สำนักงานพีศิริ ทนายความ ตั้งอยู่เลขที่ 34/159 หมู่ 8 ซอยบางมดแลนด์ แยก 13 ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120 ติดต่อทนายความ 085-9604258 สำหรับแผนที่การเดินทาง กรุณาคลิ๊กที่ "ที่ตั้งสำนักงาน" ด้านบนสุด ทนายความ ทนาย สำนักงานกฎหมาย สำนักงานทนายความ ปรึกษากฎหมายกับทนายความลีนนท์ โทรเลย ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาทนายความ

บุตรไม่ชอบด้วยกฎหมายฟ้องบิดาไม่เป็นคดีอุทลุม -ปรึกษากฎหมาย ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร.085-9604258 -ติดต่อทางอีเมล : leenont0859604258@yahoo.co.th -ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์ (5) ID line : (1) @leenont หรือ (2) @leenont1 หรือ (3) @peesirilaw หรือ (4) peesirilaw (5) leenont -Line Official Account : เพิ่มเพื่อนด้วย QR CODE
บุตรไม่ชอบด้วยกฎหมายฟ้องบิดาไม่เป็นคดีอุทลุม จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นบิดาโจทก์ โจทก์จึงต้องห้ามตามกฎหมายมิให้ฟ้องจำเลยเพราะเป็นคดีอุทลุม - ** แม้โจทก์เป็นบุตรที่จำเลยรับรองแล้วก็ตามแต่จำเลยและมารดาโจทก์มิได้จดทะเบียนสมรสกันโจทก์จึงเป็นบุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562 ที่ห้ามฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญานั้นเป็นบทบัญญัติที่จำกัดสิทธิจึงต้องตีความโดยเคร่งครัด ซึ่งต้องหมายความว่า ห้ามเฉพาะบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายฟ้องบุพการีของตนเท่านั้น เมื่อโจทก์มิใช่บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลย โจทก์จึงไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องจำเลยตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว มาตรา 1562 ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญามิได้ แต่เมื่อผู้นั้นหรือญาติสนิทของผู้นั้นร้องขอ อัยการจะยกคดีขึ้นว่ากล่าวก็ได้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562 ที่ห้ามฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญาเป็นบทบัญญัติที่จำกัดสิทธิ ต้องตีความโดยเคร่งครัด ซึ่งหมายความว่าห้ามเฉพาะบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายฟ้องบุพการีของตนเท่านั้นโจทก์เป็นบุตรที่จำเลยรับรองแล้วแต่จำเลยและมารดาโจทก์มิได้จดทะเบียนสมรสกัน โจทก์จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลยต่อเมื่อจำเลยและมารดาโจทก์สมรสกันภายหลังหรือจำเลยได้จดทะเบียนว่าโจทก์เป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547เมื่อไม่มีการดำเนินการดังกล่าว โจทก์จึงมิใช่บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลย โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลย โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลชั้นต้นสืบพยานหลักฐานแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีไม่ได้ขอให้พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีอุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง20 บาท ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งตาราง 1 ข้อ 2(ก) เมื่อปรากฏว่าโจทก์เสียค่าขึ้นศาลดังกล่าวเกินมา จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินให้แก่โจทก์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3019/2541 โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยดำเนินการแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 1321เนื้อที่ 3 ไร่ 2 ตารางวา จำนวนครึ่งหนึ่งให้แก่โจทก์ หากแบ่งทรัพย์ไม่ได้ให้ประมูลหรือขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นบิดาโจทก์ โจทก์จึงต้องห้ามตามกฎหมายมิให้ฟ้องจำเลยเพราะเป็นคดีอุทลุม โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องที่ดินตามโฉนดดังกล่าวไม่ใช่ของโจทก์ แต่เป็นของจำเลยซึ่งได้มาโดยรับมรดกจากนางสำรวย ประมวลรัตน์ มารดาจำเลยเพียงผู้เดียวโจทก์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง การที่โจทก์มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยเนื่องจากโจทก์ออกอุบายหลอกลวงสัญญาว่าจะเลี้ยงดูจำเลยและส่งเสียน้องให้เล่าเรียน จำเลยหลงเชื่อยอมให้โจทก์ลงชื่อร่วมในโฉนด แต่โจทก์หาได้ปฏิบัติตามสัญญาไม่ ฟ้องโจทก์ไม่ระบุชัดเจนว่าโจทก์ครอบครองส่วนใดของที่ดินจำนวนเนื้อที่เท่าใด จำเลยไม่สามารถเข้าใจคำฟ้องโจทก์ได้ โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองหรือทำมาหากินบนที่ดินแปลงดังกล่าว ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นบุตรจำเลย จำเลยและมารดาโจทก์มิได้จดทะเบียนสมรสกันจำเลยให้โจทก์ใช้นามสกุลจำเลย และบุคคลทั่วไปทราบว่าโจทก์เป็นบุตรจำเลย มีปัญหาข้อกฎหมายวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์เป็นบุตรที่จำเลยรับรองแล้วก็ตามแต่จำเลยและมารดาโจทก์มิได้จดทะเบียนสมรสกันโจทก์จึงเป็นบุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลย เพราะโจทก์จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลยต่อเมื่อจำเลยและมารดาโจทก์ได้สมรสกันในภายหลัง หรือจำเลยได้จดทะเบียนว่าโจทก์เป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1547 บัญญัติไว้เท่านั้น ซึ่งไม่ปรากฏว่าได้มีการดำเนินการตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว และตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562 ที่ห้ามฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญานั้นเป็นบทบัญญัติที่จำกัดสิทธิจึงต้องตีความโดยเคร่งครัด ซึ่งต้องหมายความว่า ห้ามเฉพาะบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายฟ้องบุพการีของตนเท่านั้น เมื่อโจทก์มิใช่บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลย โจทก์จึงไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องจำเลยตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยได้ คำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์โจทก์ฟังขึ้น อนึ่ง คดีนี้โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลชั้นต้นสืบพยานหลักฐานแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ไม่ได้ขอให้พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีอุทธรณ์ของโจทก์เช่นนี้จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาทตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 1 ข้อ 2(ก)เมื่อปรากฏว่าโจทก์เสียค่าขึ้นศาลดังกล่าวเกินมา จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินให้แก่โจทก์" พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ผู้เยาว์อายุ 15 ปีบริบูรณ์ฟ้องให้บิดาจดทะเบียนรับรองบุตรได้เองไม่เป็นคดีอุทลุม โจทก์ผู้มีอายุ 16 ปีเศษ ซึ่งฟ้องขอให้ผู้เป็นบิดารับรองโจทก์เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายนั้น มีสิทธิฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากจำเลยในคดีเดียวกันนี้ได้ เพราะตามป.แพ่ง มาตรา 1556 วรรคสอง ให้อำนาจเด็กที่มีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์ฟ้องคดีให้รับรองเด็กเป็นบุตรได้เองโดยเฉพาะ อีกทั้งขณะยื่นฟ้องโจทก์ก็ยังไม่เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย คดีของโจทก์จึงไม่เป็นคดีอุทลุม การฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูเป็นเรื่องต่อเนื่องจากการรับรองบุตรโจทก์จึงไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูมาในคดีเดียวกัน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2268/2533 นางสาวพริ้งนภา สิกวานิช โจทก์ ป.พ.พ. มาตรา 213, 1556, 1562, 1598/38 ป.วิ.พ. มาตรา 142 พ.ร.บ.จดทะเบียนครอบครัว พ.ศ.2478 มาตรา 20
โจทก์ผู้มีอายุ 16 ปีเศษ ซึ่งฟ้องขอให้จำเลยผู้เป็นบิดารับรองโจทก์เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายนั้น มีสิทธิฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากจำเลยในคดีเดียวกันนี้ได้ เพราะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1556 วรรคสอง ให้อำนาจเด็กที่มีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์ฟ้องคดีให้รับรองเด็กเป็นบุตรได้เองโดยเฉพาะ อีกทั้งขณะยื่นฟ้องโจทก์ก็ยังไม่เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย คดีของโจทก์จึงไม่เป็นคดีอุทลุม ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562 และการฟ้องของโจทก์ในเรื่องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดู เป็นผลหลังจากที่มีการรับรองความเป็นบุตรของโจทก์แล้ว และเป็นเรื่องต่อเนื่องจากการรับรองบุตรนั่นเอง โจทก์จึงไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากจำเลย การที่ศาลล่างทั้งสองให้จำเลยไปจดทะเบียนรับรองบุตรภายใน 30 วัน ถ้าไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยนั้นเป็นการไม่ชอบเพราะตามพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. 