
| บันดาลโทสะลดโทษคดีทำร้ายร่างกาย & อำนาจศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัย (ฎีกา 1109/2567)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการตีความเรื่องสิทธิของจำเลยที่จะอ้างเหตุบันดาลโทสะ แม้จะมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในชั้นศาลชั้นต้น โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ศาลอุทธรณ์จึงมีหน้าที่พิจารณาวินิจฉัย เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยถูกเตะหน้าอย่างไม่เป็นธรรมจนเกิดอารมณ์โกรธฉับพลัน การกระทำจึงเป็นการทำร้ายร่างกายโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ศาลใช้ดุลพินิจลดโทษ และให้รอการลงโทษ เพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี สรุปข้อเท็จจริงของคดี • จำเลยกับผู้เสียหายและเพื่อน ๆ ดื่มสุราอยู่บริเวณหน้าบ้านผู้เสียหาย • ก่อนเกิดเหตุ 1 วัน จำเลยใช้บุหรี่จี้เพื่อนชื่อสมศักดิ์ • วันเกิดเหตุผู้เสียหายเตะหน้าจำเลย 1 ครั้งต่อหน้าคนจำนวนมาก • จำเลยกลับบ้าน ห่างประมาณ 600 เมตร และกลับมาพร้อมมีดยาว 40 ซม. • ทำร้ายผู้เสียหาย 1 ครั้งที่ศีรษะ บาดแผลขนาด 7.5 ซม. รักษาประมาณ 7 วัน • ศาลชั้นต้นลงโทษฐานพยายามฆ่า • ศาลอุทธรณ์ปรับฐานเป็นทำร้ายร่างกาย ม.295 • จำเลยฎีกาอ้างเหตุบันดาลโทสะ ประเด็นสำคัญที่สุดของคดีนี้คือ การตีความเรื่อง “การกระทำโดยบันดาลโทสะ” และอำนาจ/หน้าที่ศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยประเด็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ✅ กฎหมายที่เป็นแก่นของคดีนี้ 1. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 – บันดาลโทสะ 2. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 – ทำร้ายร่างกาย 3. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 – ลดโทษ 4. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 – ศาลต้องยกปัญหากฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยขึ้นวินิจฉัย 5. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 225 – อำนาจศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยปัญหากฎหมาย จุดแก่นหลักคือการยืนยันว่า แม้จำเลยจะไม่ได้ยกประเด็นบันดาลโทสะในชั้นต้น แต่เพราะเป็นปัญหากฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัย ✅ ประเด็นสำคัญและแก่นสำคัญของคดี พร้อมสรุปขยายสั้น ๆ 1) บันดาลโทสะ มาตรา 72 จำเลยถูกผู้เสียหายเตะหน้าอย่างไม่เป็นธรรมต่อหน้าคนอื่น เกิดความอับอายและโกรธทันทีทันใด ศาลถือว่าอารมณ์ยังไม่สงบลงเมื่อก่อเหตุ จึงเข้าเกณฑ์บันดาลโทสะ ลดโทษได้ 2) ปัญหาความสงบเรียบร้อยใน ป.วิ.