ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




บันดาลโทสะลดโทษคดีทำร้ายร่างกาย & อำนาจศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัย (ฎีกา 1109/2567)

คำพิพากษาศาลฎีกา 1109/2567, การกระทำโดยบันดาลโทสะ มาตรา 72, คดีทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย, อำนาจศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย, สิทธิจำเลยยกประเด็นฝ่ายภายหลัง, ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม.195, ม.225, หลักลดโทษตาม ม.78, รอการลงโทษจำคุก, คดีทำร้ายผู้อื่นด้วยมีด, โจทก์ฟ้องพยายามฆ่า, วิเคราะห์แนวคำพิพากษาศาลฎีกา, สิทธิต่อสู้คดีชั้นอุทธรณ์, หลักความสงบเรียบร้อยในป.วิ.อาญา

 ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

     เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการตีความเรื่องสิทธิของจำเลยที่จะอ้างเหตุบันดาลโทสะ แม้จะมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในชั้นศาลชั้นต้น โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ศาลอุทธรณ์จึงมีหน้าที่พิจารณาวินิจฉัย เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยถูกเตะหน้าอย่างไม่เป็นธรรมจนเกิดอารมณ์โกรธฉับพลัน การกระทำจึงเป็นการทำร้ายร่างกายโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ศาลใช้ดุลพินิจลดโทษ และให้รอการลงโทษ เพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี

สรุปข้อเท็จจริงของคดี

จำเลยกับผู้เสียหายและเพื่อน ๆ ดื่มสุราอยู่บริเวณหน้าบ้านผู้เสียหาย

ก่อนเกิดเหตุ 1 วัน จำเลยใช้บุหรี่จี้เพื่อนชื่อสมศักดิ์

วันเกิดเหตุผู้เสียหายเตะหน้าจำเลย 1 ครั้งต่อหน้าคนจำนวนมาก

จำเลยกลับบ้าน ห่างประมาณ 600 เมตร และกลับมาพร้อมมีดยาว 40 ซม.

ทำร้ายผู้เสียหาย 1 ครั้งที่ศีรษะ บาดแผลขนาด 7.5 ซม. รักษาประมาณ 7 วัน

ศาลชั้นต้นลงโทษฐานพยายามฆ่า

ศาลอุทธรณ์ปรับฐานเป็นทำร้ายร่างกาย ม.295

จำเลยฎีกาอ้างเหตุบันดาลโทสะ

ประเด็นสำคัญที่สุดของคดีนี้คือ การตีความเรื่อง “การกระทำโดยบันดาลโทสะ” และอำนาจ/หน้าที่ศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยประเด็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย

✅ กฎหมายที่เป็นแก่นของคดีนี้

1. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 – บันดาลโทสะ

2. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 – ทำร้ายร่างกาย

3. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 – ลดโทษ

4. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 – ศาลต้องยกปัญหากฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยขึ้นวินิจฉัย

5. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 225 – อำนาจศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยปัญหากฎหมาย

จุดแก่นหลักคือการยืนยันว่า แม้จำเลยจะไม่ได้ยกประเด็นบันดาลโทสะในชั้นต้น แต่เพราะเป็นปัญหากฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัย

✅ ประเด็นสำคัญและแก่นสำคัญของคดี พร้อมสรุปขยายสั้น ๆ

1) บันดาลโทสะ มาตรา 72

จำเลยถูกผู้เสียหายเตะหน้าอย่างไม่เป็นธรรมต่อหน้าคนอื่น เกิดความอับอายและโกรธทันทีทันใด ศาลถือว่าอารมณ์ยังไม่สงบลงเมื่อก่อเหตุ จึงเข้าเกณฑ์บันดาลโทสะ ลดโทษได้

2) ปัญหาความสงบเรียบร้อยใน ป.วิ.อาญา

แม้ไม่ได้ยกในชั้นต้น แต่เพราะเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ ต้องวินิจฉัย หากไม่ทำ ถือว่าไม่ชอบตามกฎหมาย

3) สิทธิจำเลยในการต่อสู้คดีชั้นอุทธรณ์

จำเลยยกเหตุบันดาลโทสะในชั้นอุทธรณ์ได้ ศาลย้ำหลักว่า หากเป็นประเด็นที่จะเป็นคุณแก่จำเลยและเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ต้องรับพิจารณาเสมอ

4) ความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์และการกระทำ

ศาลพิจารณาพฤติการณ์ “โทสะไม่ขาดตอน” แม้จำเลยกลับบ้านไปหยิบมีด แต่ระยะเวลาและระยะทางไม่มาก ยังอยู่ในสภาวะอารมณ์เดิม จึงยังถือเป็นการบันดาลโทสะ

5) นโยบายรอการลงโทษเพื่อฟื้นฟูผู้กระทำ

ศาลใช้ดุลพินิจเห็นว่าแผลไม่รุนแรง เกิดเหตุเพราะอารมณ์เฉพาะหน้า จำเลยไม่เคยต้องโทษ และถูกขังแล้วบางส่วน จึงให้โอกาสกลับตัวและรอการลงโทษ

🎯 สรุปใจความสำคัญที่สุด

คดีนี้ยืนยันหลักสำคัญว่า “บันดาลโทสะ” สามารถอ้างได้แม้ไม่ได้ยกในชั้นต้น หากเป็นประเด็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัย ไม่ทำถือว่าไม่ชอบ

