
| คดีชักชวนเล่นพนันออนไลน์ กรรมเดียวหลายบท ไม่รอการลงโทษ(ฎีกา 910/2567)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการร่วมกันโฆษณาและชักชวนให้ประชาชนเล่นการพนันออนไลน์หลายประเภทผ่านโซเชียลแพลตฟอร์ม เช่น ไลน์และเฟซบุ๊ก ศาลวินิจฉัยว่า แม้ในฟ้องมีการพนันหลายรูปแบบแต่เมื่อไม่ระบุแยกเป็นแต่ละกรรม และไม่อ้างมาตรา 91 จึงถือเป็น “กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท” ตาม ป.อ. มาตรา 90 อีกทั้งผู้ต้องหามีลักษณะดำเนินการเป็นเครือข่ายพนันออนไลน์ขนาดใหญ่ ศาลจึงไม่รอการลงโทษ แม้จำเลยจะรับสารภาพก็ตาม ภาพรวมคดี จำเลย 16 คนถูกกล่าวหาโฆษณาและชักชวนให้ผู้คนเข้าร่วมเล่นพนันออนไลน์หลายประเภท เช่น บาคาร่า สล็อต สลากกินรวบ และทายผลฟุตบอล ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียและเว็บไซต์ โดยทำหน้าที่เป็นแอดมินและระบบรับโอนเงินให้ลูกค้า ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกและปรับ แต่รอการลงโทษ ฝ่ายอัยการอุทธรณ์ให้ลงโทษหนักกว่า ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นหลายกรรม ไม่รอการลงโทษ และตัดสินลงโทษหนักขึ้น จำเลยฎีกา ศาลฎีกามีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าการกระทำเป็นกรรมเดียวหรือหลายกรรม และควรพิจารณารอการลงโทษหรือไม่ ประเด็นกฎหมายสำคัญที่สุดในคดีนี้ มาตราแกนหลักที่ศาลฎีกานำมาใช้วินิจฉัย 1. พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4, 4 ทวิ, 12 2. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 (การร่วมกันกระทำผิด) 3. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 (กรรมเดียวผิดหลายบท) 4. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 (ห้ามพิพากษาให้โทษหนักขึ้น) 5. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 และ 225 (ศาลมีอำนาจยกประเด็นความสงบเรียบร้อยขึ้นเอง) สรุปใจความหลัก คดีนี้เน้นหลักว่า เมื่อฟ้องรวมการกระทำหลายรูปแบบไว้ในข้อหาเดียวโดยไม่อ้าง มาตรา 91 ต้องถือว่าเป็น “กรรมเดียวผิดหลายบท” และศาลต้องลงโทษตามบทที่หนักที่สุดตาม มาตรา 90 อีกทั้งศาลไม่สามารถเพิ่มโทษให้จำเลยได้ เพราะอัยการไม่ได้อุทธรณ์/ฎีกาในส่วนโทษ (ตาม ม.212) ประเด็นสำคัญ 1. กรรมเดียวผิดหลายบท (มาตรา 90) ศาลวินิจฉัยว่าโจทก์บรรยายฟ้องรวมหลายการกระทำไว้ในข้อเดียวกัน จึงถือว่าเป็นความผิดกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท ต้องเลือกใช้บทหนักสุดในการลงโทษ 2. ไม่แยกฟ้องเป็นแต่ละกรรม / ไม่อ้าง มาตรา 91 เพราะฟ้องไม่แยกแต่ละการพนัน และไม่อ้าง ป.อ. ม.91 จึงไม่ถือเป็นหลายกรรมต่างกัน ส่งผลให้ลงโทษรวมตามหลักกรรมเดียว 3. โฆษณาและชักชวนให้เล่นพนันออนไลน์ เป็นพฤติกรรมสำคัญในยุคดิจิทัล ใช้ไลน์ เฟซบุ๊ก เว็บไซต์ และระบบแอดมินที่จัดเป็นขบวนการ ชี้ให้เห็นความร้ายแรงต่อสังคม 4. ห้ามพิพากษาเพิ่มโทษจำเลย (มาตรา 212 ป.วิ.