การแบ่งทรัพย์สินหลังหย่าร้าง | |
สามีกับภรรยาแต่งงานกันมาหลายสิบปี ทำมาหากินด้วยกันมีที่ดิน 2 แปลง แปลงที่หนึ่งได้มาจากการซื้อร่วมกันของทั้งสองคน แปลงที่สอง เป็นที่ดินอันเป็นมรดกของฝ่ายสามีซึ่งได้มาหลังจากที่แต่งงานแล้ว สามีนำความเดือดร้อนมาให้ โดยการเล่นการพนันโดยที่ฝ่ายภรรยาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ เลย ทำให้ต้องนำโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงเข้าจำนองกับธนาคาร โดยใช้ชื่อผู้กู้ร่วมกันอยากทราบว่า
1. หากมีการหย่าร้าง ภรรยาต้องรับภาระหนี้นั้นด้วยหรือไม่ หรือกำหนดให้สามีรับผิดชอบแต่ฝ่ายเดียวได้หรือไม่ เพราะเหตุเกิดจากสามีกระทำ 2. การแบ่งทรัพย์สินจากการหย่า ภรรยามีสิทธิในที่ดินแปลงที่สองหรือไม่ อย่างไร 3. ระหว่างการขายทรัพย์สินเพื่อแบ่ง กับ การหย่า เหตุการณ์ไหนจะเกิดขึ้นก่อนกัน 4. หากฝ่ายภรรยามีที่ดินอันเป็นมรดกที่ได้รับมาหลังจากแต่งงานแล้ว สามีมีสิทธิในการได้รับส่วนแบ่งที่ดินนั้นด้วยหรือไม่ อย่างไร (เหตุแห่งการหย่าร้าง เนื่องจากฝ่ายสามีมีพฤติกรรมไม่ใฝ่ดี ติดการพนัน ทำให้ครอบครัวต้องพบเจอกับความลำบาก และต้องขายที่ดินส่วนหนึ่งไปแล้วด้วย) | |
ผู้ตั้งกระทู้ ผู้ก่อการดี :: วันที่ลงประกาศ 2012-09-29 22:34:08 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2309362) | |
1. หากมีการหย่าร้าง ภรรยาต้องรับภาระหนี้นั้นด้วยหรือไม่ หรือกำหนดให้สามีรับผิดชอบแต่ฝ่ายเดียวได้หรือไม่ เพราะเหตุเกิดจากสามีกระทำ ตอบ - ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหนี้ กับลูกหนี้นั้นต้องเป็นไปตามสัญญากู้ยืมเงิน เมื่อคุณเป็นผู้กู้ร่วม คุณจึงเป็นลูกหนี้ร่วมโดยไม่ต้องคำนึงถึงเหตุแห่งการต้องมากู้ยืมงินนั้นเกิดจากผู้ใด แต่ในระหว่างสามีภริยา จะทำสัญญากันอย่างไรก็ได้แต่ไม่มีผลถึงเจ้าหนี้ ดังนั้นหากมีการผิดนัดตามสัญญากู้ยืมและจำนองคุณก็ไม่อาจอ้างสัญญาที่ทำกันเองมายันกับเจ้าหนี้เพื่อไม่ต้องชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ได้ครับ 2. การแบ่งทรัพย์สินจากการหย่า ภรรยามีสิทธิในที่ดินแปลงที่สองหรือไม่ อย่างไร ตอบ - ข้อเท็จริงที่ให้มา สามีได้ที่ดินแปลงที่สอง มาโดยการรับมรดกจึงเป็นสินส่วนตัวของสามี ภริยาจึงไม่มีส่วนได้เสียในที่ดินแปลงที่สองอันเป็นสินส่วนตัวของสามี มาตรา 1471 สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน 3. ระหว่างการขายทรัพย์สินเพื่อแบ่ง กับ การหย่า เหตุการณ์ไหนจะเกิดขึ้นก่อนกัน การหย่าโดยความยินยอม ก็ไปจดทะเบียนหย่ากันที่สำนักงานเขต/อำเภอ แล้วอาจตกลงกันเรื่องทรัพย์สินว่าจะแบ่งกันอย่างไรครับ เมื่อได้จดทะเบียนหย่าแล้ว หากฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวก็มีสิทธิฟ้องให้ปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนหย่าได้ครับ การหย่าโดยคำพิพากษาของศาล ต้องนำคดีขึ้นสู่ศาลและฟ้องขอแบ่งสินสมรส เมื่อศาลชี้ขาดว่าฝ่ายใดควรได้แบ่งสินสมรสอย่างไร ก็จะชี้ขาดในคำพิพากษา ถ้าฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาก็สามารถขอตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษาได้ครับ 4. หากฝ่ายภรรยามีที่ดินอันเป็นมรดกที่ได้รับมาหลังจากแต่งงานแล้ว สามีมีสิทธิในการได้รับส่วนแบ่งที่ดินนั้นด้วยหรือไม่ อย่างไร
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายลีนนท์0859604258 วันที่ตอบ 2012-10-20 18:34:13 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2309365) | |
ร้องขัดทรัพย์ว่าบ้านเป็นสินส่วนตัวไม่ใช่สินสมรส, ได้มาโดยการรับมรดก, บ้านที่โจทก์นำยึดออกขายทอดตลาดซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินของผู้ร้องเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องได้มาโดยการรับมรดกร่วมกับทายาทอื่นของ ล. สิทธิของผู้ร้องในบ้านจึงเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1471 (3) มิใช่สินสมรสที่โจทก์จะมีสิทธินำยึดได้ และผู้ร้องในฐานะเจ้าของรวมคนหนึ่งย่อมใช้สิทธิครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อเรียกร้องเอาทรัพย์สินคืนได้ตามมาตรา 1359 จึงมีอำนาจร้องขัดทรัพย์ มาตรา 1471 สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ที่ดินและบ้านที่โจทก์นำยึดมิใช่สินสมรสของจำเลยกับผู้ร้องแต่เป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องแต่ผู้เดียวผู้ร้องได้มาโดยญาติและบิดามารดายกให้ โจทก์ไม่มีสิทธินำยึด