อาญา แม้ไม่ได้ยกในชั้นต้น แต่เพราะเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ ต้องวินิจฉัย หากไม่ทำ ถือว่าไม่ชอบตามกฎหมาย 3) สิทธิจำเลยในการต่อสู้คดีชั้นอุทธรณ์ จำเลยยกเหตุบันดาลโทสะในชั้นอุทธรณ์ได้ ศาลย้ำหลักว่า หากเป็นประเด็นที่จะเป็นคุณแก่จำเลยและเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ต้องรับพิจารณาเสมอ 4) ความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์และการกระทำ ศาลพิจารณาพฤติการณ์ “โทสะไม่ขาดตอน” แม้จำเลยกลับบ้านไปหยิบมีด แต่ระยะเวลาและระยะทางไม่มาก ยังอยู่ในสภาวะอารมณ์เดิม จึงยังถือเป็นการบันดาลโทสะ 5) นโยบายรอการลงโทษเพื่อฟื้นฟูผู้กระทำ ศาลใช้ดุลพินิจเห็นว่าแผลไม่รุนแรง เกิดเหตุเพราะอารมณ์เฉพาะหน้า จำเลยไม่เคยต้องโทษ และถูกขังแล้วบางส่วน จึงให้โอกาสกลับตัวและรอการลงโทษ 🎯 สรุปใจความสำคัญที่สุด คดีนี้ยืนยันหลักสำคัญว่า “บันดาลโทสะ” สามารถอ้างได้แม้ไม่ได้ยกในชั้นต้น หากเป็นประเด็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัย ไม่ทำถือว่าไม่ชอบ คำวินิจฉัยของศาลฎีกา ประเด็นที่ 1: ศาลอุทธรณ์ต้องพิจารณาหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า • แม้จำเลยไม่ได้ยกประเด็นบันดาลโทสะในชั้นต้น • แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย (ม.195, ม.225 ป.วิ.อาญา) • จำเลยจึงสามารถยกขึ้นได้ในชั้นอุทธรณ์ • ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัย ถือว่าไม่ชอบ ประเด็นที่ 2: เป็นบันดาลโทสะหรือไม่ ศาลเห็นว่า • ผู้เสียหายเตะหน้าจำเลยโดยไม่เป็นธรรม • ทำให้จำเลยอับอายต่อหน้าเพื่อน • จำเลยกลับบ้านไม่นาน โทสะยังไม่ขาดตอน • เข้าหลัก ประมวลกฎหมายอาญา ม.72 (บันดาลโทสะ) ประเด็นที่ 3: การลงโทษ • ลักษณะบาดแผลไม่ร้ายแรงถึงชีวิต • จำเลยไม่เคยมีประวัติอาชญากรรม • ถูกคุมขังระหว่างฎีกาแล้ว 2 วัน ผล: • ลดโทษเป็นฐานทำร้ายร่างกายโดยบันดาลโทสะ ม.295 ประกอบ ม.72 • จำคุก 8 เดือน รอการลงโทษ 2 ปี • ปรับรวม 10,500 บาท • รายงานตัวคุมประพฤติทุก 3 เดือน 1 ปี • ทำสาธารณประโยชน์ 24 ชม. วิเคราะห์กฎหมาย ความสำคัญของมาตรา 72 บทบังคับเรื่องบันดาลโทสะ มาตรา 72 ใช้ในกรณีที่ผู้กระทำถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงโดยไม่เป็นธรรม จนเกิดความโกรธทันทีทันใด กรณีนี้ ผู้เสียหายเตะหน้าแบบไม่สมควร ทำให้จำเลยอายและโกรธรุนแรง ศาลจึงรับฟัง สิทธิจำเลยยกประเด็นใหม่ในชั้นอุทธรณ์ หลักป.วิ.อาญา ม.195 วรรคสอง + ม.225 ทำให้จำเลยยกเหตุยกเว้นโทษในชั้นอุทธรณ์ได้ หากเป็นเรื่องความสงบเรียบร้อยของรัฐ หลักรอการลงโทษตามนโยบายยุติธรรมเชิงฟื้นฟู ศาลให้โอกาสกลับตัวเพราะเป็นสถานการณ์เฉพาะ ไม่ใช่อาชญากรโดยสันดาน บทสรุปข้อคิดทางกฎหมาย • หากมีเหตุยกเว้นโทษหรือบรรเทาโทษ ควรยกทุกชั้นศาล • ศาลอุทธรณ์ต้องพิจารณาปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยเสมอ • เหตุบันดาลโทสะต้องเกิดจากการข่มเหงรุนแรงโดยไม่เป็นธรรม และต้องไม่ขาดตอนทางอารมณ์ • ระบบยุติธรรมยังมุ่งเน้นให้โอกาสผู้กระทำผิดกลับตัว หากไม่ใช่อาชญากรอันตราย IRAC แบบขยาย Issue (ประเด็น) จำเลยอ้างว่ากระทำโดยบันดาลโทสะ แม้ไม่ยกในชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัยหรือไม่ และจำเลยเข้าเกณฑ์บันดาลโทสะหรือไม่ Rule (กฎหมายที่เกี่ยวข้อง) • มาตรา 72 ป.อาญา (บันดาลโทสะ) • มาตรา 295 ป.อาญา (ทำร้ายร่างกาย) • มาตรา 78 ป.อาญา (ลดโทษ) • มาตรา 195, 225 ป.วิ.