อาญา) แม้กฎหมายบทหนักจะกำหนดโทษสูงกว่า แต่เพราะอัยการไม่ฎีกาเรื่องโทษ ศาลจึงไม่สามารถเพิ่มโทษให้จำเลยได้ 5. ไม่รอการลงโทษเพราะพฤติการณ์ร้ายแรง จำเลยทำเป็นเครือข่ายออนไลน์หลายเว็บไซต์ ใช้ระบบจัดการ รับเงิน สมัครสมาชิก ส่งรหัสเข้าเล่น ถือเป็นอาชญากรรมไซเบอร์ที่ส่งผลกระทบวงกว้าง จึงไม่สมควรรอการลงโทษ สรุป คดีนี้ย้ำหลักสำคัญว่า • หากสำนวนฟ้องไม่แยกกรรมและไม่อ้าง ม.91 = ถือเป็น “กรรมเดียวผิดหลายบท” • ลงโทษบทหนักที่สุดตาม ม.90 • ศาลไม่สามารถเพิ่มโทษให้จำเลยได้ถ้าโจทก์ไม่อุทธรณ์/ฎีกาในส่วนโทษ (ม.212) • การพนันออนไลน์ที่ทำเป็นเครือข่ายใหญ่ = ไม่รอการลงโทษ ประเด็นข้อกฎหมายสำคัญ 1. การชักชวนให้เล่นพนันหลายรูปแบบในฟ้อง — เป็นหลายกรรมหรือกรรมเดียว 2. การปรับโทษเมื่อฟ้องไม่อ้างมาตรา 91 3. การรอการลงโทษในคดีการพนันระบบเครือข่ายไซเบอร์ 4. อำนาจศาลฎีกาแก้โทษในประเด็นที่ไม่มีการฎีกา (ความสงบเรียบร้อย) เหตุผลศาลฎีกา • โจทก์ฟ้องรวมหลายการกระทำโดยไม่แยกเป็นกรรม และไม่ได้อ้าง ป.อ. ม.91 • จึงถือเป็น กรรมเดียวผิดหลายบท อ้างอิง ป.อ. ม.90 • ศาลไม่อาจเพิ่มโทษให้เป็นผลร้ายจำเลยได้ (ป.วิ.อาญา ม.212) เพราะอัยการไม่ได้ฎีกา • การดำเนินการเป็นเครือข่ายออนไลน์ขนาดใหญ่ อุปกรณ์จำนวนมาก หลายเว็บไซต์ • ส่งผลกระทบต่อสังคมและเยาวชน สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคม • แม้รับสารภาพ แต่พฤติการณ์ร้ายแรง — ไม่รอการลงโทษ วิเคราะห์คำพิพากษาและหลักกฎหมาย แนวคำพิพากษานี้ตอกย้ำหลักสำคัญด้านกระบวนพิจารณาอาญา ได้แก่ 1. การบรรยายฟ้องต้องชัดเจน หากฟ้องรวมหลายกรรมโดยไม่แยก ศาลถือว่าเป็นกรรมเดียว 2. ศาลต้อง ลงโทษบทหนักที่สุด ตาม ป.อ. ม.90 สำหรับกรรมเดียวผิดหลายบท 3. การเพิ่มโทษจำเลยต้องมีการอุทธรณ์/ฎีกาที่ชัดเจน มิฉะนั้นเป็นการพิพากษาให้เป็นผลร้าย 4. ในคดีการพนันออนไลน์ ไม่ใช่ความผิดเบา ถือเป็นภัยสังคมเชิงระบบ ศาลจึงเคร่งครัด คดีนี้สะท้อนว่าระบบกฎหมายไทยเริ่มจับตาอาชญากรรมออนไลน์อย่างจริงจัง โดยเฉพาะการใช้ social media ชักชวนเยาวชนเล่นพนัน สรุปข้อคิดทางกฎหมาย • คำบรรยายฟ้องส่งผลต่อรูปแบบโทษ: ฟ้องรวม = กรรมเดียว • ศาลให้ความสำคัญต่อผลกระทบทางสังคมมากขึ้นในยุคออนไลน์ • คดีพนันออนไลน์มีแนวโน้ม ไม่รอลงอาญา หากกระทำเป็นเครือข่าย • นักกฎหมายควรระวังการยื่นฟ้อง/อุทธรณ์เพื่อรักษาสิทธิในการเพิ่มโทษ IRAC วิเคราะห์คำพิพากษา Issue (ประเด็น): การโฆษณาชวนเล่นพนันออนไลน์หลายประเภทในคราวเดียวกันถือเป็นหลายกรรมหรือกรรมเดียว และจำเลยสมควรได้รับการรอการลงโทษหรือไม่ Rule (บทกฎหมาย): • พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 ม.4, 4 ทวิ, 12 • ป.อ. มาตรา 83 (ร่วมกัน), มาตรา 90 (กรรมเดียวหลายบท), มาตรา 91 (หลายกรรม) • ป.วิ.