำคุก 12 เดือน ศาลอุทธรณ์แก้เป็นเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามมาตรา 93(13) เหลือจำคุก 13 เดือน 15 วัน และสั่งกักกัน 3 ปี การแก้ไขดังกล่าวเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงโทษเล็กน้อย ไม่เกิน 5 ปี จึงอยู่ในบังคับมาตรา 218 ห้ามฎีกาข้อเท็จจริง เว้นแต่จะได้รับอนุญาตตามมาตรา 221 แต่จำเลยยื่นขออนุญาตฎีกาต่อศาลฎีกาโดยตรง ไม่ผ่านศาลล่าง ทำให้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5682/2567 คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับบทลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 335 (1) (3) (5) วรรคสอง ประกอบมาตรา 336 ทวิ จำคุก 1 ปี 6 เดือน ให้เพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา 92 เป็นจำคุก 1 ปี 12 เดือน และลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 คงจำคุก 12 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิ่มโทษจำเลยกึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 93 (13) เป็นจำคุก 1 ปี 5 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 13 เดือน 15 วัน และให้กักกันจำเลยมีกำหนด 3 ปี นับแต่วันพ้นโทษตาม ป.อ. มาตรา 41 (8) การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้ในเรื่องการเพิ่มโทษจำเลย จากเดิมที่ศาลชั้นต้นเพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา 92 เป็นเพิ่มโทษจำเลยกึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 93 (13) โดยมิได้แก้บทมาตราแห่งความผิดตามฟ้อง ซึ่งเป็นการแก้เฉพาะเรื่องโทษ แม้จะให้กักกันจำเลยมีกำหนด 3 ปี นับแต่วันพ้นโทษ ตาม ป.อ. มาตรา 41 (8) แต่การกักกันไม่ใช่โทษตาม ป.อ. มาตรา 18 จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังคงลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดเดิมไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยขอให้ลงโทษจำเลยสถานเบาเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นฎีกาใน ปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว เว้นแต่ถ้าผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาหรือ ลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์พิเคราะห์เห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกา หรืออธิบดีกรมอัยการลงลายมือรับรองในฎีกาว่า มีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัย ก็ให้รับฎีกานั้นไว้พิจารณาต่อไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 221 ซึ่งคดีนี้เป็นคดีอาญาทั่วไปมิได้มีบทบัญญัติให้การฎีกาจะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา การฎีกาจึงอยู่ในบังคับตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.อ. มาตรา 216 และมาตรา 221 ที่กำหนดให้จำเลยต้องยื่นคำร้องพร้อมกับคำฟ้องฎีกาต่อศาลชั้นต้นขอให้ผู้พิพากษาคนใดคนหนึ่งซึ่งพิจารณา หรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือ ทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 1 อนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ คดีนี้ปรากฏว่าจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาอนุญาตฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโดยมิได้ยื่นเป็นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาศาลล่างทั้งสองดังกล่าวอนุญาตให้ฎีกา คำร้องขออนุญาตฎีกาของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 221 เมื่อจำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 221 แห่งกฎหมายข้างต้น จึงต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 39, 40, 41, 93, 335, 336 ทวิ, 357 และขอให้เพิ่มโทษแก่จำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 93 และใช้วิธีการเพื่อความปลอดภัยโดยให้กักกันจำเลยมีกำหนดเวลาไม่น้อยกว่าสามปีและไม่เกินสิบปีตามกฎหมาย และให้จำเลยคืนไข่ไก่ 24 ฟอง ที่ยังไม่ได้คืนหรือใช้ราคาเป็นเงิน 120 บาท แก่ผู้เสียหาย จำเลยให้การรับสารภาพข้อหาลักทรัพย์ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) (3) (5) (ที่ถูก วรรคสอง) ประกอบมาตรา 336 ทวิ จำคุก 1 ปี 6 เดือน เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 1 ปี 12 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 12 เดือน ให้จำเลยคืนทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนหรือชดใช้เงิน 120 บาท แก่ผู้เสียหาย ยกฟ้องความผิดฐานรับของโจร โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิ่มโทษจำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 93 (13) เป็นจำคุก 1 ปี 15 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้วคงจำคุก 13 เดือน 15 วัน ให้กักกันจำเลยมีกำหนด 3 ปี นับแต่วันพ้นโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 41 (8) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) (3) (5) วรรคสอง ประกอบมาตรา 336 ทวิ จำคุก 1 ปี 6 เดือน ให้เพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 1 ปี 12 เดือน และลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 12 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่าให้เพิ่มโทษจำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 93 (13) เป็นจำคุก 1 ปี 15 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 13 เดือน 15 วัน และให้กักกันจำเลยมีกำหนด 3 ปี นับแต่วันพ้นโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 41 (8) การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้ในเรื่องการเพิ่มโทษจำเลย จากเดิมที่ศาลชั้นต้นเพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นเพิ่มโทษจำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 93 (13) โดยมิได้แก้บทมาตราแห่งความผิดตามฟ้อง ซึ่งเป็นการแก้เฉพาะเรื่องโทษ แม้จะให้กักกันจำเลยมีกำหนด 3 ปี นับแต่วันพ้นโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 41 (8) แต่การกักกันไม่ใช่โทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังคงลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดเดิมไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยขอให้ลงโทษจำเลยสถานเบาเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าวเว้นแต่ถ้าผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์พิเคราะห์เห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกา หรืออธิบดีกรมอัยการลงลายมือรับรองในฎีกาว่ามีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัย ก็ให้รับฎีกานั้นไว้พิจารณาต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ซึ่งคดีนี้เป็นคดีอาญาทั่วไปมิได้มีบทบัญญัติให้การฎีกาจะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา การฎีกาจึงอยู่ในบังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 และมาตรา 221 ที่กำหนดให้จำเลยต้องยื่นคำร้องพร้อมกับคำฟ้องฎีกาต่อศาลชั้นต้นขอให้ผู้พิพากษาคนใดคนหนึ่งซึ่งพิจารณา หรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 1 อนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ คดีนี้ปรากฏว่าจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาอนุญาตฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง โดยมิได้ยื่นเป็นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาศาลล่างทั้งสองดังกล่าวอนุญาตให้ฎีกา คำร้องขออนุญาตฎีกาของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 เมื่อจำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 221 แห่งกฎหมายข้างต้น จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของจำเลย
|