

ขาดนัดพิจารณา ผลทางกฎหมาย, ศาลล้มละลาย พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด, การพิจารณาคดีล้มละลายผ่านอิเล็กทรอนิกส์
ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์
โจทก์ขอเลื่อนคดีในคดีฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย ขาดนัดพิจารณา ผลทางกฎหมาย, ศาลล้มละลาย พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด, การพิจารณาคดีล้มละลายผ่านอิเล็กทรอนิกส์ จำเลยทั้งสามรับทราบกำหนดนัดพิจารณาในวันที่ 15 มิถุนายน 2564 แต่ไม่มาศาล ศาลเลื่อนนัดไปวันที่ 26 สิงหาคม 2564 ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายฯ มาตรา 15 วรรคสอง ถือว่าจำเลยทราบกระบวนพิจารณาในวันดังกล่าว แม้ไม่มาศาล ศาลจึงพิจารณาคดีฝ่ายเดียวโดยชอบ การสืบพยานโจทก์ผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นไปตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา ไม่กระทบสิทธิจำเลย หากจำเลยมาศาลยังสามารถต่อสู้คดีได้ แต่เนื่องจากจำเลยไม่มาศาล การพิจารณาดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายและไม่มีเหตุให้เพิกถอนกระบวนพิจารณา โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย จำเลยทั้งสามไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลล้มละลายกลางพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาด จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายืน จำเลยทั้งสามฎีกา จำเลยทั้งสามรับทราบกำหนดนัดพิจารณานัดแรกแล้วโดยชอบแล้วไม่มาศาล ในวันนัดดังกล่าวทนายโจทก์แถลงขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนคดีตามมาตรา 15 วรรคสอง กำหนดว่า ในกรณีที่คู่ความไม่มาศาลในนัดใดไม่ว่าจะได้รับอนุญาตจากศาลหรือไม่ ให้ถือว่าคู่ความนั้นได้ทราบกระบวนพิจารณาของศาลในนัดนั้นแล้ว จึงต้องถือว่าจำเลยทั้งสามทราบกำหนดนัดพิจารณาในนัดที่ศาลอนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดีโดยชอบแล้ว เมื่อจำเลยทั้งสามไม่มาศาลในวันนัดดังกล่าวและศาลมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสามขาดนัดพิจารณาแล้วให้พิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียวจึงชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5217/2566 จำเลยทั้งสามรับทราบกำหนดนัดพิจารณาในวันที่ 15 มิถุนายน 2564 โดยชอบแล้วไม่มาศาล ในวันนัดทนายโจทก์แถลงขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนคดีไปพิจารณาวันที่ 26 สิงหาคม 2564 ซึ่งตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 15 วรรคสอง กำหนดว่า ในกรณีที่คู่ความไม่มาศาลในนัดใดไม่ว่าจะได้รับอนุญาตจากศาลหรือไม่ ให้ถือว่าคู่ความนั้นได้ทราบกระบวนพิจารณาของศาลในนัดนั้นแล้ว จึงต้องถือว่าจำเลยทั้งสามทราบกำหนดนัดพิจารณาในวันที่ 26 สิงหาคม 2564 โดยชอบแล้ว เมื่อจำเลยทั้งสามไม่มาศาลในวันนัดและศาลมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสามขาดนัดพิจารณาแล้วให้พิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียวจึงชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว ในการพิจารณาคดีของศาลนั้น หากศาลเห็นว่าเพื่อให้การดำเนินกระบวนพิจารณาเป็นไปโดยสะดวก รวดเร็วและเที่ยงธรรม เมื่อศาลเห็นสมควรหรือคู่ความร้องขอ ศาลอาจกำหนดให้ดำเนินกระบวนพิจารณาด้วยวิธีพิจารณาคดีผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ ตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2563 ข้อ 4 และข้อ 13 