อาญา ม.212 (ห้ามพิพากษาเพิ่มโทษ), ม.195, 225 (ยกประเด็นความสงบเรียบร้อยได้) Application (การปรับใช้): ฟ้องรวมหลายการพนันโดยไม่แยกเป็นกรรม ไม่อ้าง ม.91 จึงเป็นกรรมเดียวผิดหลายบท ศาลเลือกบทหนักสุดตาม ม.90 พฤติการณ์เป็นขบวนการออนไลน์ขนาดใหญ่ ส่งผลสังคมรุนแรง ศาลไม่รอการลงโทษ แม้จำเลยรับสารภาพ Conclusion (ข้อสรุป): ถือเป็นกรรมเดียวผิดหลายบท ลงโทษตามบทหนักที่สุด และไม่รอการลงโทษ สรุปบทความ คำพิพากษานี้ชี้ให้เห็นความเข้มงวดของศาลต่อการชักชวนเล่นพนันออนไลน์ในยุคดิจิทัล โดยวางหลักเรื่องรูปแบบฟ้อง ผลของการไม่อ้าง ม.91 และการไม่รอการลงโทษในคดีที่กระทบสังคมวงกว้าง เป็นคดีสำคัญที่ย้ำเตือนถึงความรับผิดทางอาญาของผู้มีบทบาทในเครือข่ายพนันออนไลน์ แนวคำถาม - ธงคำตอบ ประเด็นคำถามที่ 1 ในกรณีที่จำเลยหลายรายร่วมกันโฆษณาและชักชวนให้ประชาชนเล่นการพนันออนไลน์หลายรูปแบบ ได้แก่ บาคาร่า สล็อต สลากกินรวบ และทายผลฟุตบอล ผ่านแอปพลิเคชันไลน์และเฟซบุ๊ก โดยทำหน้าที่เป็นแอดมินตอบคำถามลูกค้า รับโอนเงิน เปิดบัญชีสมาชิกให้ผู้เล่น และดำเนินการเป็นเครือข่ายแพลตฟอร์มการพนันออนไลน์หลายเว็บไซต์ แต่โจทก์กลับบรรยายฟ้องรวมการกระทำทั้งหมดไว้ในข้อหาเดียวโดยไม่ได้แยกเป็นรายการพนันแต่ละประเภท และมิได้อ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ไว้ในคำขอท้ายฟ้อง จะถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นหลายกรรมต่างกันหรือเป็นเพียงกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท และศาลมีอำนาจลงโทษบทหนักกว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดหรือไม่ ทั้งนี้ แม้ศาลพบว่าความผิดตาม พ.ร.บ.การพนัน มาตรา 12(1) มีอัตราโทษสูงกว่า ต้องวินิจฉัยอย่างไร คำตอบ การบรรยายฟ้องของโจทก์ในคดีนี้มิได้แยกการกระทำของจำเลยออกเป็นแต่ละกรรมตามประเภทการพนันอย่างชัดเจน และมิได้อ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ซึ่งใช้ในกรณีหลายกรรม จึงต้องถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 โดยศาลมีหน้าที่เลือกลงโทษตามบทที่กำหนดโทษหนักที่สุดคือ พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 12(1) ประกอบมาตรา 4 วรรคสอง และมาตรา 4 ทวิ รวมถึงประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ในส่วนความรับผิดร่วมกัน อย่างไรก็ดี เนื่องจากโจทก์มิได้อุทธรณ์หรือฎีกาเพื่อขอให้ลงโทษหนักขึ้น ศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาให้จำเลยรับโทษสูงกว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดได้ เพราะเป็นการพิพากษาให้จำเลยรับโทษหนักขึ้น อันเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 แม้ว่าตามกฎหมายความผิดตามมาตรา 12(1) จะมีโทษสูงกว่าก็ตาม ศาลจึงให้เป็นไปตามโทษที่ศาลล่างกำหนดและแก้เฉพาะข้อกฎหมายเพื่อให้ถูกต้องตามหลักว่าการกระทำเป็นกรรมเดียวผิดหลายบท และต้องลงโทษตามบทหนักที่สุดตาม มาตรา 90 ประเด็นคำถามที่ 2 ในกรณีที่จำเลยหลายคนถูกจับกุมพร้อมของกลางจำนวนมาก เช่น คอมพิวเตอร์ 15 เครื่อง เราเตอร์ 4 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 6 เครื่อง และพบว่ามีระบบรับโอนเงินและเปิดรหัสสมาชิกให้ลูกค้าเพื่อเข้าร่วมเล่นการพนันออนไลน์ในหลายเว็บไซต์ รวมทั้งมีการโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดียในลักษณะเป็นขบวนการ ชักนำประชาชนและเยาวชนหลงเชื่อเข้าร่วมการพนันเป็นจำนวนมาก แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ และไม่ปรากฏว่ามีประวัติต้องโทษมาก่อน