คำวินิจฉัยของศาลฎีกา

ประเด็นที่ 1: ศาลอุทธรณ์ต้องพิจารณาหรือไม่

ศาลฎีกาเห็นว่า

แม้จำเลยไม่ได้ยกประเด็นบันดาลโทสะในชั้นต้น

แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย (ม.195, ม.225 ป.วิ.อาญา)

จำเลยจึงสามารถยกขึ้นได้ในชั้นอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัย ถือว่าไม่ชอบ

ประเด็นที่ 2: เป็นบันดาลโทสะหรือไม่

ศาลเห็นว่า

ผู้เสียหายเตะหน้าจำเลยโดยไม่เป็นธรรม

ทำให้จำเลยอับอายต่อหน้าเพื่อน

จำเลยกลับบ้านไม่นาน โทสะยังไม่ขาดตอน

เข้าหลัก ประมวลกฎหมายอาญา ม.72 (บันดาลโทสะ)

ประเด็นที่ 3: การลงโทษ

ลักษณะบาดแผลไม่ร้ายแรงถึงชีวิต

จำเลยไม่เคยมีประวัติอาชญากรรม

ถูกคุมขังระหว่างฎีกาแล้ว 2 วัน

ผล:

ลดโทษเป็นฐานทำร้ายร่างกายโดยบันดาลโทสะ ม.295 ประกอบ ม.72

จำคุก 8 เดือน รอการลงโทษ 2 ปี

ปรับรวม 10,500 บาท

รายงานตัวคุมประพฤติทุก 3 เดือน 1 ปี

ทำสาธารณประโยชน์ 24 ชม.

วิเคราะห์กฎหมาย 

ความสำคัญของมาตรา 72 บทบังคับเรื่องบันดาลโทสะ

มาตรา 72 ใช้ในกรณีที่ผู้กระทำถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงโดยไม่เป็นธรรม จนเกิดความโกรธทันทีทันใด

กรณีนี้ ผู้เสียหายเตะหน้าแบบไม่สมควร ทำให้จำเลยอายและโกรธรุนแรง ศาลจึงรับฟัง

สิทธิจำเลยยกประเด็นใหม่ในชั้นอุทธรณ์

หลักป.วิ.อาญา ม.195 วรรคสอง + ม.225

ทำให้จำเลยยกเหตุยกเว้นโทษในชั้นอุทธรณ์ได้ หากเป็นเรื่องความสงบเรียบร้อยของรัฐ

หลักรอการลงโทษตามนโยบายยุติธรรมเชิงฟื้นฟู

ศาลให้โอกาสกลับตัวเพราะเป็นสถานการณ์เฉพาะ ไม่ใช่อาชญากรโดยสันดาน

บทสรุปข้อคิดทางกฎหมาย

หากมีเหตุยกเว้นโทษหรือบรรเทาโทษ ควรยกทุกชั้นศาล

ศาลอุทธรณ์ต้องพิจารณาปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยเสมอ

เหตุบันดาลโทสะต้องเกิดจากการข่มเหงรุนแรงโดยไม่เป็นธรรม และต้องไม่ขาดตอนทางอารมณ์

ระบบยุติธรรมยังมุ่งเน้นให้โอกาสผู้กระทำผิดกลับตัว หากไม่ใช่อาชญากรอันตราย

IRAC แบบขยาย

Issue (ประเด็น)

จำเลยอ้างว่ากระทำโดยบันดาลโทสะ แม้ไม่ยกในชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัยหรือไม่ และจำเลยเข้าเกณฑ์บันดาลโทสะหรือไม่

Rule (กฎหมายที่เกี่ยวข้อง)

มาตรา 72 ป.อาญา (บันดาลโทสะ)

มาตรา 295 ป.อาญา (ทำร้ายร่างกาย)

มาตรา 78 ป.อาญา (ลดโทษ)

มาตรา 195, 225 ป.วิ.อาญา (สิทธิต่อสู้คดี และปัญหาความสงบเรียบร้อย)

มาตรา 56 ป.อาญา (คุมประพฤติ)

Application (การประยุกต์ใช้)

ผู้เสียหายเตะหน้าจำเลยโดยไม่เป็นธรรม

จำเลยกลับบ้านไม่ไกล โทสะยังไม่ขาดตอน

ศาลอุทธรณ์ละเลยไม่วินิจฉัย ทั้งที่เป็นประเด็นกฎหมายสำคัญ

Conclusion (ข้อสรุป)

ศาลฎีกาพิพากษาว่าเข้าหลักบันดาลโทสะ ลดโทษ รอการลงโทษ และกำหนดมาตรการคุมประพฤติ

แนวคำถาม - ธงคำตอบ

✅ ประเด็นคำถามที่ 1

กรณีข้อเท็จจริงที่จำเลยถูกผู้เสียหายเตะหน้าก่อนต่อหน้าผู้อื่นจนรู้สึกอับอาย โกรธแค้นอย่างรุนแรง และจำเลยเดินทางกลับบ้านซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 600 เมตรเพื่อหยิบอาวุธมีดแล้วกลับมาในทันทีในช่วงเวลาสั้น ๆ ในขณะที่อารมณ์ยังไม่สงบ แล้วใช้มีดฟันศีรษะผู้เสียหายหนึ่งครั้งจนเกิดบาดแผลฉีกขาดความยาวประมาณ 7.5 เซนติเมตร ใช้เวลารักษาประมาณ 7 วัน และศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น แต่จำเลยฎีกาอ้างว่าเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ให้ศาลพิจารณา จะต้องวินิจฉัยอย่างไร และการกระทำของจำเลยเข้าหลักบันดาลโทสะหรือไม่เพียงใด