2478 มาตรา 20 บัญญัติให้ผู้มีส่วนได้เสียเพียงแต่ยื่นสำเนาคำพิพากษาอันถึงที่สุดซึ่งรับรองถูกต้องแล้ว เพื่อให้บันทึกในทะเบียนเท่านั้น ประกอบกับโจทก์มิได้มีคำขอบังคับดังกล่าวมาในคำฟ้องจึงเป็นกรณีที่พิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 วรรคแรก โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลยโดยจำเลยและมารดาโจทก์ได้อยู่กินด้วยกันอย่างเปิดเผยในระยะเวลาซึ่งมารดาโจทก์อาจตั้งครรภ์ได้ และมีพฤติการณ์ที่แสดงว่าโจทก์เป็นบุตรของจำเลย ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่โจทก์เดือนละ ๕,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าโจทก์จะบรรละนิติภาวะ จำเลยให้การว่า โจทก์มิใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย ค่าอุปการะเลี้ยงดูที่โจทก์เรียกร้องมาสูงเกินควร ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์เป็นบุตรของจำเลย ให้จำเลยไปจดทะเบียนรับรองบุตรภายในกำหนด ๓๐ วัน ถ้าไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่โจทก์เดือนละ ๓,๐๐๐ บาท จนกว่าโจทก์จะบรรลุนิติภาวะ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลย ข้อพิจารณาต่อไปมีว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากจำเลยได้หรือไม่เพียงใด ในประการแรกที่ว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยซึ่งเป็นบิดาหรือไม่นั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๕๖ วรรคสอง ได้บัญญัติไว้แล้วว่า "เมื่อเด็กมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์ เด็กต้องฟ้องเอง ทั้งนี้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม" แสดงว่ากฎหมายให้อำนาจเด็กฟ้องคดีให้รับรองเด็กเป็นบุตรได้เองโดยเฉพาะ อีกทั้งขณะยื่นฟ้อง โจทก์ก็ยังไม่เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย คดีของโจทก์จึงไม่เป็นคดีอุทลุม ไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องคดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖๒ และดังนั้น ฟ้องของโจทก์ในเรื่องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูซึ่งเป็นผลหลังจากที่มีการรับรองความเป็นบุตรของโจทก์แล้วและเป็นเรื่องต่อเนื่องจากการรับรองบุตรนั่นเอง โจทก์จึงไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องคดีในประการหลังด้วย และศาลฎีกาวินิจฉัยเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูว่า ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้โจทก์เดือนละ ๓,๐๐๐ บาท จนกว่าโจทก์จะบรรลุนิติภาวะนั้น นับว่าเหมาะสมแล้วแต่ที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยไปจดทะเบียนรับรองบุตรภายในกำหนด ๓๐ วัน ถ้าไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนั้นไม่ชอบ เพราะตามพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ.๒๔๗๘ มาตรา ๒๐ บัญญัติให้ผู้มีส่วนได้เสียเพียงแต่ยื่นสำเนาคำพิพากษาอันถึงที่สุดซึ่งรับรองถูกต้องแล้ว เพื่อให้บันทึกในทะเบียนเท่านั้น ประกอบกับโจทก์มิได้มีคำขอบังคับดังกล่าวมาในคำฟ้อง จึงเป็นกรณีที่พิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ วรรคแรก พิพากษาแก้เป็นว่า ในส่วนที่บังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนรับรองบุตรนั้นให้ยกเสีย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์. ( พินิจ ฉิมพาลี - พนม พ่วงภิญโญ - มนู วงศ์แสงจันทร์ ) ศาลคดีเด็กและเยาวชนกลาง - นายอัธยา ดิษยบุตร ศาลอุทธรณ์ - นายอัมพร เดชศิริ มาตรา 1556 การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรในระหว่างที่เด็กเป็นผู้เยาว์ ถ้าเด็กมีอายุยังไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ ผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กเป็นผู้ฟ้องแทน ในกรณีที่เด็กไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม หรือมีแต่ผู้แทนโดยชอบธรรมไม่สามารถทำหน้าที่ได้ ญาติสนิทของเด็กหรืออัยการอาจร้องขอต่อศาลให้ตั้งผู้แทนเฉพาะคดีเพื่อทำหน้าที่ฟ้องคดีแทนเด็กก็ได้ เมื่อเด็กมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์ เด็กต้องฟ้องเอง ทั้งนี้โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม ในกรณีที่เด็กบรรลุนิติภาวะแล้ว จะต้องฟ้องคดีภายในหนึ่งปีนับแต่วันบรรลุนิติภาวะ ในกรณีที่เด็กตายในระหว่างที่เด็กนั้นยังมีสิทธิฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรอยู่ผู้สืบสันดานของเด็กจะฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรก็ได้ ถ้าผู้สืบสันดานของเด็กได้รู้เหตุที่อาจขอให้รับเด็กเป็นบุตรมาก่อนวันที่เด็กนั้นตาย ผู้สืบสันดานของเด็กจะต้องฟ้องภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่เด็กนั้นตาย