จำเลยจะมีสิทธิขอให้ศาลรอการลงโทษได้หรือไม่ และศาลควรใช้ดุลพินิจอย่างไรในคดีที่เกี่ยวกับการพนันออนไลน์ซึ่งส่งผลกระทบต่อสังคมส่วนรวม คำตอบ แม้จำเลยทั้งหลายจะให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณาและไม่เคยต้องโทษมาก่อน แต่พฤติการณ์แห่งคดีแสดงให้เห็นว่าจำเลยร่วมกันดำเนินการเว็บไซต์พนันออนไลน์หลายเว็บไซต์ในลักษณะเป็นขบวนการขนาดใหญ่ เป็นธุรกิจมุ่งหวังผลประโยชน์โดยมิชอบ ก่อให้เกิดการแพร่ขยายการพนันในสังคมได้อย่างรวดเร็วผ่านสื่อออนไลน์ ส่งผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะเยาวชน รวมทั้งพบของกลางและระบบปฏิบัติการจำนวนมากแสดงถึงการเตรียมการอย่างเป็นระบบ การกระทำดังกล่าวถือว่ามีความร้ายแรง เป็นภัยต่อสังคม ศีลธรรม และระเบียบเศรษฐกิจ การรับสารภาพจึงไม่เพียงพอที่จะเป็นเหตุให้รอการลงโทษได้ ศาลจึงใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำคุกแก่จำเลย เพื่อแสดงถึงความเข้มงวดของกระบวนการยุติธรรมต่ออาชญากรรมออนไลน์ที่มีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ทั้งยังเป็นการป้องปรามผู้กระทำความผิดรายอื่นตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับการพนันและนโยบายคุ้มครองสังคมในยุคดิจิทัล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 910/2567 โจทก์บรรยายฟ้องว่า วันเกิดเหตุจำเลยทั้งสิบหกร่วมกันประกาศโฆษณาหรือชักชวนผู้อื่นให้เข้าเล่นการพนันบาการา สล๊อทแมชีน สลากกินรวบ และทายผลฟุตบอลออนไลน์ บนเว็บไซต์ผ่านแอปพลิเคชันไลน์และเฟซบุ๊ก พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาตรวมกันมาในข้อเดียวกัน ไม่ได้บรรยายฟ้องให้ปรากฎชัดเจนว่าจำเลยทั้งสิบหกร่วมกันประกาศโฆษณาหรือชักชวนให้เล่นการพนันแต่ละประเภทแยกต่างหากออกจากกันเป็นแต่ละกรรมต่างกัน ทั้งคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ก็ไม่ได้อ้าง ป.อ. มาตรา 91 มาด้วย แสดงว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสิบหกฐานร่วมกันประกาศโฆษณาหรือชักชวนให้ผู้อื่นเข้าเล่นการพนันหลายประเภทตามที่กล่าวในฟ้องเป็นความผิดกรรมเดียวกัน และต้องถือตามคำฟ้องของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยทั้งสิบหกมีเจตนาเดียวจึงเป็นการกระทำกรรมเดียว โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสิบหกตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4, 4 ทวิ, 5, 6, 10, 12, 15 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83 ริบของกลาง และให้จำเลยทั้งสิบหกจ่ายสินบนนำจับตามกฎหมาย จำเลยทั้งสิบหกให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสิบหกมีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง, 4 ทวิ และ 12 (2) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกคนละ 2 เดือน และปรับคนละ 2,000 บาท จำเลยทั้งสิบหกให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 1 เดือน และปรับคนละ 1,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ริบของกลาง ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 29/1, 30 และให้จำเลยทั้งสิบหกจ่ายสินบนนำจับตามกฎหมาย โจทก์อุทธรณ์ โดยอธิบดีอัยการสำนักงานคดีศาลสูงภาค 9 ซึ่งอัยการสูงสุดมอบหมายรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยทั้งสิบหกฐานร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนันสลากกินรวบด้วย และเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ไม่ลงโทษปรับ ไม่รอการลงโทษและไม่จ่ายสินบนนำจับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสิบหกฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยในประการแรกเสียก่อนว่า การกระทำของจำเลยทั้งสิบหกเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 9 หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องสรุปความได้ว่า วันเกิดเหตุจำเลยทั้งสิบหกร่วมกันประกาศโฆษณาหรือชักชวนให้ผู้อื่นเข้าเล่นการพนันบาการา สล๊อทแมชีน สลากกินรวบ และทายผลฟุตบอลออนไลน์บนเว็บไซต์ผ่านแอปพลิเคชันไลน์และเฟซบุ๊ก พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมกันมาในข้อเดียวกัน ไม่ได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏชัดเจนว่าจำเลยทั้งสิบหกร่วมกันประกาศโฆษณาหรือชักชวนให้เล่นการพนันแต่ละประเภทแยกต่างหากออกจากกันเป็นแต่ละกรรมต่างกัน ทั้งคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ก็ไม่ได้อ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 มาด้วย จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท หาใช่เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยไม่ จึงต้องลงโทษจำเลยทั้งสิบหกฐานร่วมกันประกาศโฆษณาหรือชักชวนให้ผู้อื่นเข้าเล่นการพนันสลากกินรวบ ตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4 วรรคสอง และมาตรา 12 (1) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ทั้งโจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษฐานร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนันสลากกินรวบดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาให้ลงโทษด้วย กรณีเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 อย่างไรก็ตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง, 4 ทวิ และ 12 (2) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสิบหกคนละ 2 เดือน และปรับคนละ 2,000 บาท ก่อนลดโทษให้นั้นเป็นการลงโทษบทเบากว่าความผิดฐานร่วมกันประกาศโฆษณาหรือชักชวนให้ผู้อื่นเข้าเล่นการพนันสลากกินรวบ ตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 12 (1) ซึ่งเป็นบทหนักและมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไปจนถึง 3 ปี และปรับตั้งแต่ 500 บาท ขึ้นไปจนถึง 5,000 บาท แต่เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์ ฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่อาจลงโทษจำเลยทั้งสิบหกให้เป็นไปตามโทษที่กำหนดในความผิดฐานดังกล่าวได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยทั้งสิบหก อันเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ส่วนที่จำเลยที่ 8 ที่ 9 และที่ 12 ฎีกาในทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 8 ที่ 9 และที่ 12 สมัครเข้าทำงานโดยเข้าใจว่าทำหน้าที่แอดมินเพจและคอยตอบคำถามให้แก่ลูกค้าทางออนไลน์เท่านั้น มีลักษณะเป็นการฎีกาโต้แย้งทำนองว่า จำเลยที่ 8 ที่ 9 และที่ 12 ไม่ได้ประกาศโฆษณาหรือชักชวนให้ผู้อื่นเข้าเล่นการพนันตามฟ้อง อันเป็นการขัดแย้งกับคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 8 ที่ 9 และที่ 12 จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 9 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยในปัญหาข้อเท็จจริงตามฎีกาของจำเลยทั้งสิบหกว่า กรณีมีเหตุสมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยทั้งสิบหกหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยทั้งสิบหกกับพวกร่วมกันประกาศโฆษณาหรือชักชวนให้ผู้อื่นเล่นการพนันบาการา สล๊อทแมชีน สลากกินรวบ และทายผลฟุตบอล ออนไลน์บนเว็บไซต์ผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์และเฟซบุ๊ก พนันเอาทรัพย์สินกัน โดยจำเลยทั้งสิบหกกับพวกเป็นฝ่ายเจ้ามือรับกินรับใช้ทำหน้าที่ให้บริการคอยตอบคำถามให้แก่ลูกค้า (admin) และชักชวนให้ลูกค้าเข้าเล่นการพนันดังกล่าวเป็นส่วนสำคัญทำให้การพนันแพร่กระจายไปสู่สังคมได้รวดเร็วยากแก่การตรวจสอบและควบคุม ก่อให้ประชาชนลุ่มหลงในอบายมุข โดยเฉพาะในหมู่เยาวชน อันเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้ส่วนตน ไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะติดตามมาจากการเล่นการพนันอีกหลายประการ นอกจากนั้นจำเลยทั้งสิบหกกับพวกร่วมกันประกาศโฆษณาหรือชักชวนให้ผู้อื่นเข้าเล่นการพนันออนไลน์บนเว็บไซต์เป็นจำนวนมากถึง 8 เว็บไซต์ โดยเมื่อลูกค้าสนใจเข้าร่วมเล่นการพนันสามารถสมัครเล่นผ่านลิงก์ในข้อความประกาศโฆษณาชักชวนบนแอปพลิเคชันดังกล่าว ลูกค้าจะต้องโอนเงินพนันให้แก่ฝ่ายบัญชี แล้วจำเลยทั้งสิบหกกับพวกจะส่งรหัสสมาชิก (Username Password) และหลักฐานการโอนเงินแก่ลูกค้า จากนั้นลูกค้าจึงจะสามารถเข้าไปเล่นการพนันออนไลน์ต่าง ๆ ภายในเว็บไซต์ดังกล่าวได้ อันมีลักษณะกระทำการเป็นขั้นเป็นตอน ประกอบกับขณะเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสิบหกกับพวกพร้อมยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ 15 เครื่อง เครื่องเร้าเตอร์กระจายสัญญาณไวไฟ 4 เครื่อง และโทรศัพท์เคลื่อนที่ 6 เครื่อง รวม 25 รายการ แสดงว่าจำเลยทั้งสิบหกกับพวกร่วมกันกระทำเป็นขบวนการเครือข่ายเล่นการพนันออนไลน์รายใหญ่ กระทำเป็นอาชีพ ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของสังคมและระบบเศรษฐกิจโดยรวม พฤติการณ์แห่งคดีนับว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรง แม้จะไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสิบหกเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนและมีเหตุผลความจำเป็นดังที่กล่าวอ้างมาในฎีกาก็ตาม