อาญา (สิทธิต่อสู้คดี และปัญหาความสงบเรียบร้อย) • มาตรา 56 ป.อาญา (คุมประพฤติ) Application (การประยุกต์ใช้) • ผู้เสียหายเตะหน้าจำเลยโดยไม่เป็นธรรม • จำเลยกลับบ้านไม่ไกล โทสะยังไม่ขาดตอน • ศาลอุทธรณ์ละเลยไม่วินิจฉัย ทั้งที่เป็นประเด็นกฎหมายสำคัญ Conclusion (ข้อสรุป) ศาลฎีกาพิพากษาว่าเข้าหลักบันดาลโทสะ ลดโทษ รอการลงโทษ และกำหนดมาตรการคุมประพฤติ แนวคำถาม - ธงคำตอบ ✅ ประเด็นคำถามที่ 1 กรณีข้อเท็จจริงที่จำเลยถูกผู้เสียหายเตะหน้าก่อนต่อหน้าผู้อื่นจนรู้สึกอับอาย โกรธแค้นอย่างรุนแรง และจำเลยเดินทางกลับบ้านซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 600 เมตรเพื่อหยิบอาวุธมีดแล้วกลับมาในทันทีในช่วงเวลาสั้น ๆ ในขณะที่อารมณ์ยังไม่สงบ แล้วใช้มีดฟันศีรษะผู้เสียหายหนึ่งครั้งจนเกิดบาดแผลฉีกขาดความยาวประมาณ 7.5 เซนติเมตร ใช้เวลารักษาประมาณ 7 วัน และศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น แต่จำเลยฎีกาอ้างว่าเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ให้ศาลพิจารณา จะต้องวินิจฉัยอย่างไร และการกระทำของจำเลยเข้าหลักบันดาลโทสะหรือไม่เพียงใด ✅ คำตอบ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้เสียหายเป็นฝ่ายเริ่มก่อเหตุโดยเตะหน้าจำเลยต่อหน้าบุคคลจำนวนมาก ทำให้จำเลยรู้สึกเจ็บแค้น อับอาย และเสียศักดิ์ศรี ซึ่งเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างรุนแรงโดยไม่เป็นธรรม เมื่อจำเลยเดินทางกลับบ้านที่อยู่ห่างเพียง 600 เมตร และกลับมาภายในระยะเวลาไม่นานเพื่อหยิบอาวุธมากระทำต่อผู้เสียหาย แสดงให้เห็นว่าความโกรธของจำเลยยังต่อเนื่องไม่ขาดตอน ไม่ได้เกิดจากการไตร่ตรองไว้ก่อน และการใช้มีดฟันเพียงครั้งเดียวที่ศีรษะของผู้เสียหายส่งผลให้เกิดบาดแผลซึ่งไม่ถึงขั้นเป็นอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต ดังนั้น การกระทำของจำเลยเข้าลักษณะของการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 อันเกิดจากการถูกผู้เสียหายข่มเหงอย่างร้ายแรงโดยไม่เป็นธรรมทันทีทันใด ศาลสูงจึงมีอำนาจแก้ไขให้ต้องด้วยบทกฎหมายที่ถูกต้องและเป็นคุณแก่จำเลย โดยลงโทษฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นตามมาตรา 295 ประกอบมาตรา 72 และพิจารณารอการลงโทษเพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัว ✅ ประเด็นคำถามที่ 2 ในกรณีที่จำเลยมิได้ยกประเด็น “การกระทำโดยบันดาลโทสะ” ไว้ในคำให้การชั้นศาลชั้นต้นทำให้ศาลชั้นต้นไม่ได้วินิจฉัย แต่จำเลยมายกประเด็นดังกล่าวในชั้นอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยโดยอ้างว่าจำเลยมิได้ยกข้อโต้แย้งไว้ในชั้นต้นนั้น ศาลอุทธรณ์กระทำชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และมีหลักกฎหมายรองรับอย่างไร ✅ คำตอบ การพิจารณาคดีอาญามีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้ความจริง และเพื่อพิจารณาว่าควรลงโทษหรือยกฟ้องจำเลย หรือมีเหตุให้ยกเว้นหรือบรรเทาโทษหรือไม่ แม้จำเลยจะไม่ได้ยกประเด็น “บันดาลโทสะ” ในชั้นศาลชั้นต้น แต่เมื่อเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการยกเว้นหรือลดหย่อนโทษ ซึ่งถือเป็นประเด็นเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 จำเลยย่อมมีสิทธิยกขึ้นอ้างได้ในชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยประเด็นดังกล่าว หากศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย ย่อมถือว่าเป็นการกระทำไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็นการปฏิเสธการวินิจฉัยประเด็นสำคัญที่อาจเป็นคุณแก่จำเลย และเป็นประเด็นที่ศาลต้องยกขึ้นพิจารณาเองได้เพื่อความยุติธรรม ศาลฎีกาจึงแก้ไขโดยรับวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวเสียเอง และเห็นว่าจำเลยมีเหตุบันดาลโทสะ สมควรลดโทษและรอการลงโทษตามดุลพินิจของศาล 🎯 สรุปสาระสำคัญให้ผู้เรียนกฎหมาย • แม้มิได้ยกในชั้นต้น หากเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย → ยกในชั้นอุทธรณ์ได้ • การบันดาลโทสะวัดจาก ✔ ความรุนแรงของการข่มเหง ✔ ความไม่เป็นธรรม ✔ อารมณ์ต่อเนื่องไม่ขาดตอน คดีนี้จึงเป็นตัวอย่างสำคัญของ สิทธิจำเลย → หลักความสงบเรียบร้อย → การตีความบันดาลโทสะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1109/2567 แม้จำเลยจะมิได้ยกปัญหาเรื่องการกระทำโดยบันดาลโทสะขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ ทำให้ศาลชั้นต้นมิได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย แต่เมื่อคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 6 จำเลยย่อมมีสิทธิยกเรื่องการกระทำโดยบันดาลโทสะขึ้นอ้างเพื่อให้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยได้ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่รับวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้จำเลยจึงไม่ชอบ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 91, 288, 371 ริบอาวุธมีดของกลาง จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควร ส่วนข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 และ 371 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 10 ปี ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 1,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 7 ปี 6 เดือน ส่วนฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควร จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับ 500 บาท รวมจำคุก 7 ปี 6 เดือน และปรับ 500 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบอาวุธมีดของกลาง จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำคุก 1 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 เดือน รวมกับโทษฐานพาอาวุธฯ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วเป็นจำคุก 8 เดือน และปรับ 500 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ก่อนเกิดเหตุ 1 วัน จำเลยใช้บุหรี่จี้ขาของนายสมศักดิ์ เพื่อนของจำเลยและผู้เสียหาย วันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ ผู้เสียหายและนายสมศักดิ์กับเพื่อนอีกหลายคนนั่งดื่มสุราที่พื้นหน้าบ้านของผู้เสียหายตั้งแต่เวลาประมาณ 