

การรับช่วงสิทธิคืออะไร การรับช่วงสิทธิหมายความว่าอย่างไร การรับช่วงสิทธิคืออะไร การรับช่วงสิทธิหมายความว่าอย่างไร การรับช่วงสิทธิหมายความว่าการที่สิทธิเรียกร้องได้เปลี่ยนมือจากเจ้าหนี้คนเดิมไปยังเจ้าหนี้คนใหม่โดยผลของกฎหมาย ลักษณะทั่วไปของการรับช่วงสิทธิเป็นอย่างไร?? การรับช่วงสิทธิเกิดขึ้นโดยผลของกฎหมาย ตามมาตรา 229 คือการรับช่วงสิทธิย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจของกฎหมาย โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าคู่กรณีประสงค์จะให้มีผลตามนั้นหรือไม่ก็ตาม จึงไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจากเจตนาของคู่สัญญาแต่อย่างใด การรับช่วงสิทธิมีจำกัดอยู่เฉพาะที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้น คือจะต้องเป็นกรณีที่กฎหมายกำหนดให้รับช่วงสิทธิได้เท่านั้น การรับช่วงสิทธิเกิดขึ้นจากการชำระหนี้ของผู้มีส่วนได้เสีย ผู้มีส่วนได้เสียคือใคร? ผู้ที่มีส่วนได้เสียคือผู้ที่จำต้องเข้าไปชำระหนี้เนื่องจากการไม่ชำระหนี้จะมีผลทางกฎหมายและกระทบกระเทือนถึงสิทธิหรือผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสีย การรับช่วงสิทธิมีผลให้ผู้ชำระหนี้เข้าสวมสิทธิเมื่อได้มีการชำระหนี้แล้วโดยผู้มีส่วนได้เสีย และโดยผลของกฎหมายทำให้สิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้เดิมที่มีอยู่เหนือลูกหนี้ตกมาเป็นสิทธิเรียกร้องของผู้ที่ได้กระทำการชำระหนี้ ก็คือผู้ชำระหนี้เข้าสวมสิทธิของเจ้าหนี้เดิมให้มีฐานะเหมือนเป็น เจ้าหนี้คนใหม่ รับช่วงสิทธิเกิดจากการชำระหนี้โดยผู้อื่นมีผลทำให้เจ้าหนี้เดิมหมดสิทธิในหนี้นั้น และโดยผลของการชำระหนี้ดังกล่าวนั้น กฎหมายให้สิทธิทั้งหลายของเจ้าหนี้เดิมโอนไปยังผู้ชำระหนี้ ซึ่งได้แก่เจ้าหนี้คนใหม่ แต่อย่างไรก็ตามลูกหนี้ที่แท้จริงจึงยังไม่หลุดพ้นจากการชำระหนี้ของผู้มีส่วนได้เสีย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติได้ว่า เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2557 โจทก์ทำหนังสือค้ำประกันหนี้สินเชื่อเบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 1 ที่มีต่อธนาคาร ท. วงเงินไม่เกิน 3,470,000 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้รับอนุมัติสินเชื่อจากธนาคารดังกล่าวในวงเงิน 5,000,000 บาท มีจำเลยที่ 2 และที่ 3 ค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ต่อมาจำเลยทั้งสามผิดนัดชำระหนี้ ธนาคาร ท. ฟ้องจำเลยทั้งสามต่อศาลแพ่งเป็นคดีหมายเลขดำที่ ผบ.4525/2559 ต่อมาธนาคาร ท. มีหนังสือบอกกล่าวให้โจทก์ชำระหนี้ตามหนังสือค้ำประกัน เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2560 โจทก์ชำระหนี้ให้แก่ธนาคารดังกล่าว เป็นเงิน 3,470,000 บาท แล้ว โจทก์จึงรับช่วงสิทธิจากธนาคาร ท. ไล่เบี้ยให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินคืนโจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 มีนาคม 2560 จนถึงวันฟ้องจำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์บางส่วนคงเหลือดอกเบี้ย 923,073.97 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงิน 4,393,073.97 บาท จำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันต้องรับผิดเป็นสัดส่วนเท่าๆ กัน เป็นเงินคนละ 1,464,357.99 บาท (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5217/2566)
|
![]() ![]() ![]() |