แต่ก็ยังมิใช่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะรับฟังเพื่อรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยทั้งสิบหก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยทั้งสิบหกมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสิบหกฟังไม่ขึ้น พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสิบหกมีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4 วรรคหนึ่งและวรรคสอง, 4 ทวิ และ 12 (1) (2) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสิบหกเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันประกาศโฆษณาหรือชักชวนให้ผู้อื่นเข้าเล่นการพนันสลากกินรวบ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ส่วนโทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง ✅ ฎีกาที่ 1 — คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2896/2529 ประเด็น: ความรับผิดของผู้เล่นการพนันตามมาตรา 12(1) สรุป ในคดีนี้จำเลยถูกจับในสถานที่เล่นการพนันประเภทที่อยู่ในบัญชี ก ตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 โดยจำเลยอ้างว่าไม่ได้เป็นผู้จัดให้มีการเล่น เป็นเพียงผู้เล่นหรือเข้าร่วมพนันเท่านั้น และเห็นว่าบทลงโทษที่ต้องได้รับควรใช้เฉพาะกรณีที่เป็นผู้จัดหรือผู้สนับสนุนให้มีการเล่นพนัน แต่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามมาตรา 12(1) ของ พ.ร.บ. การพนันฯ มิได้บัญญัติให้ลงโทษเฉพาะผู้จัดเท่านั้น หากแต่ลงโทษผู้ที่เข้าเล่นหรือเข้าพนันด้วย เพราะเจตนารมณ์ของกฎหมายต้องการป้องกันการเล่นพนันโดยรวม ไม่ว่าผู้กระทำจะเป็นเจ้ามือหรือผู้เล่นก็ตาม การเข้าพนันในบัญชี ก ย่อมต้องรับโทษทั้งจำคุกและปรับ โดยไม่มีข้อยกเว้น แม้จำเลยจะอ้างว่าไม่ได้กระทำเพื่อแสวงหาประโยชน์ก็ตาม ศาลยืนยันว่า การลงโทษต้องเป็นไปตามบทบัญญัติ ไม่อาจลดความรับผิดบนเหตุผลว่าเป็นเพียงผู้เล่น จึงเป็นแนวคำพิพากษาที่แสดงให้เห็นว่าผู้เล่นก็ต้องรับผิดเทียบเท่าผู้จัดในบางกรณี และเป็นกรอบสำคัญที่ใช้ตีความคดีพนันออนไลน์ปัจจุบัน ✅ ฎีกาที่ 2 — คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1054/2543 ประเด็น: อัตราโทษกรณีเป็นผู้เล่นการพนันตามบัญชี ก สรุป ในคดีนี้จำเลยถูกจับจากการเข้าร่วมเล่นการพนันตามบัญชี ก มาตรา 4 ทวิ และ 12(1) ของ พ.ร.บ. การพนันฯ โดยจำเลยโต้แย้งว่าตนเป็นเพียงผู้เข้าร่วมพนัน ไม่ใช่ผู้จัดให้มีการเล่น และจึงไม่ควรได้รับโทษตามบทบัญญัติเทียบเท่าผู้จัด แต่ศาลฎีกาวินิจฉัยชัดเจนว่า คำว่า “เข้าเล่นหรือเข้าพนัน” ในมาตรา 12(1) มีผลบังคับเฉพาะบุคคลผู้เล่นเช่นกัน มิได้เป็นเพียงความผิดของผู้จัดหรือผู้สนับสนุนเท่านั้น และโทษสำหรับผู้ที่เข้าเล่นพนันตามบัญชี ก มีอัตราจำคุกตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไปจนถึง 3 ปี และปรับตั้งแต่ 500 บาทถึง 5,000 บาท โดยไม่มีข้อยกเว้นในทางลดหย่อนแม้ผู้กระทำจะเป็นเพียงผู้เล่น ศาลย้ำเจตนารมณ์กฎหมายที่ให้ความสำคัญต่อการปราบปรามการพนันในฐานะปัญหาสังคม ไม่เฉพาะการทำหน้าที่เจ้ามือแต่รวมถึงผู้เข้าร่วมทุกคน