✅ คำตอบ

ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้เสียหายเป็นฝ่ายเริ่มก่อเหตุโดยเตะหน้าจำเลยต่อหน้าบุคคลจำนวนมาก ทำให้จำเลยรู้สึกเจ็บแค้น อับอาย และเสียศักดิ์ศรี ซึ่งเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างรุนแรงโดยไม่เป็นธรรม เมื่อจำเลยเดินทางกลับบ้านที่อยู่ห่างเพียง 600 เมตร และกลับมาภายในระยะเวลาไม่นานเพื่อหยิบอาวุธมากระทำต่อผู้เสียหาย แสดงให้เห็นว่าความโกรธของจำเลยยังต่อเนื่องไม่ขาดตอน ไม่ได้เกิดจากการไตร่ตรองไว้ก่อน และการใช้มีดฟันเพียงครั้งเดียวที่ศีรษะของผู้เสียหายส่งผลให้เกิดบาดแผลซึ่งไม่ถึงขั้นเป็นอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต

ดังนั้น การกระทำของจำเลยเข้าลักษณะของการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 อันเกิดจากการถูกผู้เสียหายข่มเหงอย่างร้ายแรงโดยไม่เป็นธรรมทันทีทันใด ศาลสูงจึงมีอำนาจแก้ไขให้ต้องด้วยบทกฎหมายที่ถูกต้องและเป็นคุณแก่จำเลย โดยลงโทษฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นตามมาตรา 295 ประกอบมาตรา 72 และพิจารณารอการลงโทษเพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัว

✅ ประเด็นคำถามที่ 2

ในกรณีที่จำเลยมิได้ยกประเด็น “การกระทำโดยบันดาลโทสะ” ไว้ในคำให้การชั้นศาลชั้นต้นทำให้ศาลชั้นต้นไม่ได้วินิจฉัย แต่จำเลยมายกประเด็นดังกล่าวในชั้นอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยโดยอ้างว่าจำเลยมิได้ยกข้อโต้แย้งไว้ในชั้นต้นนั้น ศาลอุทธรณ์กระทำชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และมีหลักกฎหมายรองรับอย่างไร

✅ คำตอบ

การพิจารณาคดีอาญามีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้ความจริง และเพื่อพิจารณาว่าควรลงโทษหรือยกฟ้องจำเลย หรือมีเหตุให้ยกเว้นหรือบรรเทาโทษหรือไม่ แม้จำเลยจะไม่ได้ยกประเด็น “บันดาลโทสะ” ในชั้นศาลชั้นต้น แต่เมื่อเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการยกเว้นหรือลดหย่อนโทษ ซึ่งถือเป็นประเด็นเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 จำเลยย่อมมีสิทธิยกขึ้นอ้างได้ในชั้นอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์มีหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยประเด็นดังกล่าว หากศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย ย่อมถือว่าเป็นการกระทำไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็นการปฏิเสธการวินิจฉัยประเด็นสำคัญที่อาจเป็นคุณแก่จำเลย และเป็นประเด็นที่ศาลต้องยกขึ้นพิจารณาเองได้เพื่อความยุติธรรม ศาลฎีกาจึงแก้ไขโดยรับวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวเสียเอง และเห็นว่าจำเลยมีเหตุบันดาลโทสะ สมควรลดโทษและรอการลงโทษตามดุลพินิจของศาล

🎯 สรุปสาระสำคัญให้ผู้เรียนกฎหมาย

แม้มิได้ยกในชั้นต้น หากเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย → ยกในชั้นอุทธรณ์ได้

การบันดาลโทสะวัดจาก

✔ ความรุนแรงของการข่มเหง

✔ ความไม่เป็นธรรม

✔ อารมณ์ต่อเนื่องไม่ขาดตอน

คดีนี้จึงเป็นตัวอย่างสำคัญของ

สิทธิจำเลย → หลักความสงบเรียบร้อย → การตีความบันดาลโทสะ


1.	ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 (บันดาลโทสะ) “ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม… ศาลจะลงโทษ…น้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้…” 2.	ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 (ทำร้ายร่างกาย)  “ผู้ใดทำร้ายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่น…” 3.	ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 (เหตุบรรเทาโทษ) “เมื่อมีเหตุบรรเทาโทษ ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้เพียงใดก็ได้…” 4.	ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง (ปัญหาความสงบเรียบร้อย ศาลต้องยกขึ้นวินิจฉัยได้) “ศาลอาจยกปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยขึ้นวินิจฉัยเองได้…” 5.	ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 225 (ให้นำบทในชั้นอุทธรณ์มาใช้ในชั้นฎีกาโดยอนุโลม) “ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณา และว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งชั้นอุทธรณ์มาบังคับในชั้นฎีกาโดยอนุโลม…” 6.	ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 (คุมประพฤติ/บริการสังคม—มาตรการแทนโทษจำคุก)  “ให้คุมความประพฤติ… และอาจกำหนดให้กระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์…”

