สำนักงานพีศิริ ทนายความ ตั้งอยู่เลขที่ 34/159 หมู่ 8 ซอยบางมดแลนด์ แยก 13 ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120 ติดต่อทนายความ 085-9604258 สำหรับแผนที่การเดินทาง กรุณาคลิ๊กที่ "ที่ตั้งสำนักงาน" ด้านบนสุด ทนายความ ทนาย สำนักงานกฎหมาย สำนักงานทนายความ ปรึกษากฎหมายกับทนายความลีนนท์ โทรเลย ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาทนายความ

รับสมอ้างว่าเป็นบุตรในการแจ้งเกิด, บิดาในสูติบัตร -ปรึกษาทนายความ (นายลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ) โทร.085-9604258 -ติดต่อทางอีเมล : leenont0859604258@yahoo.co.th -ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์ ID line : (1) @leenont หรือ (2) @peesirilaw -Line Official Account : เพิ่มเพื่อนด้วย QR CODE
รับสมอ้างว่าเป็นบุตรในการแจ้งเกิด, บิดาในสูติบัตร รับสมอ้างว่าเป็นบุตรโดยการแจ้งการเกิดในสูติบัตรว่าเด็กที่เกิดมานั้นเป็นบุตรของตนและภริยา แต่ในความเป็นจริงแล้วเด็กดังกล่าวเป็นบุตรของมารดาที่เป็นชาวกัมพูชาและบิดาเป็นคนไทย ซึ่งมีตัวตนที่แน่นอน ในกรณีอย่างนี้ทางเด็กจะฟ้องทายาทที่แท้จริงเพื่อขอแบ่งมรดกไม่ได้ เพราะตนไม่ใช่บุตรที่แท้จริงของเจ้ามรดกที่รับสมอ้างเป็นบิดาโดยการแจ้งเกิดในสูติบัตร และไม่เป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1627 และไม่มีสิทธิรับมรดกของผู้ตาย (บิดาในสูติบัตร) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4791/2542 บทบัญญัติตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1541 หมายถึงชายผู้เป็นสามีหรือเคยเป็นสามีจะฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตรตามมาตรา 1539 ซึ่งเป็นกรณีที่สันนิษฐานว่าเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามีหรือเคยเป็นสามีตามมาตรา 1536 และ 1537 หรือมาตรา 1538 โจทก์เป็นบุตรของร.และอ.ซึ่งมีตัวตนแน่นอนส.และสค. ไม่ใช่บิดามารดาผู้ให้กำเนิดโจทก์โดยแท้จริง การที่ ส.ไปแจ้งการเกิดลงในสูติบัตรของโจทก์ว่า บิดาโจทก์เป็นคนไทย มารดาเป็นคนกัมพูชาเมื่อมีบุตรขึ้นมาก็แจ้งเกิดไม่ได้ ส. จึงรับสมอ้างไปแจ้งเกิดแทน โดยระบุว่าเป็นบิดาดังนี้ เป็นคนละเรื่องกับกรณีการแจ้งเกิดของเด็กในทะเบียนคนเกิดเองว่าเป็นบุตรของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1541 เมื่อโจทก์ไม่ใช่บุตรที่แท้จริงของ ส. จึงไม่ใช่บุตรนอกกฎหมายตามความเป็นจริงที่บิดาได้รับรองแล้ว ทั้งไม่ใช่ ผู้สืบสันดานและไม่ใช่ทายาทโดยธรรมของ ส. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1627 และ 1629(1) โจทก์จึงไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกของส. ผู้ตาย และไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า นายสมพรและนางสมคิดเป็นสามีภริยากันโดยมิได้จดทะเบียนสมรส นายชายเป็นบุตรของนายสมพรและนางสมคิด เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2525 นายสมพรไปแจ้งการเกิดในสูติบัตรว่า โจทก์เป็นบุตรของนายสมพรและนางสมคิด จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นบุตรของนายชายอันเกิดจากนางเกษรและนางบุญยงค์ตามลำดับ โดยจำเลยที่ 1 เป็นบุตรนอกกฎหมายที่นายชายได้รับรองแล้ว นายชายถึงแก่ความตายก่อนนายสมพร ส่วนนางสมคิดถึงแก่ความตายหลังนายสมพร ตามมรณบัตรเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.3 นายสมพรถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2538 มีทรัพย์มรดกเป็นที่ดินจำนวน 4 แปลง และอาคารพาณิชย์ 3 ห้อง หลังจากนายสมพรและนางสมคิดถึงแก่ความตายแล้วนางเพิ่มยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ตั้งนางเพิ่มเป็นผู้ปกครองของโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งให้นางเพิ่มเป็นผู้ปกครองของโจทก์ มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ประการแรกว่าสูติบัตรตามเอกสารหมาย จ.10 ซึ่งออกโดยผู้ช่วยนายทะเบียนตำบลหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ซึ่งเป็นกำนันท้องที่ที่รับแจ้งเป็นเอกสารราชการมีน้ำหนักน่าเชื่อถือและรับฟังยันจำเลยทั้งสองได้หรือไม่นั้น เห็นว่า สูติบัตรเอกสารหมาย จ.10ซึ่งนางสายใจ สุทธิวารี ปลัดอำเภอ อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด มาเบิกความว่านางสายใจเป็นผู้รับรองสำเนาถูกต้องเอกสารดังกล่าว ตามเอกสารหมาย จ.10 ลำดับ 4.4 ระบุว่านายสมพร รำไพ เป็นผู้แจ้งการเกิด แต่ไม่เคยเห็นลายมือชื่อนายสมพรจึงไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นลายมือชื่อของนายสมพรหรือไม่ ส่วนตามเอกสารหมาย ล.1ในช่องลายมือชื่อ นายสมพร รำไพ เมื่อเปรียบเทียบกับลายมือชื่อนายสมพร รำไพ ในเอกสารหมาย จ.10 น่าจะเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน ตามเอกสารหมาย จ.10 ลำดับ 5 ระบุว่าแจ้งเกิดวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2525 ส่วนเอกสารหมาย ล.1 ระบุว่าสั่งไว้ ณ (สั่งไว้นะ) วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2535 และตอนท้ายของเอกสารหมาย ล.1 ระบุว่าข้าพเจ้าในนามนายสมพร รำไพ สั่งไว้นะ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2535 เมื่อได้พิเคราะห์เอกสารดังกล่าวแล้ว เห็นว่า ตามเอกสารดังกล่าวแม้จะไม่ใช่พินัยกรรมแต่ข้อความเป็นการระบุบอกไว้ได้ความชัดเจนว่า นายสมพร มีทายาทชั้นบุตรเพียงคนเดียวชื่อนายชายหรือสมชาย รำไพ และมีผู้มาอาศัยฝากรับให้ใช้นามสกุลรำไพนี้หนึ่งคน บิดาเป็นไทยมารดาเป็นคนกัมพูชา เมื่อมีบุตรขึ้นมาก็แจ้งเกิดไม่ได้ นายสมพรจึงรับสมอ้างไปแจ้งเกิดแทนโดยระบุว่าเป็นบิดา จากข้อความตามเอกสารหมาย ล.1 เป็นการยืนยันว่าโจทก์ไม่ใช่บุตรโดยแท้จริงของนายสมพรและนางสมคิด แต่เป็นบุตรของนายสุรินทร์และนางอ้อน นางอ้อนเป็นคนกัมพูชาอพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทย เมื่อโจทก์เกิดจึงไปแจ้งเกิดไม่ได้เพราะมารดาเป็นคนต่างด้าว ไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนนายสมพรจึงรับสมอ้างและไปแจ้งการเกิดต่อผู้ช่วยนายทะเบียนตำบลหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่จังหวัดตราด ว่าโจทก์เป็นบุตรของนายสมพรและนางสมคิด การที่โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายของนายสมพรและนางสมคิด ที่บิดารับรองแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1627 ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่โจทก์ที่จะต้องนำสืบให้ฟังข้อเท็จจริงได้ตามฟ้อง แต่ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมามีเพียงคำเบิกความของนางเพิ่ม บุญตูบ ผู้แทนโดยชอบธรรมของโจทก์เพียงปากเดียวมาเบิกความลอย ๆอ้างว่า ขณะที่นายสมพรและนางสมคิดยังมีชีวิตอยู่ได้ให้ความอุปการะเลี้ยงดูโดยให้การศึกษาแก่โจทก์ ให้ใช้นามสกุล เพียงเท่านี้ไม่เพียงพอ ไม่มีน้ำหนักรับฟังให้เชื่อว่าโจทก์เป็นบุตรที่แท้จริงของนายสมพรและนางสมคิดแต่อย่างใด ที่โจทก์ฎีกาอ้างว่าตามเอกสารหมาย จ.10 เป็นเอกสารที่นายสมพรไปแจ้งการเกิดของโจทก์ในสูติบัตรหรือทะเบียนการเกิดว่าเป็นบุตรของนายสมพรและนางสมคิดดังกล่าวเท่ากับเป็นการรับรองแล้วว่าโจทก์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสมพรและนางสมคิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1541 นั้น เห็นว่า บทบัญญัติตามกฎหมายดังกล่าวหมายถึงชายผู้เป็นสามีหรือเคยเป็นสามีจะฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตรตามมาตรา 1539 ซึ่งเป็นกรณีที่สันนิษฐานว่าเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามีหรือเคยเป็นสามีตามมาตรา 1536 และ 1537 หรือมาตรา 1538 แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังที่วินิจฉัยไว้ข้างต้นแล้วว่า โจทก์เป็นบุตรของนายสุรินทร์และนางอ้อนซึ่งมีตัวตนแน่นอน นายสมพรและนางสมคิดไม่ใช่บิดามารดาผู้ให้กำเนิดโจทก์โดยแท้จริง การที่นายสมพรได้ไปแจ้งการเกิดลงในสูติบัตรของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.10 นั้น เป็นคนละเรื่องกับกรณีการแจ้งการเกิดของเด็กในทะเบียนคนเกิดเองว่าเป็นบุตรของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1541 ซึ่งกรณีตามฎีกาของโจทก์ข้อเท็จจริงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว เมื่อโจทก์ไม่ใช่บุตรที่แท้จริงของนายสมพรกรณีจึงไม่ใช่บุตรนอกกฎหมายตามความเป็นจริงที่บิดาได้รับรองแล้วทั้งไม่ใช่ผู้สืบสันดานและไม่ใช่ทายาทโดยธรรมของนายสมพรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1627 และ 1629(1) โจทก์จึงไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกของนายสมพรผู้ตายและไม่มีอำนาจฟ้องดังที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น" พิพากษายืน มาตรา 1541 ชายผู้เป็นหรือเคยเป็นสามีจะฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตร ตาม มาตรา 1539 ไม่ได้ ถ้าปรากฏว่าตนเป็นผู้แจ้งการเกิดของเด็กในทะเบียนคนเกิดเองว่าเป็นบุตรของตน หรือจัดหรือยอมให้มีการแจ้งดังกล่าว ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาทนายความ ลีนนท์ 085-9604258 * |