ฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดูบุตร | |
หนูหย่ากับสามีและตกลงว่าเขาจะจ่ายค่าลูกให้เดือนละ 3000บาท ค่าเรียนลูกคนละครึ่ง แต่ผ่านมา 3 เดือนต่ละเดือนต้องโทรไปทวง ไม่เคยจ่ายตรงสิ้นเดือนสักที เลยเป็นอาทิตย์ก็มี หนูเลยอยากฟ้องและอยากตกลงค่าเลี้ยงดูใหม่อีกเพราะคิดว่า 3000 คงไม่พอเดี๋ยวลูกก็โต จะให้เขาไปลงบันทึกหลังหย่าเพิ่มเติมก็ไม่ไป คิดว่าต่อไปต้องมีปัญหาแน่ๆ อยากจะทำอะไรให้มันเด็ดขาด แน่ชัดไปเลย ถ้าจะให้คุยกันปากเปล่า ก็รับปากไปส่งๆ รบกวนแนะนำวิธีการด้วยนะค่ะ หรือไม่ก็แนะนำคำพูดที่จะพูดกับเขาน่ะค่ะ | |
ผู้ตั้งกระทู้ คุณแม่ลูกหนึ่ง :: วันที่ลงประกาศ 2010-10-17 20:27:42 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2120002) | |
คุณเคยเป็นสามีภริยากัน เคยรักกันมาก่อน นอกจากนั้นยังเป็นพ่อของลูก มีอะไรก็คุยกันตรง ๆ เลยครับ ถ้าผิดสัญญาก็ต้องฟ้องครับ ดำเนินการบังคับคดีผ่านเจ้าพนักงานบังคับคดีน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดครับ
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมาย | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2010-10-17 22:40:52 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2120006) | |
การกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูของศาล ในการกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรให้คำนึงถึงความสามารถของผู้มีหน้าที่ต้องให้ฐานะของผู้รับและพฤติการณ์แห่งกรณี โจทก์(บิดา-ผู้ให้) อาศัยอยู่กับมารดามีรายได้จากเงินบำนาญเดือนละ 1,200 บาท ไม่ได้ประกอบอาชีพใด ส่วนจำเลย(มารดาบุตร)ยังรับราชการอยู่ได้รับเงินเดือน เดือนละ 17,000 บาท ซึ่งค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรบางส่วน เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียนนั้นจำเลย(มารดา)ย่อมเบิกจากทางราชการได้เมื่อพิเคราะห์แล้วเห็นควรกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรที่โจทก์(บิดา)ต้องชำระในช่วงแรกตั้งแต่บุตรเกิดจนถึงอายุ 12 ปี ให้โจทก์ ชำระเป็นเงินรวม 300,000 บาท และต่อไปทุกเดือน เดือนละ 2,500 บาท จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6058/2551 จำเลยฟ้องแย้งขอให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรตั้งแต่คลอดจนถึงขณะฟ้องแย้งเป็นเวลา 10 ปี ปีละ 25,000 บาท เป็นเงิน 2,500,000 บาท และต่อไปเป็นเวลา 10 ปี ปีละ 25,000 บาท เป็นเงิน 2,500,000 บาท รวม 5,000,000 บาท จำเลยประสงค์จะเรียกค่าอุปการะเลี้ยงบุตรปีละ 250,000 บาท การที่จำเลยขอแก้ไขฟ้องแย้งให้ถูกต้อง เนื่องจากพิมพ์ตัวเลขตกไป จึงเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อย อันเป็นข้อยกเว้นไม่ต้องยื่นคำร้องขอแก้ไขฟ้องแย้งก่อนวันชี้สองสถานหรือก่อนวันสืบพยานตาม ป.วิ.พ. มาตรา 180 ทั้งจำเลยไม่ได้ขอแก้ไขทุนทรัพย์ โดยยังคงติดใจเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดู 2,000,000 บาท และไม่ได้เปลี่ยนแปลงข้อหาตามฟ้องแย้งเดิมตามมาตรา 179 จึงไม่อยู่ในบังคับตามมาตรา 181 ที่จะต้องส่งสำเนาคำร้องขอแก้ไขฟ้องแย้งให้โจทก์ทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วัน ก่อนกำหนดนัดพิจารณาคำร้องนั้น โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อเดือนมีนาคม 2534 โจทก์และจำเลยทะเลาะกันเรื่องจำเลยประพฤติตัวไม่เหมาะสมคบหาชายอื่น โจทก์กับจำเลยจึงสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุไม่อาจอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขเกินกว่า 3 ปี จึงขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ ถ้าไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์ จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยอยู่กินเป็นสามีภริยากับโจทก์ มีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ เด็กหญิงพาขวัญ อายุ 11 ปีเศษ จำเลยมิได้ประพฤติตัวไม่เหมาะสมคบหาชายอื่น โจทก์ไม่เป็นสามีที่ดี มารดาโจทก์เข้ายุ่งเกี่ยวกับครอบครัวกล่าวหาจำเลย โจทก์เชื่อฟังมารดาของโจทก์ มารดาจำเลยทนพฤติกรรมโจทก์ไม่ได้จึงให้จำเลยย้ายไปอยู่ด้วย แต่จำเลยติดต่อกับโจทก์ตลอดมา ไม่ได้มีเจตนาแยกกันอยู่ โจทก์ไม่เคยช่วยเหลือจำเลยอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิงพาขวัญ จำเลยอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิงพาขวัญผู้เดียวเป็นเวลา 10 ปีเศษ เป็นเงินปีละ 250,000 บาท รวมเป็นเงิน 2,500,000 บาท