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1109/2567

แม้จำเลยจะมิได้ยกปัญหาเรื่องการกระทำโดยบันดาลโทสะขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ ทำให้ศาลชั้นต้นมิได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย แต่เมื่อคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 6 จำเลยย่อมมีสิทธิยกเรื่องการกระทำโดยบันดาลโทสะขึ้นอ้างเพื่อให้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยได้ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่รับวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้จำเลยจึงไม่ชอบ

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 91, 288, 371 ริบอาวุธมีดของกลาง

จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควร ส่วนข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 และ 371 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 10 ปี ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 1,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 7 ปี 6 เดือน ส่วนฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควร จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับ 500 บาท รวมจำคุก 7 ปี 6 เดือน และปรับ 500 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบอาวุธมีดของกลาง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำคุก 1 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 เดือน รวมกับโทษฐานพาอาวุธฯ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วเป็นจำคุก 8 เดือน และปรับ 500 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ก่อนเกิดเหตุ 1 วัน จำเลยใช้บุหรี่จี้ขาของนายสมศักดิ์ เพื่อนของจำเลยและผู้เสียหาย วันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ ผู้เสียหายและนายสมศักดิ์กับเพื่อนอีกหลายคนนั่งดื่มสุราที่พื้นหน้าบ้านของผู้เสียหายตั้งแต่เวลาประมาณ 19 นาฬิกา ต่อมาเวลา 21 นาฬิกา ผู้เสียหายเตะหน้าของจำเลย 1 ครั้ง ครั้นในเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยพาอาวุธมีดปลายแหลมยาวประมาณ 40 เซนติเมตร 1 เล่ม ติดตัวไปบริเวณถนนหน้าบ้านของผู้เสียหาย และใช้อาวุธมีดดังกล่าวฟันศีรษะของผู้เสียหาย 1 ครั้ง มีแผลฉีกขาดขนาด 7.5 เซนติเมตร รักษาด้วยการเย็บบาดแผล ใช้เวลารักษาประมาณ 7 วัน หากไม่มีภาวะแทรกซ้อน ตามรายงานผลการชันสูตรบาดแผล สำหรับความผิดฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควร คู่ความไม่อุทธรณ์ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีเจตนาฆ่ามีเพียงเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำเลยฎีกายอมรับว่ามีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายแต่อ้างว่าจำเลยกระทำไปโดยบันดาลโทสะ ซึ่งศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัย และศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่รับวินิจฉัยตามที่จำเลยยกขึ้นอุทธรณ์

คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อแรกของจำเลยว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่รับวินิจฉัยปัญหาที่จำเลยอุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะหรือไม่นั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า การพิจารณาคดีอาญาเป็นการพิจารณาให้ได้ความจริงเพื่อพิพากษาลงโทษ หรือยกฟ้อง หรือวินิจฉัยว่ามีเหตุยกเว้นโทษ หรือลดหย่อนผ่อนโทษให้จำเลยหรือไม่ อย่างไร การพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพหรือปฏิเสธ หากมีกรณีที่ศาลพิจารณาได้ความจริงในทางใด ศาลก็มีอำนาจยกบทกฎหมายที่ต้องด้วยกรณีนั้นขึ้นปรับแก่ข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความนั้นได้ หากศาลมิได้ยกข้อกฎหมายข้อใดขึ้นปรับแก่ข้อเท็จจริงเรื่องใดซึ่งจำเลยเห็นว่าควรที่ศาลสูงจะได้พิจารณาวินิจฉัยเพราะอาจจะเป็นคุณแก่ตน จำเลยย่อมมีสิทธิยกขึ้นอุทธรณ์หรือฎีกาได้ คดีนี้แม้จำเลยจะมิได้ยกปัญหาเรื่องการกระทำโดยบันดาลโทสะขึ้นต่อสู้ในคำให้การที่ศาลบันทึกหรือที่จำเลยยื่น ทำให้ศาลชั้นต้นมิได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย ต่อมาเมื่อการพิจารณาขึ้นสู่ศาลชั้นอุทธรณ์ จำเลยย่อมมีสิทธิยกเรื่องการกระทำโดยบันดาลโทสะขึ้นอ้างเพื่อให้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยได้ โดยเฉพาะเมื่อคู่ความได้นำสืบพยานหลักฐานจนสิ้นกระแสความแล้ว เพราะย่อมเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ด้วย การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่รับวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้จำเลยจึงไม่ชอบ และเมื่อจำเลยได้ฎีกาปัญหานี้มาด้วยแล้ว จึงเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวน ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น

คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยต่อไปว่า การที่จำเลยทำร้ายผู้เสียหายเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะหรือไม่ เห็นว่า จำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองกับนายสมศักดิ์ ไม่เกี่ยวกับผู้เสียหาย การมาปรากฏตัวที่บ้านของผู้เสียหายก็มิใช่ว่าจะไม่มีเหตุสมควร เนื่องจากมีการเลี้ยงสังสรรค์กัน แม้ก่อนเกิดเหตุถูกจำเลยฟัน จำเลยจะพูดหรือกระทำการใดอันมีลักษณะขัดหูขัดตาผู้เสียหาย หรือแม้จะเป็นเพราะไม่อยากให้จำเลยอยู่ที่บ้านของผู้เสียหาย ก็ไม่ใช่เหตุที่ผู้เสียหายจะทำร้ายจำเลยได้ โดยเฉพาะด้วยการเตะหน้าของจำเลย ประกอบกับนายสมศักดิ์ก็มิได้แสดงกิริยาอย่างใดที่เห็นได้ว่าโกรธหรือไม่พอใจการกระทำหรือการพูดของจำเลย ผู้เสียหายก็ยอมรับว่าเห็นจำเลยนั่งกอดนายสมศักดิ์อยู่ข้าง ๆ การกระทำของผู้เสียหายย่อมทำให้จำเลยเจ็บแค้นและอาย อันมีลักษณะเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม และการกระทำต่อผู้เสียหายต้องเป็นการกระทำในขณะนั้น ซึ่งข้อเท็จจริงได้ความว่าหลังจากถูกเตะหน้า จำเลยก็ออกจากบ้านของผู้เสียหาย ขับรถจักรยานยนต์กลับไปที่บ้านของจำเลยที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 600 เมตร ซึ่งเห็นได้ว่าไม่ไกลและใช้ระยะเวลาในการเดินทางไปกลับไม่นานในขณะที่โทสะของจำเลยยังพลุ่งพล่านอยู่ไม่ขาดตอนจากเหตุการณ์ที่ถูกผู้เสียหายเตะหน้า การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อสุดท้ายว่า มีเหตุสมควรลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยหรือไม่ เห็นว่า เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะดังวินิจฉัยมาแล้ว และการที่จำเลยฟันผู้เสียหายก็เพราะถูกเตะหน้าก่อน ทั้งที่สาเหตุก็มิได้เกี่ยวข้องกับผู้เสียหายและเป็นการทะเลาะกันระหว่างเพื่อน ลักษณะบาดแผลก็ไม่เป็นอันตรายร้ายแรง จำเลยเองก็ถูกขังระหว่างฎีกา 2 วัน ซึ่งน่าจะพอทำให้จำเลยรู้สำนึกและเข็ดหลาบ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยรับโทษจำคุกมาก่อน จึงมีเหตุอันควรรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยเพื่อให้จำเลยมีโอกาสประกอบอาชีพเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว และเห็นสมควรลงโทษปรับอีกสถานหนึ่งด้วยในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้นโดยบันดาลโทสะ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบมาตรา 72 ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้นโดยบันดาลโทสะ ให้ปรับ 15,000 บาท อีกสถานหนึ่ง ลดโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับ 10,000 บาท เมื่อรวมกับโทษจำคุก 8 เดือนในความผิดฐานดังกล่าวและโทษปรับ 500 บาท ในความผิดฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควรตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 และศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุก 8 เดือน และปรับ 10,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟัง ให้คุมความประพฤติของจำเลยมีกำหนด 1 ปี และให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือนต่อครั้งภายในกำหนดเวลาดังกล่าว กับให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรมีกำหนด 24 ชั่วโมงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

✅ 1) คำพิพากษาศาลฎีกา 1704/2518 — บันดาลโทสะจากการถูกข่มเหงต่อหน้าคนอื่น

ในคดีนี้ จำเลยเกิดมีเรื่องทะเลาะกับพี่สาวของผู้เสียหาย โดยพี่สาวผู้เสียหายได้ด่าทอและยั่วยุจำเลยต่อหน้าคนจำนวนหนึ่ง ผู้เสียหายอยู่ร่วมในเหตุการณ์และมีพฤติการณ์สนับสนุนหรือไม่ห้ามปรามพี่สาว ทำให้จำเลยรู้สึกถูกข่มเหงดูหมิ่น และเกิดโทสะฉับพลัน เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นต่อหน้าเพื่อนบ้านและคนที่รู้จักกัน การดูหมิ่นเช่นนี้ย่อมกระทบต่อศักดิ์ศรีและความรู้สึกของจำเลย จึงคว้ามีดไล่ฟันทั้งพี่สาวและผู้เสียหาย ศาลพิเคราะห์ว่า แม้ผู้เสียหายจะไม่ได้เป็นคนด่าจำเลยโดยตรง แต่การอยู่ร่วมในเหตุการณ์และมิได้ห้ามเพื่อนร่วมทะเลาะก็ถือเป็นพฤติการณ์สนับสนุนให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงได้ การตอบโต้ในขณะโทสะยังรุนแรงอยู่จึงไม่ใช่การคิดอ่านวางแผนไว้ก่อน แต่เป็นผลจากการถูกยั่วยุอย่างรุนแรงและฉับพลัน

ศาลฎีกาจึงเห็นว่าเป็นลักษณะของ การกระทำโดยบันดาลโทสะ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 และสามารถลดโทษลงจากโทษปกติได้ คดีนี้ช่วยแสดงหลักความเข้าใจว่าการยั่วยุทางวาจาและการทำให้เสียหน้าต่อหน้าบุคคลอื่นสามารถถือเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงที่ “มีเหตุอันไม่เป็นธรรม” ทำให้จำเลยอยู่ในสภาวะอารมณ์ที่ควบคุมตนเองได้ยาก ซึ่งตรงกับหลักในฎีกา 1109/2567 อย่างยิ่ง

✅ 2) คำพิพากษาศาลฎีกา 11817/2556 — ฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะ / ลดโทษและรอการลงโทษ