ประกอบกับการสืบพยานโจทก์ผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์นั้น ไม่ทำให้จำเลยทั้งสามเสียสิทธิในการต่อสู้คดีแต่อย่างใด หากจำเลยทั้งสามมาศาลในวันนัด จำเลยทั้งสามยังสามารถยื่นคำให้การ ถามค้านพยานโจทก์ตลอดจนนำพยานเข้าสืบในวันนัดได้ การที่ศาลล้มละลายกลางอนุญาตให้โจทก์สืบพยานผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าว จึงชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลล้มละลายกลาง โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย จำเลยทั้งสามไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลล้มละลายกลางพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 และให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยให้หักจากกองทรัพย์สินของจำเลยทั้งสาม เฉพาะค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยทั้งสามฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติได้ว่า เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2557 โจทก์ทำหนังสือค้ำประกันหนี้สินเชื่อเบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 1 ที่มีต่อธนาคาร ท. วงเงินไม่เกิน 3,470,000 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้รับอนุมัติสินเชื่อจากธนาคารดังกล่าวในวงเงิน 5,000,000 บาท มีจำเลยที่ 2 และที่ 3 ค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ต่อมาจำเลยทั้งสามผิดนัดชำระหนี้ ธนาคาร ท. ฟ้องจำเลยทั้งสามต่อศาลแพ่งเป็นคดีหมายเลขดำที่ ผบ.4525/2559 ต่อมาธนาคาร ท. มีหนังสือบอกกล่าวให้โจทก์ชำระหนี้ตามหนังสือค้ำประกัน เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2560 โจทก์ชำระหนี้ให้แก่ธนาคารดังกล่าว เป็นเงิน 3,470,000 บาท แล้ว โจทก์จึงรับช่วงสิทธิจากธนาคาร ท. ไล่เบี้ยให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินคืนโจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 มีนาคม 2560 จนถึงวันฟ้องจำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์บางส่วนคงเหลือดอกเบี้ย 923,073.97 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงิน 4,393,073.97 บาท จำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันต้องรับผิดเป็นสัดส่วนเท่าๆ กัน เป็นเงินคนละ 1,464,357.99 บาท ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามประการแรกมีว่า กรณีมีเหตุต้องเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลล้มละลายกลางหรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงได้ความโดยแจ้งชัดว่าจำเลยทั้งสามรับทราบกำหนดนัดพิจารณาในวันที่ 15 มิถุนายน 2564 โดยชอบแล้วจำเลยทั้งสามต้องมาศาลตามกำหนดนัด แต่จำเลยทั้งสามไม่มาศาลโดยไม่ได้แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนคดี เมื่อทนายโจทก์แถลงว่ายังไม่ได้รับสัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่ขอหมายเรียกจากธนาคาร ท. และเป็นเอกสารสำคัญ จึงขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วอนุญาตให้เลื่อนคดีไปพิจารณาวันที่ 26 สิงหาคม 2564 เช่นนี้ หากจำเลยทั้งสามมาศาลในวันนัดจำเลยทั้งสามย่อมทราบวันเวลาที่ศาลเลื่อนพิจารณาออกไปซึ่งตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 15 วรรคสอง กำหนดว่า ในกรณีที่คู่ความไม่มาศาลในนัดใดไม่ว่าจะได้รับอนุญาตจากศาลหรือไม่ ให้ถือว่าคู่ความนั้นได้ทราบกระบวนพิจารณาของศาลในนัดนั้นแล้ว ดังนี้กรณีจึงต้องถือว่าจำเลยทั้งสามทราบกำหนดนัดพิจารณาในวันที่ 