19 นาฬิกา ต่อมาเวลา 21 นาฬิกา ผู้เสียหายเตะหน้าของจำเลย 1 ครั้ง ครั้นในเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยพาอาวุธมีดปลายแหลมยาวประมาณ 40 เซนติเมตร 1 เล่ม ติดตัวไปบริเวณถนนหน้าบ้านของผู้เสียหาย และใช้อาวุธมีดดังกล่าวฟันศีรษะของผู้เสียหาย 1 ครั้ง มีแผลฉีกขาดขนาด 7.5 เซนติเมตร รักษาด้วยการเย็บบาดแผล ใช้เวลารักษาประมาณ 7 วัน หากไม่มีภาวะแทรกซ้อน ตามรายงานผลการชันสูตรบาดแผล สำหรับความผิดฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควร คู่ความไม่อุทธรณ์ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีเจตนาฆ่ามีเพียงเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำเลยฎีกายอมรับว่ามีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายแต่อ้างว่าจำเลยกระทำไปโดยบันดาลโทสะ ซึ่งศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัย และศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่รับวินิจฉัยตามที่จำเลยยกขึ้นอุทธรณ์ คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อแรกของจำเลยว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่รับวินิจฉัยปัญหาที่จำเลยอุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะหรือไม่นั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า การพิจารณาคดีอาญาเป็นการพิจารณาให้ได้ความจริงเพื่อพิพากษาลงโทษ หรือยกฟ้อง หรือวินิจฉัยว่ามีเหตุยกเว้นโทษ หรือลดหย่อนผ่อนโทษให้จำเลยหรือไม่ อย่างไร การพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพหรือปฏิเสธ หากมีกรณีที่ศาลพิจารณาได้ความจริงในทางใด ศาลก็มีอำนาจยกบทกฎหมายที่ต้องด้วยกรณีนั้นขึ้นปรับแก่ข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความนั้นได้ หากศาลมิได้ยกข้อกฎหมายข้อใดขึ้นปรับแก่ข้อเท็จจริงเรื่องใดซึ่งจำเลยเห็นว่าควรที่ศาลสูงจะได้พิจารณาวินิจฉัยเพราะอาจจะเป็นคุณแก่ตน จำเลยย่อมมีสิทธิยกขึ้นอุทธรณ์หรือฎีกาได้ คดีนี้แม้จำเลยจะมิได้ยกปัญหาเรื่องการกระทำโดยบันดาลโทสะขึ้นต่อสู้ในคำให้การที่ศาลบันทึกหรือที่จำเลยยื่น ทำให้ศาลชั้นต้นมิได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย ต่อมาเมื่อการพิจารณาขึ้นสู่ศาลชั้นอุทธรณ์ จำเลยย่อมมีสิทธิยกเรื่องการกระทำโดยบันดาลโทสะขึ้นอ้างเพื่อให้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยได้ โดยเฉพาะเมื่อคู่ความได้นำสืบพยานหลักฐานจนสิ้นกระแสความแล้ว เพราะย่อมเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ด้วย การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่รับวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้จำเลยจึงไม่ชอบ และเมื่อจำเลยได้ฎีกาปัญหานี้มาด้วยแล้ว จึงเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวน ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยต่อไปว่า การที่จำเลยทำร้ายผู้เสียหายเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะหรือไม่ เห็นว่า จำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองกับนายสมศักดิ์ ไม่เกี่ยวกับผู้เสียหาย การมาปรากฏตัวที่บ้านของผู้เสียหายก็มิใช่ว่าจะไม่มีเหตุสมควร เนื่องจากมีการเลี้ยงสังสรรค์กัน แม้ก่อนเกิดเหตุถูกจำเลยฟัน จำเลยจะพูดหรือกระทำการใดอันมีลักษณะขัดหูขัดตาผู้เสียหาย หรือแม้จะเป็นเพราะไม่อยากให้จำเลยอยู่ที่บ้านของผู้เสียหาย ก็ไม่ใช่เหตุที่ผู้เสียหายจะทำร้ายจำเลยได้ โดยเฉพาะด้วยการเตะหน้าของจำเลย ประกอบกับนายสมศักดิ์ก็มิได้แสดงกิริยาอย่างใดที่เห็นได้ว่าโกรธหรือไม่พอใจการกระทำหรือการพูดของจำเลย ผู้เสียหายก็ยอมรับว่าเห็นจำเลยนั่งกอดนายสมศักดิ์อยู่ข้าง ๆ การกระทำของผู้เสียหายย่อมทำให้จำเลยเจ็บแค้นและอาย อันมีลักษณะเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม และการกระทำต่อผู้เสียหายต้องเป็นการกระทำในขณะนั้น ซึ่งข้อเท็จจริงได้ความว่าหลังจากถูกเตะหน้า จำเลยก็ออกจากบ้านของผู้เสียหาย ขับรถจักรยานยนต์กลับไปที่บ้านของจำเลยที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 600 เมตร ซึ่งเห็นได้ว่าไม่ไกลและใช้ระยะเวลาในการเดินทางไปกลับไม่นานในขณะที่โทสะของจำเลยยังพลุ่งพล่านอยู่ไม่ขาดตอนจากเหตุการณ์ที่ถูกผู้เสียหายเตะหน้า การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อสุดท้ายว่า มีเหตุสมควรลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยหรือไม่ เห็นว่า เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะดังวินิจฉัยมาแล้ว และการที่จำเลยฟันผู้เสียหายก็เพราะถูกเตะหน้าก่อน ทั้งที่สาเหตุก็มิได้เกี่ยวข้องกับผู้เสียหายและเป็นการทะเลาะกันระหว่างเพื่อน ลักษณะบาดแผลก็ไม่เป็นอันตรายร้ายแรง จำเลยเองก็ถูกขังระหว่างฎีกา 2 วัน ซึ่งน่าจะพอทำให้จำเลยรู้สำนึกและเข็ดหลาบ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยรับโทษจำคุกมาก่อน จึงมีเหตุอันควรรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยเพื่อให้จำเลยมีโอกาสประกอบอาชีพเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว และเห็นสมควรลงโทษปรับอีกสถานหนึ่งด้วยในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้นโดยบันดาลโทสะ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบมาตรา 72 ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้นโดยบันดาลโทสะ ให้ปรับ 15,000 บาท อีกสถานหนึ่ง ลดโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับ 10,000 บาท เมื่อรวมกับโทษจำคุก 8 เดือนในความผิดฐานดังกล่าวและโทษปรับ 500 บาท ในความผิดฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควรตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 และศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุก 8 เดือน และปรับ 10,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟัง ให้คุมความประพฤติของจำเลยมีกำหนด 1 ปี และให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือนต่อครั้งภายในกำหนดเวลาดังกล่าว กับให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรมีกำหนด 24 