ปรึกษาเรื่อง ที่ดิน | |
คือว่า ก๋งมีที่ดินอยู่ 23 ไร่ แล้วนำไปจำนองไว้กับ นาย ก แต่ไม่มีเงินไปถ่ายคืน ต่อมาได้โอนชำระหนี้จำนองให้กับนาย ก และนาย ก ได้นำไปขายต่อ ให้นาย ข แล้วนาย ข ก็นำไปขายต่อให้ นาย ค ซึ่งตั้งแต่ซื้อขายกัน นาย ค ไม่เคยเข้ามาดูที่ดิน ที่ตัวเองซื้อเลยสักครั้งเดียว ตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 อยากถามว่าก๋งยังมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินอยู่หรือไม่ ซึ่งตอนไปโอนก๋งยินยองเพียงผู้เดียว ย่าซึ่งจดทะเบียนสมรส ไม่ได้ยินยอมสามารถแย้งได้หรือไม่ | |
ผู้ตั้งกระทู้ Yim :: วันที่ลงประกาศ 2014-03-29 14:39:00 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (3604538) | |
จากข้อเท็จจริงมีว่า ก๋ง ได้ทำนิติกรรมถึง 2 ครั้งคือ 1. จำนองเป็นประกันหนี้ 2. โอนกรรมสิทธิ์ให้นาย ก. ตีใช้หนี้ (ซึ่งคงทำแบบซื้อขาย) และจากนั้น นาย ก. ก็ทำนิติกรรมโอนต่อไปให้นาย ข. และนาย ค. ต่อไป โดยไม่มีผู้ใดที่เป็นเจ้าของใหม่มาดูแลที่ดินเลยนับแต่ปี 2549 คำถามว่า 1. ก๋งยังมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินอยู่หรือไม่ ตอบ - การโอนที่ดินเป็นการแสดงเจตนาสละสิทธิครอบครอง รวมตลอดถึงกรรมสิทธิ์ การถือครองที่ดินต่อมาเป็นการครอบครองแทนเจ้าของที่แท้จริง ก๋งไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่่ดินนั้นแล้ว
2. ตอนไปโอนก๋งยินยองเพียงผู้เดียว ย่าซึ่งจดทะเบียนสมรส ไม่ได้ยินยอมสามารถแย้งได้หรือไม่ ตอบ - เบื้องต้นควรไปตรวจสอบเอกสารในสารบบของโฉนดที่ดินแปลงนี้ว่าได้ทำหนังสือให้ความยินยอมในการจัดการสินสมรสหรือไม่ หากไม่มีก็อาจฟ้องเพิกถอนถอนได้ แต่หากปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้รับโอนรับโอนสไปโดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วก็จะได้รับความคุ้มครอบจากกฎหมาย ซึ่งคำตอบก็คงจะต้องพิจารณาข้อมูลจากหลักฐานอื่น ๆ ประกอบด้วย มาตรา 1476 สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้ มาตรา 1480 การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทำนิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียวหรือโดยปราศจากความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทำโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร. 0859604258 วันที่ตอบ 2014-04-02 08:30:02 |
[1] |