ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5682/2567: คดีลักทรัพย์และการเพิ่มโทษตามมาตรา 93 พร้อมข้อจำกัดการฎีกาข้อเท็จจริง

1.ภาพโลโก้สำนักงานทนายความพีศิริ – โลโก้สำนักงานทนายความพีศิริ ทนายลีนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ บริการให้คำปรึกษากฎหมาย คดีแพ่ง คดีอาญา คดีลักทรัพย์ คำพิพากษาศาลฎีกา 2.ภาพหัวบทความคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5682/2567 – หัวข้อข่าว คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5682/2567 คดีลักทรัพย์ เพิ่มโทษตามมาตรา 93 และข้อจำกัดการฎีกาข้อเท็จจริง พร้อมวิเคราะห์คดีและหลักกฎหมาย

เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ


บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 วรรคสอง ประกอบมาตรา 336 ทวิ และการเพิ่มโทษตามมาตรา 93 เนื่องจากจำเลยมีประวัติการกระทำผิดซ้ำ ศาลยังพิจารณาการกักกันตามมาตรา 41(8) พร้อมวินิจฉัยข้อจำกัดการฎีกาข้อเท็จจริงตามมาตรา 218 และ 221 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยเห็นว่าจำเลยไม่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนการขออนุญาตฎีกาที่ถูกต้อง ทำให้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง


สรุปข้อเท็จจริงของคดี

1.การฟ้องและข้อกล่าวหา

โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาลักทรัพย์ตามมาตรา 335(1)(3)(5) วรรคสอง ประกอบมาตรา 336 ทวิ และขอเพิ่มโทษตามมาตรา 93(13) พร้อมทั้งให้กักกันจำเลยไม่น้อยกว่า 3 ปี และให้คืนไข่ไก่ 24 ฟอง หรือชดใช้เป็นเงิน 120 บาท

2.คำให้การของจำเลย

จำเลยรับสารภาพว่าลักทรัพย์จริง และยอมรับว่าเป็นบุคคลเดียวกับผู้ต้องหาที่เคยกระทำผิดในคดีก่อนหน้า

3.คำพิพากษาศาลชั้นต้น

oจำคุก 1 ปี 6 เดือน

oเพิ่มโทษ 1 ใน 3 ตามมาตรา 92 → จำคุก 1 ปี 12 เดือน

oลดโทษครึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 → เหลือจำคุก 12 เดือน

oชดใช้หรือคืนไข่ไก่ให้ผู้เสียหาย

oยกฟ้องข้อหารับของโจร

4.คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

oเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามมาตรา 93(13) → จำคุก 1 ปี 15 เดือน

oลดโทษครึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 → เหลือจำคุก 13 เดือน 15 วัน

oสั่งกักกัน 3 ปี ตามมาตรา 41(8)

oยืนยันคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนอื่น


คำวินิจฉัยของศาลฎีกา

•ประเด็นการเพิ่มโทษจากมาตรา 92 เป็นมาตรา 93(13) เป็นเพียงการแก้ไขในส่วนโทษ ไม่ได้แก้ไขมาตราแห่งความผิด

•การกักกันตามมาตรา 41(8) ไม่ใช่โทษตามมาตรา 18 จึงถือเป็นการแก้ไขเล็กน้อย

•คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี จึงอยู่ในบังคับมาตรา 218 วรรคหนึ่ง ซึ่งห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง เว้นแต่จะได้รับอนุญาตตามมาตรา 221

•จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาต่อศาลฎีกาโดยตรง ไม่ได้ยื่นต่อผู้พิพากษาศาลล่างตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด

•ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาในข้อเท็จจริง และพิพากษายกฎีกาของจำเลย


การขยายความประเด็นทางกฎหมาย

1.การเพิ่มโทษตามมาตรา 92 และ 93

oมาตรา 92: เพิ่มโทษ 1 ใน 3 สำหรับผู้กระทำผิดซ้ำภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด

oมาตรา 93(13): เพิ่มโทษกึ่งหนึ่งสำหรับการกระทำผิดในลักษณะร้ายแรง หรือมีเหตุหนักกว่าปกติ เช่น เคยต้องโทษจำคุกในความผิดลักษณะเดียวกัน

2.การกักกันตามมาตรา 41(8)

oเป็นมาตรการเพื่อความปลอดภัยหลังพ้นโทษ ไม่ใช่โทษตามมาตรา 18

oมีวัตถุประสงค์ป้องกันการกระทำผิดซ้ำ

3.ข้อจำกัดการฎีกาข้อเท็จจริง (มาตรา 218 และ 221 ป.วิ.อ.)