ชั่วโมงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง ✅ 1) คำพิพากษาศาลฎีกา 1704/2518 — บันดาลโทสะจากการถูกข่มเหงต่อหน้าคนอื่น ในคดีนี้ จำเลยเกิดมีเรื่องทะเลาะกับพี่สาวของผู้เสียหาย โดยพี่สาวผู้เสียหายได้ด่าทอและยั่วยุจำเลยต่อหน้าคนจำนวนหนึ่ง ผู้เสียหายอยู่ร่วมในเหตุการณ์และมีพฤติการณ์สนับสนุนหรือไม่ห้ามปรามพี่สาว ทำให้จำเลยรู้สึกถูกข่มเหงดูหมิ่น และเกิดโทสะฉับพลัน เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นต่อหน้าเพื่อนบ้านและคนที่รู้จักกัน การดูหมิ่นเช่นนี้ย่อมกระทบต่อศักดิ์ศรีและความรู้สึกของจำเลย จึงคว้ามีดไล่ฟันทั้งพี่สาวและผู้เสียหาย ศาลพิเคราะห์ว่า แม้ผู้เสียหายจะไม่ได้เป็นคนด่าจำเลยโดยตรง แต่การอยู่ร่วมในเหตุการณ์และมิได้ห้ามเพื่อนร่วมทะเลาะก็ถือเป็นพฤติการณ์สนับสนุนให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงได้ การตอบโต้ในขณะโทสะยังรุนแรงอยู่จึงไม่ใช่การคิดอ่านวางแผนไว้ก่อน แต่เป็นผลจากการถูกยั่วยุอย่างรุนแรงและฉับพลัน ศาลฎีกาจึงเห็นว่าเป็นลักษณะของ การกระทำโดยบันดาลโทสะ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 และสามารถลดโทษลงจากโทษปกติได้ คดีนี้ช่วยแสดงหลักความเข้าใจว่าการยั่วยุทางวาจาและการทำให้เสียหน้าต่อหน้าบุคคลอื่นสามารถถือเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงที่ “มีเหตุอันไม่เป็นธรรม” ทำให้จำเลยอยู่ในสภาวะอารมณ์ที่ควบคุมตนเองได้ยาก ซึ่งตรงกับหลักในฎีกา 1109/2567 อย่างยิ่ง ✅ 2) คำพิพากษาศาลฎีกา 11817/2556 — ฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะ / ลดโทษและรอการลงโทษ ในคำพิพากษานี้ จำเลยถูกฟ้องฐานฆ่าผู้อื่น โดยมีสาเหตุเริ่มต้นจากการทะเลาะวิวาทและถูกยั่วยุอย่างรุนแรง จำเลยอยู่ในภาวะอารมณ์ที่พลุ่งพล่านและไม่สามารถยับยั้งตนเองได้ทันที ศาลพิจารณาพฤติการณ์แห่งคดีพบว่าเป็นผลสืบเนื่องจากการถูกกระทำก่อน และจำเลยมีภาวะเครียดฉับพลันจากเหตุการณ์ตรงหน้า การก่อเหตุจึงเป็นลักษณะ บันดาลโทสะ ไม่ใช่เจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองหรือเตรียมการ ศาลจึงนำบทบัญญัติมาตรา 72 มาปรับลดโทษ และเมื่อประกอบกับการที่จำเลยให้การรับสารภาพและให้ความร่วมมือในการดำเนินคดี ทำให้มีเหตุบรรเทาโทษตามมาตรา 78 ผลสุดท้ายศาลใช้ดุลพิจารณาให้รอการลงโทษตามมาตรา 56 เนื่องจากเห็นว่าจำเลยไม่มีพฤติการณ์เป็นอาชญากรโดยสันดาน และการลงโทษจำคุกทันทีอาจไม่เป็นประโยชน์ต่อการกลับตัวเป็นพลเมืองดีของจำเลย การให้โอกาสแก้ไขตนเองจึงเป็นแนวทางที่ศาลเห็นสมควร คดีนี้ชี้ให้เห็นถึงความสอดคล้องกับฎีกา 1109/2567 ในประเด็นการบันดาลโทสะและการใช้ดุลพินิจในการรอการลงโทษแก่ผู้กระทำที่มีพฤติการณ์ไม่น่ากลัวต่อสังคม ✅ 3) คำพิพากษาศาลฎีกา 1350/2563 — อ้างบันดาลโทสะ + โทษปรับ + ดูพฤติการณ์จำเลย ในคำพิพากษานี้ จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและอ้างว่าเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ศาลวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงแม้จะรุนแรง