วิชาชีพทนายความ | โดยสำนักงานกฎหมายพีศิริ ทนายความ
ก่อนที่บุคคลใดจะมาประกอบวิชาชีพทนายความได้นั้นจะต้องผ่านการเรียนหลักสูตรนิติศาสตร์บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเสียก่อนจึงจะมีคุณสมบัติที่จะสมัครสอบเพื่อขอใบอนุญาตให้เป็นทนายความจากสภาทนายความได้ซึ่งในบางประเทศนั้นกำหนดให้ผู้ที่จะเป็นทนายความได้จะต้องสำเร็จการศึกษาชั้นเนติบัณฑิตเสียก่อนด้วย
คุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นทนายความ
พระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 มาตรา 35
มาตรา 35 ผู้ขอจดทะเบียนและรับใบอนุญาตต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
(1) มีสัญชาติไทย
(2) อายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบปีบริบูรณ์ในวันยื่นคำขอจดทะเบียนและรับใบอนุญาต
(3) สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีหรืออนุปริญญาทางนิติศาสตร์ หรือประกาศนียบัตรในวิชานิติศาสตร์ ซึ่งเทียบได้ไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรืออนุปริญญาจากสถาบันการศึกษาซึ่งสภาทนายความเห็นว่าสถาบันการศึกษานั้นมีมาตรฐานการศึกษาที่ผู้ได้รับปริญญาตรีหรืออนุปริญญาหรือประกาศนียบัตรควรเป็นทนายความได้ และเป็นสมาชิกแห่งเนติบัณฑิตยสภา
(4) ไม่เป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่อง ในศีลธรรมอันดีและไม่เป็นผู้ได้กระทำการใดซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่น่าไว้วางใจในความซื่อสัตย์สุจริต
(5) ไม่อยู่ในระหว่างต้องโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
(6) ไม่เคยต้องโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในคดีที่คณะกรรมการเห็นว่าจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ
(7) ไม่เป็นบุคคลผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ล้มละลาย
(8) ไม่เป็นโรคติดต่อซึ่งเป็นที่รังเกียจแก่สังคม
(9) ไม่เป็นผู้มีกายพิการหรือจิตบกพร่องอันเป็นเหตุให้เป็นผู้หย่อนสมรรถภาพในการประกอบอาชีพทนายความ
(10) ไม่เป็นข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่นซึ่งมีเงินเดือนและตำแหน่งประจำเว้นแต่ข้าราชการการเมือง
(11) ไม่เป็นผู้ต้องห้ามมิให้ยื่นคำขอจดทะเบียนและรับใบอนุญาตตามมาตรา 71
ทนายความฟรี
ผู้ที่มีความเดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือทางด้านคดีความแต่ไม่มีเงินที่จะจัดจ้างทนายความด้วยตนเองอาจขอความช่วยเหลือจากสภาทนายความได้โดยมีเงื่อนไขตามที่พระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 มาตรา 78 บัญญัติว่า
"ประชาชนผู้มีสิทธิได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมายต้องเป็นผู้ยากไร้และไม่ได้รับความเป็นธรรม"
โดยค่าใช้จ่ายที่ทางสภาทนายความจัดหามาเพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือประชาชนนั้นเป็นไปตามมาตรา 77 คือ
มาตรา 77 ให้มีกองทุนช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายประกอบด้วย
(1) เงินที่สภาทนายความจัดสรรให้เป็นประจำปีเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละสิบของเงินรายได้ของสภาทนายความตามมาตรา 9 (1) ของปีที่ล่วงมา
(2) เงินอุดหนุนจากรัฐบาล
(3) ทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้ และ
(4) ดอกผลของ (1) (2) และ (3)
ดังนั้นผู้ที่ยากไร้และไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงไปขอความช่วยเหลือจากสภาทนายความได้ และทางสภาทนายความจะจัดหา "ทนายความฟรี" ให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