ถ้าผู้สืบสันดานของเด็กได้รู้เหตุที่อาจขอให้รับเด็กเป็นบุตรภายหลังที่เด็กนั้นตาย ผู้สืบสันดานของเด็กจะต้องฟ้องภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่รู้เหตุดังกล่าว แต่ทั้งนี้ ต้องไม่พ้นสิบปีนับแต่วันที่เด็กนั้นตาย การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรในระหว่างที่ผู้สืบสันดานของเด็กเป็นผู้เยาว์ ให้นำความในวรรคหนึ่ง และวรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม การที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับรองบุตร และเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูรวมมาด้วยกันนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกัน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1998/2519 นางอรพินท์ พจนายุทธ หรือซิ้วไน้ แซ่โอ๊ว มารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชายอนุชิต สุวรรณจูฑะ โจทก์
ป.พ.พ. มาตรา 1526, 1529(3), 1529(5), 1530(3), 1534, 1536, 1594 ให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ.2519 มาตรา 1547, 1555(3), 1555(7), 1557(1), 1562, 1564, 1565, 1566, 1598/38 การที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับรองบุตรและเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูรวมมาด้วยกันนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกัน โจทก์ฟ้องรวมมาในคดีเดียวกันได้ ไม่จำเป็นต้องขอให้ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตรเสียก่อน แล้วจึงมาฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูในภายหลัง (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2085/2499) โจทก์ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์จากจำเลยในฐานะที่โจทก์เป็นมารดาและเป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง ไม่ใช่ฟ้องในนามของผู้เยาว์หรือในฐานะผู้แทนผู้เยาว์นั้น ไม่เป็นคดีอุทลุม โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยล่อลวงร่วมประเวณีกับโจทก์จนเกิดบุตรด้วยกัน 1 คน เมื่อโจทก์คลอดบุตรแล้วจำเลยได้แสดงให้รู้ทั่วไปตลอดมาว่าเด็กนั้นเป็นบุตรของจำเลย ดังนี้ แม้โจทก์จะไม่มีเอกสารของจำเลยแสดงชัดว่าเด็กนั้นเป็นบุตรของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1529(3) ก็ตาม โจทก์ก็ฟ้องได้ เพราะโจทก์ได้บรรยายไว้ด้วยว่าเมื่อโจทก์คลอดบุตรแล้วจำเลยได้แสดงให้รู้ทั่วไปตลอดมาว่าเด็กนั้นเป็นบุตรของจำเลย ซึ่งเป็นเหตุหนึ่งที่จะฟ้องขอให้รับรองบุตรได้อยู่แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1529(5) การกำหนดให้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรโดยคำพิพากษานั้นต้องเริ่มแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นบุตร โจทก์ฟ้องและแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องว่า จำเลยล่อลวงร่วมประเวณีกับโจทก์จนเกิดบุตรด้วยกัน 1 คน คือเด็กชายอนุชิต สุวรรณจูฑะ จำเลยแจ้งการเกิดว่าจำเลยเป็นบิดา เป็นคนตั้งชื่อบุตรให้บุตรใช้นามสกุลของจำเลย ให้ความอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษา แสดงให้รู้กันทั่วไปว่าเด็กชายอนุชิตเป็นบุตรของจำเลยต่อมาจำเลยงดให้ความอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษา และมีพฤติการณ์ไม่ยอมรับเด็กชายอนุชิตเป็นบุตร ขอให้พิพากษาว่าเด็กชายอนุชิตเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย ให้จำเลยไปจดทะเบียนว่าเป็นบุตรและให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องจนสำเร็จชั้นประถมศึกษาและเดือนละ 1,000 บาท ตั้งแต่เริ่มเข้าศึกษาในชั้นมัธยมศึกษาจนบรรลุนิติภาวะ จำเลยให้การว่า โจทก์มิได้เป็นมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชายอนุชิต จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์มิได้ดำเนินการให้จำเลยรับรองเด็กชายอนุชิตเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายเสียก่อน จึงฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูไม่ได้โจทก์จะฟ้องให้รับรองบุตรและเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูรวมมาด้วยกันไม่ได้ จำเลยไม่เคยหลอกลวงร่วมประเวณีกับโจทก์ เด็กชายอนุชิตไม่ใช่บุตรจำเลย จำเลยไม่เคยไปแจ้งการเกิดในทะเบียนว่าจำเลยเป็นบิดาไม่เคยตั้งชื่อและให้เด็กชายอนุชิตใช้นามสุกลของจำเลย ไม่เคยให้ความอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษา ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าเด็กชายอนุชิตเป็นบุตรจำเลย