แต่เกิดขึ้นเนื่องจากการทะเลาะกันอย่างฉับพลันในเรื่องส่วนตัวและศักดิ์ศรี ก่อนเกิดเหตุผู้ตายมีการท้าทายและยั่วยุจำเลยอย่างต่อเนื่อง จนจำเลยมีความโกรธอย่างรุนแรงและใช้อาวุธปืนยิง ศาลพิจารณาว่าการตอบโต้เกิดขึ้นในระยะเวลาใกล้เคียงกับเหตุยั่วยุ ไม่ได้เตรียมการมาก่อน ความโกรธยังไม่ทันสงบลง ถือเป็นกรณีบันดาลโทสะ แม้ลักษณะคดีจะรุนแรงกว่าในฎีกา 1109/2567 แต่หลักการที่ศาลใช้คือการพิจารณาประกอบระหว่าง • สภาพจิตใจของจำเลย • เหตุยั่วยุอย่างร้ายแรง • ความไม่ต่อเนื่องของเวลา ซึ่งตรงกับเงื่อนไขในมาตรา 72 นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่น่าสนใจคือ ศาลกำหนดมาตรการลงโทษที่มุ่งฟื้นฟูและบำเพ็ญประโยชน์แก่สังคม ไม่ใช่ลงโทษจำคุกเพียงอย่างเดียว สอดคล้องกับแนวคิดในคดี 1109/2567 ที่ให้โอกาสผู้กระทำผิดกลับตัว ✅ 4) คำพิพากษาศาลฎีกา 7663/2548 — ความรุนแรงในครอบครัว + บันดาลโทสะ + รอการลงโทษ ในคดีนี้ จำเลยซึ่งเป็นอาจารย์ได้ก่อเหตุทำร้ายภริยาของตนเอง เนื่องจากเกิดอารมณ์โกรธฉับพลันหลังพบพฤติการณ์หรือพฤติกรรมที่ทำให้รู้สึกเสียใจและอับอาย ศาลรับฟังว่าเป็นความรุนแรงในครอบครัวที่เกิดจากความขัดแย้งภายในมิได้มีการเตรียมการหรือวางแผนเป็นระบบ เสียงร้องและเหตุการณ์ในบ้านทำให้เห็นได้ว่าการตอบโต้ของจำเลยเป็นไปโดยสัญชาตญาณภายใต้ควาโกรธรุนแรงที่เกิดขึ้นทันที แม้เหตุการณ์จะร้ายแรง แต่ศาลเห็นว่าจำเลยไม่ใช่อาชญากรที่มีพฤติการณ์อันตรายต่อสังคม และมีสถานะทางวิชาชีพที่ดีมาก่อน ประกอบกับมีเหตุบรรเทาโทษอื่น ๆ ศาลจึงให้รอการลงโทษภายใต้การคุมความประพฤติ พร้อมกำชับให้ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี คดีนี้สะท้อนหลักการสำคัญคือ แม้จะเป็นเหตุรุนแรงแต่เมื่อมีสาเหตุอารมณ์ฉับพลันและไม่มีเจตนาเตรียมการมาก่อน ศาลก็สามารถใช้ดุลพินิจให้โอกาสกลับตัวได้ เชื่อมโยงกับฎีกา 1109/2567 ตรงที่ ทั้งสองคดีเน้นการประเมินสภาพจิตใจของจำเลยในขณะก่อเหตุและโอกาสกลับตัวเป็นคนดีของสังคม ✅ 5) คำพิพากษาศาลฎีกา 6479/2537 — กรณีไม่เข้าเกณฑ์บันดาลโทสะ (เพื่อเทียบเคียง) ในคดีนี้ ศาลฎีกายืนยันหลักสำคัญว่า การอ้างเหตุบันดาลโทสะต้องมีองค์ประกอบครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องเป็นการกระทำที่ตั้งอยู่บนฐานของเจตนา ไม่ใช่ความประมาท ผู้กระทำต้องอยู่ในสภาพจิตใจที่เดือดพล่านจากการถูกข่มเหงร้ายแรงโดยไม่เป็นธรรม และตอบโต้ในทันที แต่ข้อเท็จจริงของคดีนี้กลับพบว่า การกระทำของจำเลยเป็นลักษณะขับรถโดยประมาทแล้วทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ ไม่ใช่การตอบโต้ในสภาพอารมณ์โกรธฉับพลันหรือมีเจตนาในขณะนั้น ดังนั้นจึงไม่สามารถถือว่าเข้าองค์ประกอบของมาตรา 72 ได้ คดีนี้จึงเป็นตัวอย่างที่ดีในการเทียบเคียงว่า หากเหตุการณ์ไม่ได้เกิดจากอารมณ์โกรธฉับพลันต่อพฤติการณ์ยั่วยุ การใช้มาตรา 72 จะไม่ชอบ แม้จำเลยจะอ้างว่าตนมีอารมณ์หรือความรู้สึกกดดันก็ตาม ประเด็นนี้ช่วยให้ผู้ศึกษากฎหมายเข้าใจว่า เงื่อนไขเรื่อง “ความโกรธฉับพลัน” และ “เหตุยั่วยุไม่เป็นธรรม” ต้องพิสูจน์ได้ชัดเจน ไม่สามารถอ้างลอย ๆ ได้
|






.png)