26 สิงหาคม 2564 โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว เมื่อจำเลยทั้งสามไม่มาศาลในวันนัดพิจารณาวันที่ 26 สิงหาคม 2564 ที่ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสามขาดนัดพิจารณาแล้วให้พิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียวจึงชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสามข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามประการต่อมามีว่า การที่โจทก์มีคำร้องขอสืบพยานทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบจอภาพ และศาลมีคำสั่งอนุญาต โดยจำเลยทั้งสามไม่ได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ใช้วิธีพิจารณาคดีผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์จะชอบด้วยกระบวนพิจารณาหรือไม่นั้น เห็นว่า ในการพิจารณาคดีของศาลนั้น หากศาลเห็นว่าเพื่อให้การดำเนินกระบวนพิจารณาเป็นไปโดยสะดวก รวดเร็วและเที่ยงธรรม เมื่อศาลเห็นสมควรหรือคู่ความร้องขอ ศาลอาจกำหนดให้ดำเนินกระบวนพิจารณาด้วยวิธีพิจารณาคดีผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ ตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2563 ข้อ 4 และข้อ 13 ประกอบกับการสืบพยานโจทก์ผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์นั้น ไม่ทำให้จำเลยทั้งสามเสียสิทธิในการต่อสู้คดีแต่อย่างใด หากจำเลยทั้งสามมาศาลในวันนัด จำเลยทั้งสามยังสามารถยื่นคำให้การ ถามค้านพยานโจทก์ตลอดจนนำพยานเข้าสืบในวันนัดได้ แต่กลับเป็นจำเลยทั้งสามที่ไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาเสียเอง การที่ศาลล้มละลายกลางอนุญาตให้โจทก์สืบพยานผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าว จึงชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลล้มละลายกลาง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสามข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
1.ศาลล้มละลาย พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
2.การพิจารณาคดีล้มละลายผ่านอิเล็กทรอนิกส์
3.ขาดนัดพิจารณา ผลทางกฎหมาย
4.มาตรา 14 พระราชบัญญัติล้มละลาย
5.มาตรา 15 วรรคสอง คดีล้มละลาย
6.ขั้นตอนการฟ้องคดีล้มละลาย
7.คำสั่งศาลล้มละลาย พิทักษ์ทรัพย์
8.ค้ำประกันหนี้ ล้มละลาย กฎหมาย
สรุปคำพิพากษาศาลฎีกา (ย่อ):
ข้อเท็จจริง:
โจทก์ยื่นฟ้องให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาดและขอให้เป็นบุคคลล้มละลาย เนื่องจากจำเลยทั้งสามผิดนัดชำระหนี้สินเชื่อ โดยโจทก์รับช่วงสิทธิจากธนาคาร ท. ที่จำเลยผิดนัดชำระ รวมมูลหนี้ต้นและดอกเบี้ย 4,393,073.97 บาท โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกัน ต้องรับผิดในสัดส่วนเท่ากัน
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาด จำเลยไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลจึงพิจารณาคดีฝ่ายเดียวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14
ฎีกาของจำเลย:
1.การขาดนัดพิจารณา: จำเลยทั้งสามได้รับทราบกำหนดนัดพิจารณาวันที่ 15 มิถุนายน 2564 แต่ไม่มาศาล ศาลจึงเลื่อนพิจารณาไปวันที่ 26 สิงหาคม 2564 ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายฯ มาตรา 15 วรรคสอง กำหนดว่า คู่ความที่ไม่มาศาลถือว่าได้รับทราบกระบวนพิจารณาแล้ว การที่จำเลยไม่มาศาลในวันที่ 26 สิงหาคม 2564 ทำให้ศาลพิจารณาคดีฝ่ายเดียว เป็นไปโดยชอบ ฎีกานี้ฟังไม่ขึ้น
