ละเมิดค่าเสียหาย(ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ) | |
จำเลยตกลงจะจ่ายเงินค่าเสียหายให้ในวันที่ 5ของทุกเดือนโดยโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร ตกลงทำสัญญาประนีประนอมต่อกันที่ศาลแล้วแต่ในวันที่6ได้ตรวจสอบบัญชีแล้วไม่มีเ้งินเข้าขั้นตอนต่อไปฝ่ายโจทก์จะต้องทำอย่างไรครับ | |
ผู้ตั้งกระทู้ ไพฑูรย์ :: วันที่ลงประกาศ 2011-09-14 11:32:19 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2225397) | |
สืบทรัพย์ลูกหนี้ตามคำพิพากษาและตั้งเจ้าพนักงานบังคดียึดทรัพย์สินของลูกหนี้ขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความต่อไป
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-10-15 11:47:13 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2225402) | |
ผิดนัดตามสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นเหตุให้ต้องออกหมายบังคับคดีหรือไม่ โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยอ้างว่า จำเลยผิดนัดไม่ผ่อนชำระหนี้งวดวันที่...นั้น ข้อเท็จจริงของโจทก์จำเลย ในวันครบกำหนดตามสัญญาฯเป็นวันเสาร์ซึ่งหยุดราชการ แต่จำเลยก็นำเงินเข้าบัญชีโจทก์ในวันจันทร์ซึ่งเป็นวันเปิดทำการวันแรกทันที การนับระยะเวลาตามมาตรา 193/8 "ถ้าวันสุดท้ายของระยะเวลาเป็นวันหยุดทำการตามประกาศเป็นทางการหรือตามประเพณี ให้นับวันที่เริ่มทำการใหม่ต่อจากวันที่หยุดทำการเป็นวันสุดท้ายของระยะเวลา ดังนั้น การที่จำเลยนำเงินเข้าบัญชีของโจทก์ทันทีในวันแรกที่เปิดทำการไม่ถือว่าจำเลยผ่อนชำระหนี้แก่โจทก์ล่วงพ้นกำหนดและตกเป็นผู้ผิดนัดตามสัญญาประนีประนอมยอมความ การที่ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเป็นการไม่ชอบ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5752/2553 จำเลยนำเงินเข้าบัญชีโจทก์ในวันจันทร์ที่ 1 กันยายน 2551 อันเป็นวันเปิดทำการวันแรกทันที ซึ่งการนับระยะเวลาตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/8 บัญญัติว่า ถ้าวันสุดท้ายของระยะเวลาเป็นวันหยุดทำการตามประกาศเป็นทางการหรือตามประเพณี ให้นับวันที่เริ่มทำการใหม่ต่อจากวันที่หยุดทำการนั้นเป็นวันสุดท้ายของระยะเวลา ดังนั้น การที่จำเลยนำเงินเข้าบัญชีของโจทก์ทันทีในวันแรกที่เปิดทำการจึงไม่ถือว่าจำเลยผ่อนชำระหนี้แก่โจทก์ล่วงพ้นกำหนดและตกเป็นผู้ผิดนัดตามสัญญาประนีประนอมยอมความ การที่ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีจึงเป็นการไม่ชอบ แม้โจทก์จะอ้างว่าธนาคารเปิดทำการในวันเสาร์อาทิตย์ ไม่อาจเป็นข้อยกเว้นของกฎหมายได้ และแม้จะมีข้อเท็จจริงปรากฏต่อมาว่า ในงวดที่สามและที่สี่จำเลยยังคงนำเงินเข้าบัญชีโจทก์เกินกำหนด ก็เป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นในภายหลัง ไม่ทำให้การออกหมายบังคับคดีที่ไม่ชอบกลับกลายเป็นหมายบังคับคดีที่ถูกต้องตามกฎหมายไปได้ กรณียังถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงไม่มีเหตุที่จะออกหมายบังคับคดีได้ คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยยินยอมจะชำระค่าสินค้า 75,000 บาท และค่าทนายความอีก 2,000 บาท แก่โจทก์ ตกลงผ่อนชำระเดือนละไม่น้อยกว่า 15,000 บาท ให้เสร็จสิ้นภายใน 5 งวด เริ่มชำระงวดแรกภายในวันที่ 30 กรกฎาคม 2551 และงวดต่อไปทุกภายในวันที่เดียวกับการชำระงวดแรก โดยจะชำระเข้าบัญชีของโจทก์ หากผิดนัดยอมให้โจทก์บังคับคดีทันทีได้เต็มตามฟ้อง 179,495 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากราคาที่ค้างชำระคือ 158,036 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม ต่อมาโจทก์ยื่นคำขอ จำเลยผิดนัดไม่ผ่อนชำระงวดวันที่ 30 สิงหาคม 2551 ตามกำหนด ขอให้ศาลตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งออกหมายบังคับคดี จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีโดยอ้างว่าจำเลยไม่ได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความและโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการแรก จำเลยมีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีหรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ภายหลังจากที่จำเลยยื่นคำร้องขอเพิกถอนหมายบังคับคดีแล้ว จำเลยยื่นคำแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีในคดีที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอีกคดีหนึ่งอายัดทรัพย์สินของจำเลย ทรัพย์สินของจำเลยถูกเจ้าหนี้หลายรายรวมทั้งโจทก์อายัดไว้แล้ว การอายัดทรัพย์สินของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเป็นการอายัดซ้ำกับคดีของโจทก์ ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการอายัดและเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ถอนการอายัดแล้ว ถือว่าจำเลยให้สัตยาบันแก่การบังคับคดีของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสาม จำเลยไม่อาจขอเพิกถอนหมายบังคับคดีได้ เห็นว่า การที่จำเลยยื่นคำแถลงในอีกคดีหนึ่งว่าเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอายัดซ้ำกับคดีของโจทก์ เป็นการดำเนินการในคดีอื่นอีกคดีหนึ่งภายหลังจากที่จำเลยยื่นคำร้องในคดีนี้เพื่อรักษาประโยชน์ของตนเองในฐานะที่เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษามิใช่การดำเนินการในคดีนี้มิใช่กรณีที่จำเลยได้ดำเนินการอันใดขึ้นใหม่หรือเป็นการให้สัตยาบันแก่การกระทำ ดังนั้น เมื่อจำเลยเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาเห็นว่าศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีไม่ถูกต้อง จำเลยมีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม ปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการต่อไป จำเลยผิดนัดตามสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นเหตุให้ต้องออกหมายบังคับคดีหรือไม่ เห็นว่า ตามคำขอลงวันที่ 5 กันยายน 2551 ของโจทก์ที่ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยอ้างว่า จำเลยผิดนัดไม่ผ่อนชำระหนี้งวดวันที่ 30 สิงหาคม 2551 นั้น ปรากฏตามคำแถลงรับข้อเท็จจริงของโจทก์จำเลย ในวันครบกำหนดคือวันที่ 30 สิงหาคม 2551 เป็นวันเสาร์ซึ่งหยุดราชการ แต่จำเลยก็นำเงินเข้าบัญชีโจทก์ในวันจันทร์ที่ 1 กันยายน 2551 เป็นวันเปิดทำการวันแรกทันที การนับระยะเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/8 บัญญัติว่า ถ้าวันสุดท้ายของระยะเวลาเป็นวันหยุดทำการตามประกาศเป็นทางการหรือตามประเพณี ให้นับวันที่เริ่มทำการใหม่ต่อจากวันที่หยุดทำการเป็นวันสุดท้ายของระยะเวลา ดังนั้น การที่จำเลยนำเงินเข้าบัญชีของโจทก์ทันทีในวันแรกที่เปิดทำการไม่ถือว่าจำเลยผ่อนชำระหนี้แก่โจทก์ล่วงพ้นกำหนดและตกเป็นผู้ผิดนัดตามสัญญาประนีประนอมยอมความ การที่ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเป็นการไม่ชอบ ส่วนที่โจทก์อ้างว่าธนาคารเปิดทำการในวันเสาร์อาทิตย์ก็มีนั้น ไม่อาจเป็นข้อยกเว้นของกฎหมาย และแม้จะมีข้อเท็จจริงปรากฏต่อมา ในงวดที่สามและที่สี่จำเลยยังคงนำเงินเข้าบัญชีโจทก์เกินกำหนด เป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นในภายหลัง ไม่ทำให้การออกหมายบังคับคดีที่ไม่ชอบกลับกลายเป็นหมายบังคับคดีที่ถูกต้องตามกฎหมายไปได้ ฟังได้ว่า จำเลยไม่ได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ ไม่มีเหตุที่จะออกหมายบังคับคดีได้ คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้เพิกถอนหมายบังคับคดีชอบแล้วอุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2011-10-15 12:07:19 |
[1] |