สามีโอนขายที่ดิน โดยไม่ได้รับความยินยอมของภรรยา จะเรียกคืนได้หรือไม่ | |
สามีได้ซื้อที่ดินและใส่ชื่อสามีคนเดียว ต่อมาได้ขายที่ดินที่สามีซื้อมาระหว่างจดทะเบียนสมรสกัน โดยไม่ได้รับความยินยอมของภรรยา ทางภรรยาจะขอเรียกคืนที่ดินได้หรือไม่ | |
ผู้ตั้งกระทู้ นิภาพร :: วันที่ลงประกาศ 2007-12-27 14:33:32 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (1615155) | |
1. ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส ไม่ว่าจะได้ใส่ชื่อใครเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ก็เป็นสินสมรส แต่ในกรณีเป็นที่สงสัยว่าทรัพย์ใดจะเป็นสินสมรสหรือไม่ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส 2. เมื่อคู่สมรสกระทำการดังต่อไปนี้ต้องได้รับความยินยอมของคู่สมรสคือ **2.1 ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จำนอง ปลดจำนอง หรือโอนสิทธิจำนอง ซึ่งอสังหาริมทรัพย์ หรือ สังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้ **2.2 ก่อตั้ง หรือ กระทำให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจำยอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ **2.3 ให้เช่าอสังหาริมทรพย์เกินสามปี **2.4 ให้กู้ยืมเงิน **2.5 ให้โดยเสน่หา **2.6 ประนีประนอมยอมความ **2.7 มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย **2.8 นำทรพัย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล 3. การขายสินสมรส คู่สมรสจะต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่าฝืนอีกฝ่ายหนึ่งสามารถฟ้องต่อศาลขอให้ศาลเพิกถอนการโอนขายดังกล่าวได้ แต่จะต้องกระทำการฟ้องร้องภายในหนึ่งปี นับแต่วันที่ได้รู้เหตุที่จะฟ้องร้องนั้น หรือ ไม่เกิน 10 ปี แต่กรณีที่คู่สมรสให้สัตยาบันแก่การขายนั้น
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2007-12-30 01:21:42 |
ความคิดเห็นที่ 2 (1615156) | |
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องกับจำเลยเป็นสามีภรรยากัน จดทะเบียนสมรสเมื่อปี 2523 ที่ดินและบ้านพิพาทเป็นทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างสมรสที่ต้องจัดการร่วมกันจำเลยนำที่ดินและบ้านพิพาทไปขายฝากให้แก่โจทก์ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ร้องเป็นการจัดการสินสมรสที่ฝ่าฝืนกฎหมาย จึงเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับในส่วนของผู้ร้องครึ่งหนึ่งโจทก์ต้องคืนให้แก่ผู้ร้องทั้งหมดหรืออย่างน้อยครึ่งหนึ่ง จึงเป็นการจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย จึงร้องสอดเข้ามาเพื่อขอให้ศาลพิพากษาว่าสัญญาขายฝากระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ ให้เพิกถอนสัญญาขายฝาก ให้ที่ดินและบ้านพิพาทกลับคืนมาเป็นของผู้ร้อง | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-01-01 11:34:06 |
ความคิดเห็นที่ 3 (1615157) | |
คำพิพากษาฎีกาที่ 1940/2546 โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 48 หมู่ที่ 5 ตำบลท่าศาลา อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 28 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้เลขที่ 3/4 หมู่ที่ 8 ตำบลนิคม อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ซึ่งซื้อฝากมาจากจำเลยและพ้นกำหนดไถ่ถอนแล้ว จำเลยขออาศัยอยู่ได้ระยะหนึ่ง โจทก์เรียกให้จำเลยมาทำสัญญา แต่จำเลยไม่ยอมทำโจทก์จึงมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินและบ้านของโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและบ้านของโจทก์ จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องกับจำเลยเป็นสามีภรรยากัน จดทะเบียนสมรสเมื่อปี 2523 ที่ดินและบ้านพิพาทเป็นทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างสมรสที่ต้องจัดการร่วมกันจำเลยนำที่ดินและบ้านพิพาทไปขายฝากให้แก่โจทก์ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ร้องเป็นการจัดการสินสมรสที่ฝ่าฝืนกฎหมาย จึงเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับในส่วนของผู้ร้องครึ่งหนึ่งโจทก์ต้องคืนให้แก่ผู้ร้องทั้งหมดหรืออย่างน้อยครึ่งหนึ่ง จึงเป็นการจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย จึงร้องสอดเข้ามาเพื่อขอให้ศาลพิพากษาว่าสัญญาขายฝากระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ ให้เพิกถอนสัญญาขายฝาก ให้ที่ดินและบ้านพิพาทกลับคืนมาเป็นของผู้ร้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคำร้องของผู้ร้องไม่มีเหตุตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) จึงไม่รับคำร้อง คืนค่าขึ้นศาลให้ผู้ร้องทั้งหมด ผู้ร้องสอดอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ผู้ร้องสอดฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยพร้อมบริวารออกจากที่ดินและบ้าน