ให้จำเลยไปจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตร ถ้าไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแสดงเจตนาแทนจึงให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเดือนละ 500 บาท นับแต่วันพิพากษาเป็นต้นไป จนกว่าจะสำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษา และเดือนละ 800 บาท ตั้งแต่เข้าศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตลอดไปจนกว่าบรรลุนิติภาวะ โดยไม่ตัดสิทธิที่จะเพิกถอน ลด เพิ่มเมื่อพฤติการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาว่าโจทก์จะฟ้องจำเลยเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูรวมมาในฟ้องขอให้รับรองบุตรไม่ได้ และการที่โจทก์ในฐานะมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูแทนผู้เยาว์เป็นคดีอุทลุมต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1534 เห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับรองบุตรและเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูรวมมาด้วยกันนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกัน โจทก์ฟ้องรวมมาในคดีเดียวกันได้ ไม่จำเป็นต้องขอให้ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตรเสียก่อน แล้วจึงมาฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูในภายหลังตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 2085/2499 ระหว่างนางวรินทร์ เศวตกนิษฐ์ มารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กหญิงตุ๋มบุตรผู้เยาว์ โจทก์ นายสนิท รตจินดา จำเลยและการที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์จากจำเลย ก็ไม่เป็นคดีอุทลุมเพราะฟ้องในฐานะที่เป็นมารดาและเป็นผู้ใช้อำนวจปกครอง ไม่ใช่ฟ้องในนามของผู้เยาว์หรือในฐานะผู้แทนผู้เยาว์ จำเลยฎีกาว่า คำเบิกความของโจทก์ที่ว่าโจทก์ได้เสียกับจำเลยเพราะความสมัครใจรักใคร่กัน ซึ่งต่างกับที่โจทก์บรรยายในฟ้องว่าจำเลยได้ล่อลวงร่วมประเวณีกับโจทก์ จึงเป็นเรื่องไม่จริง เพราะการล่อลวงร่วมประเวณีกับหญิงที่เป็นมารดาของเด็ก จะฟังเป็นความจริงได้จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งของบิดาทำไว้ให้แสดงออกอย่างชัดแจ้ง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1529(3) นั้น เห็นว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยล่อลวงร่วมประเวณีกับโจทก์แต่อย่างเดียว แต่บรรยายฟ้องต่อไปด้วยว่า เมื่อโจทก์คลอดเด็กชายอนุชิตแล้ว จำเลยได้แสดงให้รู้กันทั่วไปตลอดมาว่าเด็กชายอนุชิตเป็นบุตรของจำเลย ซึ่งเป็นเหตุหนึ่งที่จะฟ้องขอให้รับรองบุตรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1529(5) ด้วย จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กชายอนุชิตมากเกินกว่าเหตุ และที่ให้จ่ายนับตั้งแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษานั้น ไม่ถูก เห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูให้จำเลยจ่ายแก่เด็กชายอนุชิตนั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยในเรื่องกำหนดจำนวนเงิน แต่ที่ให้จ่ายตั้งแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษา ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1530 บัญญัติว่า การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายมีผล (3) ถ้ามีคำพิพากษาว่าเป็นบุตร ให้มีผลนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุดเพราะฉะนั้น สิทธิและหน้าที่ระหว่างจำเลยและเด็กชายอนุชิตผู้เป็นบุตรโดยคำพิพากษาของศาลจึงเริ่มแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กชายอนุชิต สุวรรณจูฑะ เดือนละ 500 บาท นับตั้งแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ( ชลูตม์ สวัสดิทัต - สงวน สิทธิไชย - สุมิตร ฟักทองพรรณ ) หมายเหตุ- ปัจจุบันมาตรา 1557 ได้มีการแก้ไขใหม่แล้วโดยให้มีผลนับแต่วันที่เด็กเกิด มาตรา 1557 การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1547 ให้มีผลนับแต่วันที่เด็กเกิด แต่ทั้งนี้จะอ้างเป็นเหตุเสื่อมสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตใน ระหว่างเวลาตั้งแต่เด็กเกิดจนถึงเวลาที่บิดามารดาได้สมรสกันหรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นบุตรไม่ได้ มาตรา 1547 เด็กเกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกัน จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายต่อเมื่อบิดามารดาได้สมรสกันในภายหลังหรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร
|