ผู้ร้องกับจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันแล้ว ขอให้มีคำสั่งปล่อยทรัพย์ที่ยึด โจทก์ให้การว่า ที่ดินและบ้านที่โจทก์นำยึดเป็นสินสมรสของจำเลยกับผู้ร้องที่ได้มาระหว่างสมรส มิใช่สินส่วนตัวของผู้ร้อง จำเลยกับผู้ร้องจดทะเบียนหย่าหลังจากโจทก์นำยึดทรัพย์ดังกล่าวแล้วขอให้ยกคำร้องขอ โจทก์อุทธรณ์ ศาลฎีกาวินิจฉัย พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังยุติได้ว่า ขณะโจทก์นำยึดบ้านเลขที่ 41 ตามสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย ร.2 ผู้ร้องกับจำเลยยังมิได้จดทะเบียนหย่ากัน บ้านดังกล่าวปลูกอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 17014 ซึ่งเป็นที่ดินที่นายอุเทนพี่ผู้ร้องจดทะเบียนยกให้แก่ผู้ร้องตามสำเนาหนังสือให้ที่ดินเอกสารหมาย ร.4 และสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ร.5 ซึ่งโจทก์นำยึดไว้เช่นเดียวกัน ปัญหาเกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 17014 ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 คดีคงมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาเฉพาะบ้านเลขที่ 41 ซึ่งผู้ร้องฎีกาว่าเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้อง เพราะเป็นทรัพย์มรดกของนางเล็กที่ตกทอดแก่บุตร คือผู้ร้องและพี่น้องรวมหกคน ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาตามคำแก้ฎีกาของโจทก์เสียก่อนว่า ฎีกาของผู้ร้องเป็นฎีกาที่ต้องห้ามหรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นโดยอ้างว่าบ้านเลขที่ 41 เป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องแต่ผู้เดียว มิใช่สินสมรสของจำเลยกับผู้ร้อง แม้ตามคำร้องขอจะมิได้อ้างว่าเป็นบ้านที่ผู้ร้องได้มาโดยการรับมรดกร่วมกับพี่น้องตามที่ผู้ร้องยกขึ้นอ้างมาในฎีกาก็ตาม แต่ก็เป็นการอ้างถึงที่มาเพื่อแสดงให้เห็นว่าบ้านดังกล่าวเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องซึ่งโจทก์ไม่มีสิทธินำยึดนั่นเอง ผู้ร้องจึงมีสิทธิยกขึ้นอ้างในฎีกาได้ เพราะเป็นเรื่องที่อยู่ในประเด็นตามคำร้อง หาใช่เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นดังที่โจทก์แก้ฎีกาไม่สำหรับปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องนั้น ผู้ร้องนำสืบว่าเดิมบ้านเลขที่ 41 เป็นของนางเล็ก นางเล็กใช้เป็นที่อยู่อาศัยตลอดจนกระทั่งถึงแก่ความตายเมื่อปี 2540 โดยผู้ร้องมีตัวผู้ร้อง นายอุเทนและนางคนอง จำปา น้องผู้ร้องเป็นพยานเบิกความยืนยัน สอดคล้องกับสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย ร.2 ซึ่งปรากฏว่ามีชื่อนางเล็กเป็นเจ้าบ้านและมีการบันทึกการตายของนางเล็กไว้ด้วย นอกจากนี้ยังปรากฏตามสำเนาหนังสือสัญญาให้ที่ดินเอกสารหมาย ร.4 ซึ่งทำขึ้นเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2541 ภายหลังที่นางเล็กถึงแก่ความตายไปแล้วว่า นายอุเทนยกที่ดินโฉนดเลขที่ 17014 ให้แก่ผู้ร้อง จึงน่าเชื่อว่าบ้านเลขที่ 41 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินเป็นทรัพย์มรดกของนางเล็กที่ตกทอดแก่บุตรทุกคนซึ่งเป็นทายาทและยังมิได้แบ่งปันกัน แม้นางคนองจะเบิกความว่า นางเล็กยกบ้านเลขที่ 41 ให้แก่ผู้ร้องแต่ผู้เดียว ก็ไม่อาจรับฟังว่าบ้านดังกล่าวมิใช่ทรัพย์มรดก เพราะไม่ปรากฏว่านางเล็กให้บ้านแก่ผู้ร้องโดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะทำให้การให้มีผลสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 เมื่อโจทก์มิได้นำสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่น พยานหลักฐานที่ผู้ร้องนำสืบมาจึงรับฟังได้ว่าบ้านเลขที่ 41 เป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องได้มาโดยการรับมรดกร่วมกับทายาทอื่นของนางเล็ก สิทธิของผู้ร้องในบ้านเลขที่ 41 จึงเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1471 (3) มิใช่สินสมรสที่โจทก์จะมีสิทธินำยึดได้ และผู้ร้องในฐานะเจ้าของรวมคนหนึ่งย่อมใช้สิทธิครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อเรียกร้องเอาทรัพย์สินคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1359 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ผู้ร้องไม่มีอำนาจร้องขัดทรัพย์เพราะบ้านเลขที่ 41 ยังไม่ตกเป็นของผู้ร้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น? | |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2012-10-20 18:57:26 |
[1] |