บุตรบุญธรรม | |
รบกวนสอบถามหน่อยค่ะ ถ้าไม่ได้จดเอกสารรับรองบุตร แล้วทีนี้บุตรคนนี้ไปกระทำความผิดฐาน ฉ้อโกงประชาชน คือในความเข้าใจของดิฉัน ตามกฎหมายถือว่าไม่ใช่ผู้ปกครอง | |
ผู้ตั้งกระทู้ รบกวนค่ะ :: วันที่ลงประกาศ 2013-02-03 16:08:18 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2332193) | |
บิดาไม่ได้รับรองบุตรต้องรับผิดชอบต่อบุตรผู้เยาว์ที่ไปทำละเมิดต่อบุคคลภายนอกหรือไม่? มารดา เป็นมารดาชอบด้วยกฎหมายเสมอ มาตรา 1546 เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชาย ให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น คนที่รับเด็กมาเลี้ยงดูแต่ไม่ได้จดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมถือว่าเป็นผู้รับดูแลผู้เยาว์ตาม มาตรา 430 ต้องร่วมรับผิดครับ มาตรา 429 บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด บิดามารดาหรือผู้อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น จำเลยทั้งสี่ให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเหตุแห่งการละเมิดทั้งหมดเกิดจากความประมาทของนายนิพนธ์บุญจันทร์ผู้ขับรถยนต์กระบะ จนเป็นเหตุให้เกิดการเฉี่ยวชนกันจำเลยที่ 1 มิได้ขับรถยนต์ด้วยความประมาทและไม่ได้อยู่ในความปกครองของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทั้งจำเลยที่ 2 และที่ 3ได้ใช้ความระมัดระวังดีแล้ว จำเลยที่ 2 เป็นคนบอกให้จำเลยที่ 3นำกุญแจรถจิ๊ปไปเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะเก็บเงินในร้านขายของของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 4 มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำละเมิดด้วยจึงไม่ต้องรับผิด ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องสูงเกินสมควรหากเสียหายก็ไม่เกิน 30,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2532 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง(วันที่ 24 มกราคม 2533) จะต้องไม่เกิน 4,191.78 บาทตามที่โจทก์ขอ จำเลยที่ 4 ให้ยกฟ้อง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงและการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238, 247 ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 อายุ 18 ปีเศษยังเป็นผู้เยาว์และเป็นบุตรอยู่ในความปกครองดูแลของจำเลยที่ 2ที่ 3 ซึ่งเป็นสามีภรรยากันแต่มิได้จดทะเบียนสมรส โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์เก๋งหมายเลขทะเบียน 4 จ-7244 กรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2532 เวลาประมาณ 20 นาฬิกา จำเลยที่ 1ได้ขับรถยนต์จิ๊ปหมายเลขทะเบียน น-5652 ชลบุรี ของจำเลยที่ 4ไปตามถนนสุขุมวิทจากอำเภอบ้านฉางมุ่งหน้าไปทางอำเภอเมืองระยองด้วยความเร็วสูงและประมาทล้ำเข้าไปในช่องเดินรถที่แล่นสวนทางมาและได้เกิดเฉี่ยวชนกับรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน ผ-0005 ชลบุรี ซึ่งแล่นสวนทางมาที่บริเวณหน้าวัดชากลูกหญ้า แล้วรถยนต์จิ๊ปเสียหลักและได้แล่นเข้าชนรถยนต์เก๋งที่โจทก์รับประกันภัยไว้ซึ่งแล่นตามหลังรถยนต์กระบะได้รับความเสียหาย มีปัญหาที่จะรับวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 3 ในปัญหาแรกคือ ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์นำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 430 มาใช้บังคับให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์เป็นการไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 2 เป็นบิดาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์ การที่จำเลยที่ 1 ไปกระทำละเมิดต่อผู้อื่น จะนำมาตรา 429 มาปรับใช้บังคับในส่วนที่เกี่ยวกับการที่จำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดด้วยหรือไม่ไม่ได้ แต่จำเลยที่ 2 เป็นผู้ปกครองดูแลจำเลยที่ 1ต้องนำมาตรา 430 มาปรับใช้บังคับในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2ศาลอุทธรณ์จึงนำมาตรา 430 มาใช้บังคับให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ได้โดยชอบ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 3 ในปัญหานี้ฟังไม่ขึ้น | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายลีนนท์0859604258 วันที่ตอบ 2013-02-04 21:17:41 |
[1] |