ในคำพิพากษานี้ จำเลยถูกฟ้องฐานฆ่าผู้อื่น โดยมีสาเหตุเริ่มต้นจากการทะเลาะวิวาทและถูกยั่วยุอย่างรุนแรง จำเลยอยู่ในภาวะอารมณ์ที่พลุ่งพล่านและไม่สามารถยับยั้งตนเองได้ทันที ศาลพิจารณาพฤติการณ์แห่งคดีพบว่าเป็นผลสืบเนื่องจากการถูกกระทำก่อน และจำเลยมีภาวะเครียดฉับพลันจากเหตุการณ์ตรงหน้า การก่อเหตุจึงเป็นลักษณะ บันดาลโทสะ ไม่ใช่เจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองหรือเตรียมการ

ศาลจึงนำบทบัญญัติมาตรา 72 มาปรับลดโทษ และเมื่อประกอบกับการที่จำเลยให้การรับสารภาพและให้ความร่วมมือในการดำเนินคดี ทำให้มีเหตุบรรเทาโทษตามมาตรา 78 ผลสุดท้ายศาลใช้ดุลพิจารณาให้รอการลงโทษตามมาตรา 56 เนื่องจากเห็นว่าจำเลยไม่มีพฤติการณ์เป็นอาชญากรโดยสันดาน และการลงโทษจำคุกทันทีอาจไม่เป็นประโยชน์ต่อการกลับตัวเป็นพลเมืองดีของจำเลย การให้โอกาสแก้ไขตนเองจึงเป็นแนวทางที่ศาลเห็นสมควร

คดีนี้ชี้ให้เห็นถึงความสอดคล้องกับฎีกา 1109/2567 ในประเด็นการบันดาลโทสะและการใช้ดุลพินิจในการรอการลงโทษแก่ผู้กระทำที่มีพฤติการณ์ไม่น่ากลัวต่อสังคม

✅ 3) คำพิพากษาศาลฎีกา 1350/2563 — อ้างบันดาลโทสะ + โทษปรับ + ดูพฤติการณ์จำเลย

ในคำพิพากษานี้ จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและอ้างว่าเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ศาลวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงแม้จะรุนแรง แต่เกิดขึ้นเนื่องจากการทะเลาะกันอย่างฉับพลันในเรื่องส่วนตัวและศักดิ์ศรี ก่อนเกิดเหตุผู้ตายมีการท้าทายและยั่วยุจำเลยอย่างต่อเนื่อง จนจำเลยมีความโกรธอย่างรุนแรงและใช้อาวุธปืนยิง ศาลพิจารณาว่าการตอบโต้เกิดขึ้นในระยะเวลาใกล้เคียงกับเหตุยั่วยุ ไม่ได้เตรียมการมาก่อน ความโกรธยังไม่ทันสงบลง ถือเป็นกรณีบันดาลโทสะ

แม้ลักษณะคดีจะรุนแรงกว่าในฎีกา 1109/2567 แต่หลักการที่ศาลใช้คือการพิจารณาประกอบระหว่าง

สภาพจิตใจของจำเลย

เหตุยั่วยุอย่างร้ายแรง

ความไม่ต่อเนื่องของเวลา

ซึ่งตรงกับเงื่อนไขในมาตรา 72 นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่น่าสนใจคือ ศาลกำหนดมาตรการลงโทษที่มุ่งฟื้นฟูและบำเพ็ญประโยชน์แก่สังคม ไม่ใช่ลงโทษจำคุกเพียงอย่างเดียว สอดคล้องกับแนวคิดในคดี 1109/2567 ที่ให้โอกาสผู้กระทำผิดกลับตัว

✅ 4) คำพิพากษาศาลฎีกา 7663/2548 — ความรุนแรงในครอบครัว + บันดาลโทสะ + รอการลงโทษ

ในคดีนี้ จำเลยซึ่งเป็นอาจารย์ได้ก่อเหตุทำร้ายภริยาของตนเอง เนื่องจากเกิดอารมณ์โกรธฉับพลันหลังพบพฤติการณ์หรือพฤติกรรมที่ทำให้รู้สึกเสียใจและอับอาย ศาลรับฟังว่าเป็นความรุนแรงในครอบครัวที่เกิดจากความขัดแย้งภายในมิได้มีการเตรียมการหรือวางแผนเป็นระบบ เสียงร้องและเหตุการณ์ในบ้านทำให้เห็นได้ว่าการตอบโต้ของจำเลยเป็นไปโดยสัญชาตญาณภายใต้ควาโกรธรุนแรงที่เกิดขึ้นทันที

แม้เหตุการณ์จะร้ายแรง แต่ศาลเห็นว่าจำเลยไม่ใช่อาชญากรที่มีพฤติการณ์อันตรายต่อสังคม และมีสถานะทางวิชาชีพที่ดีมาก่อน ประกอบกับมีเหตุบรรเทาโทษอื่น ๆ ศาลจึงให้รอการลงโทษภายใต้การคุมความประพฤติ พร้อมกำชับให้ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี คดีนี้สะท้อนหลักการสำคัญคือ แม้จะเป็นเหตุรุนแรงแต่เมื่อมีสาเหตุอารมณ์ฉับพลันและไม่มีเจตนาเตรียมการมาก่อน ศาลก็สามารถใช้ดุลพินิจให้โอกาสกลับตัวได้

เชื่อมโยงกับฎีกา 1109/2567 ตรงที่ ทั้งสองคดีเน้นการประเมินสภาพจิตใจของจำเลยในขณะก่อเหตุและโอกาสกลับตัวเป็นคนดีของสังคม