2.การสืบพยานทางอิเล็กทรอนิกส์: ศาลล้มละลายกลางอนุญาตให้สืบพยานโจทก์ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งชอบด้วยข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2563 ข้อ 4 และ 13 และไม่ได้กระทบสิทธิของจำเลย หากจำเลยมาศาลในวันนัดก็ยังสามารถถามค้านและนำพยานเข้าสืบได้ แต่จำเลยทั้งสามกลับขาดนัดพิจารณาเอง การอนุญาตดังกล่าวจึงชอบด้วยกระบวนพิจารณา ฎีกานี้ฟังไม่ขึ้น
คำพิพากษาศาลฎีกา:
พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ให้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาเป็นพับ
**การอธิบายหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 14 และมาตรา 15
มาตรา 14
เนื้อหา:
มาตรา 14 ของพระราชบัญญัตินี้กำหนดให้เมื่อศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเลยมีหนี้สินเกินกว่าทรัพย์สินหรือมีหนี้สินล้นพ้นตัว ศาลมีอำนาจออกคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด คำสั่งนี้มีผลทำให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ามาควบคุมทรัพย์สินของลูกหนี้และดำเนินกระบวนการชำระหนี้ตามกฎหมายล้มละลาย
การเชื่อมโยงกับบทความ:
ในกรณีนี้ ศาลล้มละลายกลางพิจารณาแล้วว่าจำเลยทั้งสามมีหนี้สินเกินกว่าทรัพย์สินและผิดนัดชำระหนี้ จึงมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาด การออกคำสั่งดังกล่าวเป็นไปตามหลักเกณฑ์ในมาตรา 14 โดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะมีหน้าที่จัดการทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้แก่เจ้าหนี้
มาตรา 15
เนื้อหา:
มาตรา 15 วรรคสอง ระบุว่า ในกรณีที่คู่ความฝ่ายใดไม่มาศาลตามกำหนดนัดพิจารณา ไม่ว่าจะได้รับอนุญาตจากศาลให้เลื่อนนัดหรือไม่ ให้ถือว่าคู่ความฝ่ายนั้นได้ทราบกระบวนพิจารณาในวันดังกล่าวแล้ว
การเชื่อมโยงกับบทความ:
ในกรณีนี้ จำเลยทั้งสามรับทราบกำหนดนัดพิจารณาวันที่ 15 มิถุนายน 2564 แต่ไม่มาศาล ศาลจึงเลื่อนนัดไปวันที่ 26 สิงหาคม 2564 ตามมาตรา 15 วรรคสอง ให้ถือว่าจำเลยทั้งสามทราบกำหนดนัดพิจารณาในวันที่ 26 สิงหาคม 2564 แม้จะไม่ได้มาศาลก็ตาม เมื่อจำเลยไม่มาศาลในวันดังกล่าว ศาลจึงสามารถพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียวได้ การดำเนินกระบวนพิจารณานี้ชอบด้วยกฎหมายล้มละลาย
บทวิเคราะห์เพิ่มเติม
1.ความสำคัญของมาตรา 14:
มาตรา 14 เป็นหัวใจสำคัญของกระบวนพิจารณาคดีล้มละลาย เมื่อศาลเห็นว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเป็นจุดเริ่มต้นของการควบคุมทรัพย์สินลูกหนี้และการแบ่งทรัพย์สินให้เจ้าหนี้ตามกฎหมาย
2.ความสำคัญของมาตรา 15 วรรคสอง:
มาตรา 15 วรรคสอง เป็นหลักที่ช่วยให้กระบวนพิจารณาเป็นไปโดยต่อเนื่องและรวดเร็ว หากคู่ความฝ่ายใดไม่มาศาลโดยไม่มีเหตุอันสมควร ก็ยังถือว่าได้รับทราบกระบวนการพิจารณาอยู่ ทำให้ศาลสามารถดำเนินการต่อไปได้โดยไม่ต้องรอการเข้าร่วมของฝ่ายที่ไม่มาศาล
3.ผลกระทบต่อสิทธิของคู่ความ:
มาตรา 15 วรรคสอง สร้างความสมดุลระหว่างสิทธิของคู่ความและประสิทธิภาพของกระบวนพิจารณา แม้จำเลยไม่มาศาล แต่หากมาในวันนัดต่อไปก็ยังสามารถยื่นคำให้การหรือเข้าร่วมกระบวนการได้ อย่างไรก็ตาม หากขาดนัดโดยต่อเนื่อง การพิจารณาไปฝ่ายเดียวจะถือว่าชอบด้วยกฎหมาย
สรุป:
มาตรา 14 และมาตรา 15 ของพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายฯ มีบทบาทสำคัญในกระบวนการพิจารณาคดีล้มละลาย โดยมาตรา 14 เน้นการควบคุมทรัพย์สินของลูกหนี้ และมาตรา 15 เน้นการทำให้กระบวนการพิจารณาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเที่ยงธรรม แม้คู่ความจะขาดนัดพิจารณาก็ตาม