จึงยืนยันบทลงโทษตามตัวบทเต็ม ✅ ฎีกาที่ 3 — คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3540/2527 ประเด็น: การต้องระบุประเภทการพนันชัดเจนในคำฟ้อง สรุป ในคดีนี้ข้อพิพาทอยู่ที่การบรรยายฟ้องของโจทก์ซึ่งกล่าวหาจำเลยเกี่ยวกับการกระทำเกี่ยวกับการพนันโดยรวม แต่ไม่ได้ระบุให้ชัดเจนว่าเป็นการพนันประเภทใดตามบัญชี ก หรือบัญชี ข ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ. การพนันฯ แยกประเภทการเล่นพนันอย่างชัดเจน และบทกำหนดโทษต่างกันตามแต่ละบัญชี ดังนั้น การบรรยายฟ้องจึงจำเป็นต้องเจาะจงประเภทการพนันให้ชัด มิฉะนั้นจำเลยจะต่อสู้คดีอย่างเป็นธรรมไม่ได้ เมื่อโจทก์ไม่ได้ระบุลักษณะการพนันให้ชัดเจนว่าจัดอยู่ในบัญชีใด การนำกฎหมายมาใช้จะไม่สมบูรณ์ตามหลักการฟ้องคดีอาญาที่ต้องให้จำเลยทราบข้อหาอย่างแจ่มแจ้ง คดีนี้เป็นหลักสำคัญเรื่อง “ความชัดเจนของคำฟ้องในคดีอาญา” ซึ่งสอดคล้องกับแนวคดีพนันออนไลน์ยุคใหม่ เช่น คดี 910/2567 ที่ศาลต้องพิจารณาเนื้อหาฟ้องว่ามีการแยกกรรมหรือรวมกรรม และถือเป็นแนวตั้งต้นของการตีความความชัดเจนในการฟ้องคดีพนัน ✅ ฎีกาที่ 4 — คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4272/2531 ประเด็น: การจัดสลากกินรวบและโทษซ้ำซ้อนภายใน 3 ปี สรุป ในคดีนี้จำเลยจัดให้มีการเล่นสลากกินรวบโดยทำหน้าที่เป็นผู้เก็บเงินและจ่ายรางวัล ศาลพิจารณาว่าการดำเนินการดังกล่าวมีลักษณะเป็นเจ้ามือหรือผู้จัดให้มีการเล่นพนันตามมาตรา 12 พ.ร.บ. การพนันฯ และเป็นการพนันในบัญชี ก ซึ่งห้ามโดยเด็ดขาด จำเลยเคยต้องโทษคดีพนันมาแล้วภายในระยะเวลา 3 ปี ศาลจึงพิจารณาโทษหนักขึ้นตามบทบัญญัติที่กำหนดบทลงโทษเพิ่มในกรณีทำผิดซ้ำ และตอกย้ำเจตนารมณ์ว่า ผู้กระทำผิดซ้ำในคดีการพนันถือเป็นบุคคลที่มีความมุ่งหมายชัดเจนในการประกอบอบายมุขเป็นอาชีพ ไม่สมควรได้รับความปรานี โครงสร้างระบบชำระเงินในคดีนี้สะท้อนรูปแบบคล้ายเครือข่ายการพนันออนไลน์ยุคใหม่ คือมีการรับเงิน จัดสรรเงิน และสร้างระบบลูกค้า เป็นแนวคำพิพากษาที่สอดคล้องกับการลงโทษเครือข่ายพนันออนไลน์ในปัจจุบัน ✅ ฎีกาที่ 5 — คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 980/2567 ประเด็น: การพนันออนไลน์ เป็นเครือข่ายผ่านเว็บไซต์/โซเชียล สรุป คดีนี้เกี่ยวข้องกับการชักชวนให้เล่นการพนันออนไลน์ผ่านเว็บไซต์และช่องทางโซเชียล โดยมีลักษณะเป็นขบวนการหลายคนร่วมกันดำเนินงาน รูปแบบระบบคล้ายอาชญากรรมไซเบอร์ มีขั้นตอนโอนเงิน สมัครสมาชิก ส่งรหัสล็อกอิน และเข้าร่วมพนันในเว็บไซต์ ศาลใช้ พ.ร.บ. การพนันฯ มาตรา 4 ทวิ และ 12(2) ลงโทษจำเลย เนื่องจากเป็นการจัดให้มีการเล่นพนันในระบบเทคโนโลยีที่มีการอำนวยความสะดวกให้ลุกค้าอย่างเป็นระบบ โครงสร้างคดีนี้คล้ายคดี 910/2567 อย่างมาก คือเป็นเครือข่ายไม่ใช่ผู้เล่นรายบุคคล ศาลย้ำว่าพฤติการณ์ในยุคดิจิทัลทำให้การพนันแพร่กระจายได้รวดเร็ว และต้องตีความตามเจตนารมณ์กฎหมายเพื่อคุ้มครองสาธารณะและป้องกันเยาวชน จึงถือเป็นแนวคำพิพากษาร่วมสมัยที่มีความเชื่อมโยงกับแนววินิจฉัยล่าสุด
|