oมาตรา 218 วรรคหนึ่ง: หากโทษไม่เกิน 5 ปี ห้ามฎีกาข้อเท็จจริง เว้นแต่มีการอนุญาตตามมาตรา 221

oมาตรา 221: ต้องยื่นคำร้องต่อผู้พิพากษาศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ที่มีส่วนพิจารณา

oการยื่นตรงต่อศาลฎีกาโดยไม่ผ่านขั้นตอนนี้ทำให้คำร้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย


ข้อคิดทางกฎหมาย

•การฎีกาข้อเท็จจริงในคดีที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนมาตรา 221 อย่างเคร่งครัด

•การกักกันเป็นมาตรการเพื่อความปลอดภัย ไม่ถือเป็นโทษตามมาตรา 18

•การเพิ่มโทษต้องพิจารณาว่ามีเหตุซ้ำหรือพฤติการณ์ร้ายแรงตามที่กฎหมายบัญญัติ


IRAC วิเคราะห์คดี

Issue (ประเด็นปัญหา)

จำเลยสามารถฎีกาข้อเท็จจริงเพื่อขอลดโทษได้หรือไม่ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้เพิ่มโทษตามมาตรา 93 และสั่งกักกัน

Rule (กฎหมายที่ใช้บังคับ)

•ป.อ. มาตรา 335, 336 ทวิ (ความผิดฐานลักทรัพย์)

•ป.อ. มาตรา 92, 93(13) (การเพิ่มโทษ)

•ป.อ. มาตรา 41(8) (การกักกัน)

•ป.วิ.อ. มาตรา 218, 221 (ข้อจำกัดและขั้นตอนการฎีกาข้อเท็จจริง)

Application (การปรับใช้กฎหมายกับข้อเท็จจริง)

•ศาลอุทธรณ์เพียงแก้ไขส่วนโทษ ไม่ได้เปลี่ยนข้อหา

•โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี เข้าข่ายมาตรา 218 วรรคหนึ่ง ห้ามฎีกาข้อเท็จจริง เว้นแต่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 221

•จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาโดยตรง ไม่ผ่านศาลล่าง → ไม่ชอบด้วยมาตรา 221

Conclusion (ข้อสรุป)

จำเลยไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการขออนุญาตฎีกาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยและพิพากษายกฎีกา


สรุปภาษาอังกฤษ (English Summary)

The Supreme Court Judgment No. 5682/2567 involves a theft case under Sections 335 and 336 bis of the Criminal Code, with an increased penalty under Section 93(13) due to prior offenses, and post-sentence detention under Section 41(8). The Court ruled that the appeal on factual issues was inadmissible because the defendant failed to follow the procedure under Section 221 of the Criminal Procedure Code, which requires prior permission from lower court judges. The Supreme Court dismissed the defendant’s appeal.


สรุปย่อฎีกา

ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 1 ปี 6 เดือน เพิ่มโทษ 1 ใน 3 ตามมาตรา 92 เหลือจำคุก 12 เดือน ศาลอุทธรณ์แก้เป็นเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามมาตรา 93(13) เหลือจำคุก 13 เดือน 15 วัน และสั่งกักกัน 3 ปี การแก้ไขดังกล่าวเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงโทษเล็กน้อย ไม่เกิน 5 ปี จึงอยู่ในบังคับมาตรา 218 ห้ามฎีกาข้อเท็จจริง เว้นแต่จะได้รับอนุญาตตามมาตรา 221 แต่จำเลยยื่นขออนุญาตฎีกาต่อศาลฎีกาโดยตรง ไม่ผ่านศาลล่าง ทำให้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5682/2567

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับบทลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 335 (1) (3) (5) วรรคสอง ประกอบมาตรา 336 ทวิ จำคุก 1 ปี 6 เดือน ให้เพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา 92 เป็นจำคุก 1 ปี 12 เดือน และลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 คงจำคุก 12 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิ่มโทษจำเลยกึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 93 (13) เป็นจำคุก 1 ปี 5 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 13 เดือน 15 วัน และให้กักกันจำเลยมีกำหนด 3 ปี นับแต่วันพ้นโทษตาม ป.อ. มาตรา 41 (8) การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้ในเรื่องการเพิ่มโทษจำเลย จากเดิมที่ศาลชั้นต้นเพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา 92 เป็นเพิ่มโทษจำเลยกึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 93 (13) โดยมิได้แก้บทมาตราแห่งความผิดตามฟ้อง ซึ่งเป็นการแก้เฉพาะเรื่องโทษ แม้จะให้กักกันจำเลยมีกำหนด 3 ปี นับแต่วันพ้นโทษ ตาม ป.อ. มาตรา 41 (8) แต่การกักกันไม่ใช่โทษตาม ป.อ. มาตรา 18 จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังคงลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดเดิมไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยขอให้ลงโทษจำเลยสถานเบาเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นฎีกาใน ปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว เว้นแต่ถ้าผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาหรือ ลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์พิเคราะห์เห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกา หรืออธิบดีกรมอัยการลงลายมือรับรองในฎีกาว่า มีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัย ก็ให้รับฎีกานั้นไว้พิจารณาต่อไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 221 ซึ่งคดีนี้เป็นคดีอาญาทั่วไปมิได้มีบทบัญญัติให้การฎีกาจะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา การฎีกาจึงอยู่ในบังคับตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.อ. มาตรา 216 และมาตรา 221 ที่กำหนดให้จำเลยต้องยื่นคำร้องพร้อมกับคำฟ้องฎีกาต่อศาลชั้นต้นขอให้ผู้พิพากษาคนใดคนหนึ่งซึ่งพิจารณา หรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือ ทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 1 อนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ คดีนี้ปรากฏว่าจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาอนุญาตฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโดยมิได้ยื่นเป็นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาศาลล่างทั้งสองดังกล่าวอนุญาตให้ฎีกา คำร้องขออนุญาตฎีกาของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 221 เมื่อจำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 221 แห่งกฎหมายข้างต้น จึงต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย


โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 39, 40, 41, 93, 335, 336 ทวิ, 357 และขอให้เพิ่มโทษแก่จำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 93 และใช้วิธีการเพื่อความปลอดภัยโดยให้กักกันจำเลยมีกำหนดเวลาไม่น้อยกว่าสามปีและไม่เกินสิบปีตามกฎหมาย และให้จำเลยคืนไข่ไก่ 24 ฟอง ที่ยังไม่ได้คืนหรือใช้ราคาเป็นเงิน 120 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การรับสารภาพข้อหาลักทรัพย์ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ


ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) (3) (5) (ที่ถูก วรรคสอง) ประกอบมาตรา 336 ทวิ จำคุก 1 ปี 6 เดือน เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 1 ปี 12 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 12 เดือน ให้จำเลยคืนทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนหรือชดใช้เงิน 120 บาท แก่ผู้เสียหาย ยกฟ้องความผิดฐานรับของโจร

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์


ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิ่มโทษจำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 93 (13) เป็นจำคุก 1 ปี 15 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้วคงจำคุก 13 เดือน 15 วัน ให้กักกันจำเลยมีกำหนด 3 ปี นับแต่วันพ้นโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 41 (8) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา


ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) (3) (5) วรรคสอง ประกอบมาตรา 336 ทวิ จำคุก 1 ปี 6 เดือน ให้เพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 1 ปี 12 เดือน และลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 12 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่าให้เพิ่มโทษจำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 93 (13) เป็นจำคุก 1 ปี 15 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 13 เดือน 15 วัน และให้กักกันจำเลยมีกำหนด 3 ปี นับแต่วันพ้นโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 41 (8) การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้ในเรื่องการเพิ่มโทษจำเลย จากเดิมที่ศาลชั้นต้นเพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นเพิ่มโทษจำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 93 (13) โดยมิได้แก้บทมาตราแห่งความผิดตามฟ้อง ซึ่งเป็นการแก้เฉพาะเรื่องโทษ แม้จะให้กักกันจำเลยมีกำหนด 3 ปี นับแต่วันพ้นโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 41 (8) แต่การกักกันไม่ใช่โทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังคงลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดเดิมไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยขอให้ลงโทษจำเลยสถานเบาเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าวเว้นแต่ถ้าผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์พิเคราะห์เห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกา หรืออธิบดีกรมอัยการลงลายมือรับรองในฎีกาว่ามีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัย ก็ให้รับฎีกานั้นไว้พิจารณาต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ซึ่งคดีนี้เป็นคดีอาญาทั่วไปมิได้มีบทบัญญัติให้การฎีกาจะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา การฎีกาจึงอยู่ในบังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 และมาตรา 221 ที่กำหนดให้จำเลยต้องยื่นคำร้องพร้อมกับคำฟ้องฎีกาต่อศาลชั้นต้นขอให้ผู้พิพากษาคนใดคนหนึ่งซึ่งพิจารณา หรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 1 อนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ คดีนี้ปรากฏว่าจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาอนุญาตฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง โดยมิได้ยื่นเป็นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาศาลล่างทั้งสองดังกล่าวอนุญาตให้ฎีกา คำร้องขออนุญาตฎีกาของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 เมื่อจำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 221 แห่งกฎหมายข้างต้น จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