แม้ศาลจะพิพากษาให้ขับไล่จำเลยพร้อมบริวารก็จะไม่กระทบถึงสิทธิของผู้ร้องสอดในฐานะคู่สมรสในกรณีการขายฝากของโจทก์จำเลยตามที่ผู้ร้องสอดอ้างสิทธิของผู้ร้องสอดจะมีอยู่เพียงใดก็คงมีอยู่เพียงนั้น กรณีตามคำร้องของผู้ร้องสอด จึงมิใช่เป็นการจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่า คำร้องของผู้ร้องสอดไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องสอดฟังไม่ขึ้น" พิพากษายืน หมายเหตุ ในการดำเนินคดีแพ่ง นอกจากโจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่ความโดยตรงแล้ว บุคคลภายนอกอาจเข้ามาในคดีได้ด้วยการร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57 สำหรับคดีที่หมายเหตุนี้ ผู้ร้องสอดขอเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) ตามคำร้อง ผู้ร้องเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ถูกโจทก์ฟ้องขับไล่ออกจากที่ดินและบ้านที่ขายฝากแก่โจทก์ และพ้นกำหนดไถ่ถอนแล้ว ในการขายฝากที่ดินและบ้านดังกล่าวซึ่งเป็นสินสมรส ผู้ร้องไม่ได้ให้ความยินยอม หากเป็นจริงตามคำร้องย่อมเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1476 ที่สามีและภริยาต้องจัดการทรัพย์สินร่วมกัน หรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง ทำให้คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ตามมาตรา 1480 และข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยขายฝากที่ดินทั้งแปลงพร้อมบ้านซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าว หาใช่ขายฝากเฉพาะส่วนของตนเองไม่ ดังนั้น จึงกระทบถึงสิทธิของผู้ร้องโดยตรง ผู้ร้องจึงน่าจะเป็นผู้มีส่วนได้เสียเพราะต้องเสียกรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านพิพาทในส่วนของตนไปด้วย มีข้อพิจารณาว่า ข้อวินิจฉัยตามคำพิพากษาฎีกาคดีนี้พอจะเทียบเคียงกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6757/2540 ที่วินิจฉัยในทำนองเดียวกันหรือไม่ ซึ่งคำพิพากษาฎีกาคดีดังกล่าวเป็นกรณีโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทของโจทก์ เนื่องจากจำเลยผิดสัญญาเช่า และโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว ผู้ร้องสอดอ้างว่าได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินดังกล่าวบางส่วนจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าหากศาลพิพากษาขับไล่จำเลย ย่อมไม่มีผลกระทบถึงสิทธิของผู้ร้องสอด ผู้ร้องสอดมีสิทธิในที่ดินอยู่เพียงใดก็คงมีอยู่อย่างนั้น ผู้ร้องสอดจึงไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในมูลความแห่งคดี จึงไม่มีความจำเป็นและไม่มีสิทธิที่จะร้องสอดเข้ามาในคดี แต่คดีนี้จำเลยซึ่งเป็นภริยาของผู้ร้องสอดนำที่ดินและบ้านสินสมรสไปขายฝากแก่โจทก์ แล้วไม่ไถ่ถอนภายในกำหนดเวลาขายฝาก โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลย ผู้ร้องสอดจึงร้องสอดเข้ามาในคดี ขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากที่ดินและบ้านในส่วนของตน เห็นได้ชัดว่าคดีนี้มิใช่กรณีฟ้องขับไล่ออกจากที่เช่า ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าและผู้เช่าผิดสัญญาเช่า ซึ่งผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาแล้ว โดยไม่มีประเด็นเรื่องการขายฝากไม่ชอบเช่นคดีนี้ ข้อเท็จจริงจึงไม่เหมือนกันและไม่ตรงกัน น่าจะนำมาเทียบเคียงและวินิจฉัยในแนวเดียวกันไม่ได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่พอจะเทียบเคียงกับคดีนี้น่าจะได้แก่คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 172/2520 ซึ่งเป็นการฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท และผู้ร้องยื่นคำร้องว่าที่พิพาทและสิ่งปลูกสร้างบนที่พิพาทเป็นของผู้ร้อง และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3129/2524 ผู้ร้องยื่นคำร้องสอดว่า ผู้ร้องเป็นภริยาจำเลย ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นสินสมรส ผู้ร้องมีส่วนเป็นเจ้าของครึ่งหนึ่ง จำเลยนำไปขายฝากโดยผู้ร้องไม่ทราบผู้ร้องจึงขอเข้ามาเป็นจำเลยเพื่อให้ศาลรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าผู้ร้องตั้งสิทธิเข้ามาในคดีในฐานะคู่ความฝ่ายที่สามและเป็นปฏิปักษ์แก่ทั้งโจทก์และจำเลย หาใช่เข้ามาเพียงเป็นจำเลยต่อสู้คดีกับโจทก์โดยเฉพาะไม่ถือได้ว่าเป็นการร้องเข้ามาเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(1) ผู้ร้องมีสิทธิร้องสอดเข้ามาในคดีได้ ซึ่งข้อเท็จจริงในคดีที่หมายเหตุนี้ตรงกับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวมาแล้ว คำร้องของผู้ร้องสอดจึงน่าจะเป็นกรณีที่ถือได้ว่าผู้ร้องสอดเป็นผู้มีส่วนได้เสีย และเป็นการจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(1) สุวรรณตระการพันธุ์
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-01-01 11:53:21 |
[1] |