✅ 5) คำพิพากษาศาลฎีกา 6479/2537 — กรณีไม่เข้าเกณฑ์บันดาลโทสะ (เพื่อเทียบเคียง)

ในคดีนี้ ศาลฎีกายืนยันหลักสำคัญว่า การอ้างเหตุบันดาลโทสะต้องมีองค์ประกอบครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องเป็นการกระทำที่ตั้งอยู่บนฐานของเจตนา ไม่ใช่ความประมาท ผู้กระทำต้องอยู่ในสภาพจิตใจที่เดือดพล่านจากการถูกข่มเหงร้ายแรงโดยไม่เป็นธรรม และตอบโต้ในทันที แต่ข้อเท็จจริงของคดีนี้กลับพบว่า การกระทำของจำเลยเป็นลักษณะขับรถโดยประมาทแล้วทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ ไม่ใช่การตอบโต้ในสภาพอารมณ์โกรธฉับพลันหรือมีเจตนาในขณะนั้น ดังนั้นจึงไม่สามารถถือว่าเข้าองค์ประกอบของมาตรา 72 ได้

คดีนี้จึงเป็นตัวอย่างที่ดีในการเทียบเคียงว่า หากเหตุการณ์ไม่ได้เกิดจากอารมณ์โกรธฉับพลันต่อพฤติการณ์ยั่วยุ การใช้มาตรา 72 จะไม่ชอบ แม้จำเลยจะอ้างว่าตนมีอารมณ์หรือความรู้สึกกดดันก็ตาม ประเด็นนี้ช่วยให้ผู้ศึกษากฎหมายเข้าใจว่า เงื่อนไขเรื่อง “ความโกรธฉับพลัน” และ “เหตุยั่วยุไม่เป็นธรรม” ต้องพิสูจน์ได้ชัดเจน ไม่สามารถอ้างลอย ๆ ได้

 

คำพิพากษาศาลฎีกา 1109/2567, การกระทำโดยบันดาลโทสะ, ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72, สิทธิยกประเด็นในชั้นอุทธรณ์, หลักกฎหมายอาญาเรื่องการยั่วยุ, การพิจารณาคดีตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง, โทษสถานเบาและการรอการลงโทษ,

 