 

พิพากษายกฎีกาของจำเลย

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5682/2567 เพิ่มโทษ-ทำผิดซ้ำ




เกี่ยวกับคดีอาญา

(ฎีกาที่ 3710/2567): คดีพยายามฆ่า การวินิจฉัยเจตนาและข้อจำกัดในการยกฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4292/2567: การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายและข้อจำกัดในการฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4447/2567: คดีช่วยซ่อนเร้นสินค้านำเข้าไม่ผ่านพิธีการศุลกากรและภาษีสรรพสามิต ศาลฎีกายกฎีกาจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4770/2567: ผู้เสียหายโดยตรงในคดีลักทรัพย์จากบัญชีเงินฝากและสิทธิฟ้องคดีอาญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5492/2567: คดีพยายามฆ่าโดยใช้อาวุธปืน บุกรุกเคหสถานกลางคืน และการห้ามฎีกาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5796/2567 ความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานและหมิ่นประมาท — ศาลชี้ขาดเจตนากับการกระทำโดยสุจริต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5854/2567: ริบรถยนต์ใช้ซ่อนเร้นบุหรี่เถื่อนตาม พ.ร.บ. ศุลกากร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5893/2567 ป้องกันเกินกว่าเหตุและสำคัญผิดจนยิงผู้อื่น ศาลปรับโทษเหลือจำคุก 1 ปี 4 เดือน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6190/2567 ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ไม่เป็นการไตร่ตรองไว้ก่อน และไม่เข้าข่ายฆ่าโดยทารุณโหดร้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8040/2567 : ความรับผิดฐานควบคุมสัตว์ดุร้ายตาม ป.อ. มาตรา 377 และกฎหมายโรคระบาดสัตว์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2429/2567 – พรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารและสิทธิของผู้ปกครองตามกฎหมาย
ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบากว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ลักทรัพย์โดยสุจริต, ความผิดลักทรัพย์ vs การเข้าใจผิด, คดีลักทรัพย์ในเครือญาติ,
การกระทำของจำเลยเป็นการไตร่ตรองไว้ก่อน, ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนมาตรา 289 (4), โทษประหารชีวิตในคดีอาญา
ป.อ. มาตรา 54 ในการคำนวณการเพิ่มโทษหรือลดโทษที่จะลง
ความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่, การพนันออนไลน์ผิดกฎหมาย, การฟ้องอั้งยี่และซ่องโจร
กระทำชำเราผู้เยาว์ในบ้านไม่ถือว่าแยกเด็กจากอำนาจปกครองดูแล
จำเลยไม่มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี
ผู้ปกครองอนุญาตให้ไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลยเท่านั้น
การกระทำโดยพลาด
รอการลงโทษ,ให้การรับสารภาพ
ขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบ-มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด
รถยนต์ที่ใช้เป็นยานพาหนะซุกซ่อนและขนส่งบุหรี่ซิกาแรตในการกระทำความผิด
ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้นั้นสภาพความเป็นลูกหนี้เจ้าหนี้เกิดขึ้นทันที
ความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ปฏิบัติหรือละเว้นตามมาตรา 157
การกระทำความผิดระหว่างผู้บุพการีต่อผู้สืบสันดานหรือผู้สืบสันดานต่อผู้บุพการี
พาไปเพื่อการอนาจาร -บุคคลอายุกว่าสิบห้าปี
ความผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงาน
จำเลยฉ้อโกงหลอกลวงเอาทรัพย์ขณะที่ผู้เสียหายป่วยทางจิต
รอการกำหนดโทษ | รอการลงโทษ | พรบ.ล้างมลทิน
เบิกความอันเป็นเท็จในศาล
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาใดไม่แน่ชัด
ป้องกันพอสมควรแก่เหตุ-ป้องกันเกินกว่าเหตุ
บันดาลโทสะเพราะเหตุยั่วยุให้โมโห
หมิ่นประมาท | เข้าใจโดยสุจริต
ความผิดฐานมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ไม่ได้
เป็นอันตรายแก่จิตใจ - ใช้ยาสลบใส่กาแฟ
บันดาลโทสะต้องถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง
หมิ่นประมาท | หนังสือพิมพ์ลงพิมพ์โฆษณา
วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนต้องห้ามฎีกา
ผู้เสียหายด่าจำเลย(บิดา)หยาบคายกรณีจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
เจตนาประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นได้ว่าผลนั้นจะเกิดขึ้นในราชอาณาจักร
การริบทรัพย์สิน | ใช้ในการกระทำความผิด
สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป
คำว่า-วิชาชีพ-ในคดีอาญา
หลบหนีไปจากความควบคุมตามอำนาจของพนักงานสอบสวน
สเปรย์พริกไทยไม่เป็นอาวุธโดยสภาพ
พรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร | รับส่งเด็กนักเรียน
ลักทรัพย์ในสถานที่บูชาสาธารณะ
กระทำอนาจารต่อศิษย์นอกเวลาเรียน
ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ยังคงเป็นป่าตาม พ.ร.บ. ป่าไม้
เป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์และใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต
ลงลายมือชื่อรับรองคนต่างด้าว 7 คน
ความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นตาม ป.อาญา มาตรา 188
ผู้สนับสนุนให้จำเลยกระทำความผิด
ทวงหนี้ลักษณะข่มขู่ว่าไม่จ่ายจะเดือดร้อนจำคุก 3 ปี
การทำนากุ้งไม่ใช่การประกอบอาชีพกสิกรรม
ลักทรัพย์นายจ้าง, ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
การจับกุมมิชอบกับการฟ้องคดีอาญา
คำขอในส่วนแพ่งเนื่องความผิดอาญา
แม้ผู้ตายยิงจำเลยก่อนอ้างเหตุป้องกันตัวไม่ได้
ทำร้ายร่างกายกับการป้องกันตัว
พรากเด็กต่ำ15 ปี ไปเพื่อการอนาจารจำคุก 5 ปี
ซื้อเสียงเลือกตั้งไม่รอลงอาญา
ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดอันพึงริบ
การเอาทรัพย์ที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริตเป็นความผิดฐานลักทรัพย์
กระทำชำเราต่างวันต่างเวลาและต่างสถานที่ผิดหลายกรรม
เบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล
การพรากเด็กไม่ว่าเด็กจะออกจากบ้านเองก็ย่อมเป็นความผิดทั้งสิ้น
ความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารราชการปลอมและฐานฉ้อโกง
พิพากษาจำคุกจำเลยศาลฎีกายกฟ้องเพราะคำฟ้องไม่ได้ลงชื่อ
หมิ่นประมาทกับดูหมิ่นซึ่งหน้า-ความผิดอาญามีโทษหนักเบาแตกต่างกัน
พรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย
พยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจำคุกตลอดชีวิต
บันดาลโทสะหรือพยายามฆ่า
ความผิดอันยอมความได้ | คดีหมิ่นประมาท | ร้องทุกข์ภายในสามเดือน
พกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต
การสมรสในต่างประเทศระหว่างหญิงไทยกับหญิงไทย
การกระทำชำเราที่ไม่ต้องรับโทษ
การสมรสกันถูกต้องตามกฎหมายอิสลามจำเลยไม่ต้องรับโทษ
กระทำโดยประมาทไม่อาจอ้างเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยไม่มีอำนาจสอบสวนไม่มีอำนาจฟ้อง
ให้กู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราถูกจำคุก 48 เดือน
ผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ก่อนคดีถึงที่สุดคดีอาญาระงับ
บุตรติดมารดาไม่อยู่ในความปกครองของบิดาเลี้ยง
การชวนเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีเข้าไปในห้องนอนไม่ผิดพรากผู้เยาว์
กระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีจำคุก 50 ปี
การนับอายุความคดีความผิดอันยอมความได้
ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างจากในฟ้อง
ปลัดกระทรวงไม่มีอำนาจสั่งย้ายโจทก์ไปดำรงตำแหน่งป่าไม้จังหวัด
จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่
การสนทนาผ่านเมสเซนเจอร์ไม่เป็นการกล่าวไขข่าวให้แพร่หลาย
ภยันตรายจากการประทุษร้ายที่จะใช้อ้างเพื่อการป้องกันสิทธิ
ฟ้องข้อหาค้ามนุษย์ บังคับใช้แรงงาน
กระทำชำเราเด็กและพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 13 ปีจำคุก 48 ปี
"อนาจาร" มีความหมายว่า การกระทำที่ไม่สมควรทางเพศ
พาเด็กหญิงจากที่เปิดเผยเข้าไปในจุดลับตาผู้คน
จำเลยเป็นบุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจให้กู้ยืมเงินโดยไม่ได้รับอนุญาต
ขายทองเงินผ่อนอำพรางการให้กู้ยืมเงินดอกเบี้ย318%ต่อปี