*****การขาดนัดพิจารณาคืออะไร
การขาดนัดพิจารณา หมายถึง การที่คู่ความฝ่ายหนึ่งไม่ปรากฏตัวต่อศาลตามกำหนดนัดพิจารณาคดี โดยไม่มีเหตุอันสมควรหรือไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้เลื่อนคดี การขาดนัดพิจารณาอาจเกิดขึ้นในกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้:
1.คู่ความไม่ได้มายื่นคำให้การตามเวลาที่กำหนด
2.ไม่เข้าร่วมการไต่สวนหรือตอบคำถามศาลในวันนัดพิจารณา
3.ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลเกี่ยวกับการจัดส่งเอกสารหรือหลักฐานตามกำหนด
ผลทางกฎหมายของการขาดนัดพิจารณา
ผลของการขาดนัดพิจารณาขึ้นอยู่กับลักษณะของคดีและกระบวนพิจารณา โดยมีหลักการสำคัญที่ต้องพิจารณาดังนี้:
1.สำหรับฝ่ายโจทก์:
หากโจทก์ขาดนัดพิจารณา ศาลอาจมีคำสั่งยกฟ้องในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินคดีต่อไปได้
2.สำหรับฝ่ายจำเลย:
หากจำเลยขาดนัดพิจารณาโดยไม่ยื่นคำให้การหรือไม่มาศาลตามกำหนด ศาลอาจพิจารณาคดีฝ่ายเดียวตามที่โจทก์ยื่นฟ้องไว้
3.กระบวนการพิจารณาที่ชอบด้วยกฎหมาย:
การขาดนัดพิจารณาไม่ทำให้กระบวนการพิจารณาสิ้นสุดลง หากศาลปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในกฎหมาย เช่น การแจ้งกำหนดนัดให้คู่ความทราบโดยชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องกับการขาดนัดพิจารณา
1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 725/2567
โจทก์ยื่นฟ้องคดีล้มละลาย จำเลยขาดนัดพิจารณาหลายครั้งโดยไม่มีเหตุอันสมควร ศาลวินิจฉัยว่าการที่จำเลยไม่มาศาลเป็นการละเลยสิทธิในการต่อสู้คดี ศาลจึงมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดโดยชอบด้วยกระบวนพิจารณา
2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 452/2567
ในคดีที่โจทก์ฟ้องให้แบ่งทรัพย์มรดก จำเลยไม่มาศาลตามนัด ศาลจึงพิจารณาคดีฝ่ายเดียวและมีคำสั่งแบ่งทรัพย์ตามคำฟ้อง การขาดนัดของจำเลยทำให้ไม่สามารถนำพยานหรือหลักฐานมาโต้แย้งได้
3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 123/2565
ในคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องละเมิด จำเลยขาดนัดพิจารณา ศาลมีคำสั่งให้โจทก์นำพยานเข้าสืบเพิ่มเติม การขาดนัดของจำเลยจึงไม่กระทบสิทธิในการฟังพยานและการพิจารณาเป็นไปโดยชอบ
4. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 888/2567
จำเลยในคดีอาญาขาดนัดฟังคำสั่งศาลและไม่แจ้งเหตุอันสมควร ศาลพิจารณาตามเอกสารและพยานที่มีในสำนวน การดำเนินการดังกล่าวไม่กระทบกระบวนการยุติธรรม
5. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 341/2563
ในคดีที่จำเลยขาดนัดพิจารณาและไม่ยื่นคำให้การ ศาลพิจารณาตามคำฟ้องของโจทก์และมีคำพิพากษาให้ชำระหนี้ การที่จำเลยไม่มาศาลโดยไม่มีเหตุอันสมควรถือเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงที่โจทก์ยื่นฟ้อง
6. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15/2561
คดีเกี่ยวกับการบังคับคดี จำเลยขาดนัดพิจารณาโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลดำเนินการตามข้อเท็จจริงที่โจทก์นำเสนอ การพิจารณาฝ่ายเดียวเป็นไปโดยชอบตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลาย
ข้อสรุป
การขาดนัดพิจารณาอาจมีผลเสียต่อฝ่ายที่ไม่มาศาล ทำให้กระบวนพิจารณาดำเนินไปฝ่ายเดียวโดยไม่ได้รับการโต้แย้งจากคู่ความที่ขาดนัด การปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมายจึงสำคัญในการรักษาสิทธิและป้องกันผลเสียที่อาจเกิดขึ้นจากการขาดนัดพิจารณา
|