เกี่ยวกับวิธีพิจารณาความอาญา

การนับโทษจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดและข้อจำกัดมาตรา 190(ฎีกา 322/2567)
คดีไม่ไปรายงานตัวทหาร ศาลฎีกายกฟ้องแม้จำเลยรับสารภาพเหตุไร้เจตนา(ฎีกาที่ 532/2567)
อำนาจฟ้องละเมิดกรณีเพลิงไหม้จากงานรัฐ(ฎีกา 613/2567)
สิทธิผู้เสียหายในคดีทรัพย์มรดกและการเข้าร่วมเป็นโจทก์ร่วม(ฎีกา 633/2567)
คดีแข่งรถในทาง การห้ามฎีกาข้อเท็จจริง(ฎีกาที่ 781/2567)
ยอมความคดีแพ่งไม่ทำให้คดีอาญาระงับ,ป.วิ.อ. ม.39(2), (ฎีกา 3681/2568)
คดีองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ & โรแมนซ์สแกม (ฎีกา 1207/2567)
สิทธิคดีอาญาระงับ, สิทธิคดีแพ่งหลังจำเลยถึงแก่ความตาย (ฎีกา 2232/2567)
ฟ้องต่างข้อเท็จจริงสาระสำคัญ ยกฟ้องจำเลยฐานยักยอก,ป.วิ.อ. มาตรา 158, (ฎีกา 2427/2567)
คดีอั้งยี่ & สมคบก่อการร้าย (พยานหลักฐาน)-ฎีกา 6820/2567
คดีอั้งยี่ & สมคบก่อการร้าย (พยานหลักฐาน)ป.วิ.อ. มาตรา 84 (ฎีกา 6820/2567)
(ฎีกา 324/2568) สิทธิฟ้อง, โจทก์ร่วม, อุบัติเหตุจราจร
(ฎีกาที่ 3462/2567): อำนาจฟ้องของพนักงานอัยการในคดีทุจริตและฟอกเงิน
(ฎีกาที่ 3672/2567): การทำร้ายร่างกายและการตีความการเพิ่มโทษในชั้นอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4136/2567: คดีฆ่าผู้อื่นโดยใช้อาวุธปืน และประเด็นความชอบด้วยกฎหมายในคดีส่วนแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4149/2567 การลักทรัพย์นายจ้างหลายกรรม และการวินิจฉัยความชอบด้วยกฎหมายของฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4317/2567: คดีลักทรัพย์-ขาดเจตนาทุจริต แต่ยังมีหน้าที่คืนทรัพย์หรือใช้ราคาแทน
ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา – ความน่าเชื่อถือของประจักษ์พยานกับบทบาทของพนักงานสอบสวน(ฎีกาที่ 8082/2567)
อำนาจฟ้องในคดีอาญาเมื่อสอบสวนโดยตำรวจผิดพื้นที่: วิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 345/2568
การถอนฟ้องคดีอาญาแผ่นดิน, ความผิดฐานฟ้องเท็จ, มูลหนี้ขัดต่อความสงบเรียบร้อย
โจทก์ร่วมในคดีอาญา, การใช้สิทธิผู้เสียหายแทนโจทก์ร่วมเดิม, การสืบสิทธิในคดีอาญา,
แก้ไขฟ้องคดีอาญา ป.วิ.อ. มาตรา 163, อำนาจพนักงานอัยการในคดีทุจริต, บทบาทอัยการสูงสุดตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการ(ฎีกา5234/2566)
ศาลลงโทษปรับต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด, อุทธรณ์คำพิพากษา, ขอให้เพิ่มโทษ,
อำนาจฟ้อง, คู่ความในคดี, ข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย,
การพิจารณาคดีไต่สวนมูลฟ้อง, คำสั่งศาลที่เด็ดขาด,
ถ้อยคำรับสารภาพว่าตนได้กระทำความผิดห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน
อำนาจพนักงานสอบสวน & ฎีกาต้องห้ามข้อเท็จจริงคดีอาวุธปืน (ฎีกา 1016/2567)
ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอค่าสินไหมทดแทนตาม มาตรา 44/1
ฎีกาขอให้ลดมาตราส่วนโทษเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม
แก้ไขโทษของความผิดถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อยห้ามฎีกา
ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
อำนาจสอบสวนของกองปราบปราม
คำให้การชั้นสอบสวนแทนการสืบพยานในชั้นพิจารณา
ลดมาตราส่วนโทษในความผิดต้องห้ามฎีกา
ฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิด
คำรับสารภาพมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน
อำนาจฟ้องในข้อหาความผิดตามมาตรา 157
พยานหลักฐานชนิดที่เกิดขึ้นโดยไม่ชอบ
การกระทำหลายอย่างแต่ละอย่างเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง
ฟ้องร้องคดีในลักษณะสมยอมสิทธินำคดีอาญามาฟ้องไม่ระงับ
ผู้เสียหายไม่มาเบิกความเป็นพยานในศาล
ผู้แทนโดยชอบธรรมมีผลประโยชน์ขัดกันกับผู้เสียหาย(บุตร)
ความรับผิดในทางแพ่ง-ผู้เสียหายโดยนิตินัย
การบรรยายฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิด
กรณีไม่ปรากฏลายมือชื่อผู้เรียง-พิมพ์คำฟ้องโจทก์
คดีราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญายื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายค้นได้
ศาลชั้นต้นยกอายุความมายกคำร้อง ม.44/1 ไม่ชอบ
ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา | เรียกค่าเสียหาย
นายแพทย์กระทำอนาจารคนไข้อายุกว่า 15 ปี จำคุก 3 ปี ปรับ 20,000 บาท
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลกำหนดโทษใหม่แทนการยื่นอุทธรณ์
ผู้ต้องหายื่นคำร้องขอให้เพิกถอนหมายจับ ยกคำร้อง ผู้ต้องหาอุทธรณ์
โจทก์ขอให้ลงโทษตามกฎหมายเดิมซึ่งถูกยกเลิกไปแล้ว
หลอกลวงผู้เสียหายให้ขายดาวน์รถยนต์
ผู้เช่าซื้อมีอำนาจแจ้งความดำเนินคดีฐานยักยอกได้
ไม่มีเจตนาเล่นการพนันด้วยจึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย
บุคคลล้มละลายมีอำนาจฟ้องคดีอาญา
พนักงานสอบสวนมิได้ขอฝากขังต่อศาลภายในกำหนด
ไม่ได้บรรยายฟ้องว่ากระทำโดยพลาด
ฟ้องคดีสมยอมสิทธิฟ้องคดีอาญาไม่ระงับ
ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
แก้ไขคำพิพากษาที่อ่านแล้ว
จำคุกไม่เกิน5ปีห้ามคู่ความฎีกาข้อเท็จจริง
ความผิดตาม พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์
จำเลยให้การรับสารภาพแต่ศาลอุทธรณ์ศาลฎีกายกฟ้อง
ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาห้ามอุทธรณ์
การกระทำอันเป็นความผิดรวมอยู่ในฟ้อง
ฟ้องที่บรรยายไม่ครบองค์ประกอบของความผิด
พิพากษาถึงข้อเท็จจริงที่มิได้กล่าวในฟ้อง
เพื่อการอนาจารเป็นเจตนาพิเศษ | การบรรยายฟ้อง
ของกลางที่พนักงานสอบสวนยึดไว้ | คดีถึงที่สุด
ไม่สามารถนำผู้เสียหายมาเบิกความต่อศาล
ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบอกเล่า
คำสั่งเกี่ยวกับการปล่อยตัวชั่วคราวห้ามอุทธรณ์
มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา
อำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่มิได้อุทธรณ์-ฎีกา
ฎีกาไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์-ฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ฟ้องที่ขาดข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด
สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป
คดีขาดอายุความจึงชอบที่ศาลจะยกฟ้อง
คดีถึงที่สุดเมื่อครบกำหนดยื่นฎีกา
การพิจารณาคดีลับหลังจำเลย
ต้องห้ามฎีกาเพราะไม่ได้อุทธรณ์ไว้
ขออนุญาตฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
แก้ไขเล็กน้อย-จำคุกไม่เกินห้าปีห้ามฎีกา
กรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
เป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม
โจทก์ฟ้องผิดวันจำเลยหลงต่อสู้
โต้แย้งดุลพิจนิจในการรับฟังพยานหลักฐาน