ค่าอุปการะเลี้ยงดูตั้งแต่ปัจจุบันจนบรรลุนิติภาวะอีก 10 ปี ปีละ 250,000 บาท เป็นเงิน 2,500,000 บาท รวมเป็นเงิน 5,000,000 บาท แต่จำเลยขอเรียกร้องให้โจทก์ชำระเงินจำนวน 2,000,000 บาท โดยหากศาลจะพิพากษาให้โจทก์หย่าขาดกับจำเลยขอให้จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิงพาขวัญแต่เพียงผู้เดียว ขอให้โจทก์ชำระเงินจำนวน 2,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย และขอให้โจทก์ชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนจำเลย โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์กับจำเลยอยู่กินกันที่บ้านของโจทก์ มารดาโจทก์มิได้พักอาศัยอยู่ด้วยและไม่เคยเข้ามายุ่งเกี่ยวเหตุที่โจทก์กับจำเลยทะเลาะกันเนื่องจากโจทก์ทราบว่าจำเลยคบหาชายอื่น จำเลยบอกโจทก์ว่าต้องการเลิกกันแล้วจำเลยย้ายสิ่งของออกไปพร้อมทั้งนัดกันไปจดทะเบียนหย่าที่สำนักงานเขตราษฎร์บูรณะจำเลยกับโจทก์จึงสมัครใจแยกกันอยู่นับแต่นั้นเป็นต้นมา ขณะแยกกันอยู่จำเลยยังไม่ตั้งท้อง โจทก์ไม่ทราบว่าจำเลยมีบุตรกับโจทก์โจทก์ไม่ขอรับรองว่าเด็กหญิงพาขวัญ เป็นบุตรของโจทก์โจทก์ไม่จำเป็นต้องชดใช้เงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร ความจริงแล้วค่าอุปการะเลี้ยงดู ค่าการศึกษาไม่เกินปีละ 10,000 บาท รวม 10 ปี เป็นเงินไม่เกิน 100,000 บาท โจทก์รับผิดชอบครึ่งหนึ่งไม่เกิน 50,000 บาท ปัจจุบันเด็กหญิงพาขวัญอายุ 12 ปี จำเลยเรียกค่าอุปการะได้อีกไม่เกิน 8 ปี และยังไม่แน่ว่าเด็กหญิงพาขวัญจะเรียนไปอีกกี่ปี ค่าอุปการะเลี้ยงดู ค่าศึกษาเล่าเรียน ไม่เกินปีละ 10,000 บาท รวม 8 ปี เป็นเงินไม่เกิน 80,000 บาท โจทก์รับผิดชอบครึ่งหนึ่งไม่เกิน 40,000 บาท รวมเป็นเงินที่โจทก์ต้องรับผิดชอบไม่เกิน 90,000 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลย โดยให้จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิงพาขวัญ ผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว ให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์แก่จำเลยเป็นเงิน 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องแย้ง (ฟ้องแย้งวันที่ 20 พฤศจิกายน 2546) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยและให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูรายเดือนอีกเดือนละ 3,000 บาท นับถัดจากวันพิพากษา โดยให้ชำระภายในวันที่ 20 ของทุกเดือน (ครั้งแรกภายในวันที่ 10 กรกฎาคม 2547) จนกว่าผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะ กับให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมฟ้องแย้งแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนโดยคิดจากทุนทรัพย์ 400,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์จำนวน 5,000 บาท แทนจำเลย ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในข้อแรกว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้จำเลยแก้ไขฟ้องแย้งเกี่ยวกับค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจากปีละ 25,000 บาท เป็นปีละ 250,000 บาท ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า จำเลยฟ้องแย้งขอให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรตั้งแต่คลอดจนถึงขณะฟ้องแย้งเป็นเวลา 10 ปี ปีละ 25,000 บาท เป็นเงิน 2,500,000 บาท และต่อไปเป็นเวลา 10 ปี ปีละ 25,000 บาท เป็นเงิน 2,500,000 บาท รวม 5,000,000 บาท เห็นได้ชัดว่า จำเลยประสงค์จะเรียกค่าอุปการะเลี้ยงบุตรปีละ 250,000 บาท ยอดเงินจึงเป็นจำนวนดังกล่าว การที่จำเลยขอแก้ไขฟ้องแย้งให้ถูกต้อง เนื่องจากพิมพ์ตัวเลขตกไป จึงเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อย อันเป็นข้อยกเว้นไม่ต้องยื่นคำร้องขอแก้ไขฟ้องแย้งก่อนวันชี้สองสถานหรือก่อนวันสืบพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 ทั้งจำเลยไม่ได้ขอแก้ไขทุนทรัพย์ โดยยังคงติดใจเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดู 2,000,000 บาท และไม่ได้เปลี่ยนแปลงข้อหาตามฟ้องแย้งเดิมตามมาตรา 179 จึงไม่อยู่ในบังคับตามมาตรา 181 ในอันที่จะต้องส่งสำเนาคำร้องขอแก้ไขฟ้องแย้งให้โจทก์ทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วัน ก่อนกำหนดนัดพิจารณาคำร้องนั้น ซึ่งในวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้แก้ไขฟ้องแย้ง ยังอยู่ระหว่างนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ย่อมมีโอกาสสืบพยานเพิ่มเติมเพื่อหักล้างข้อแก้ไขตามฟ้องแย้งของจำเลยได้ แต่โจทก์กับแถลงหมดพยาน แสดงว่าโจทก์เข้าใจฟ้องแย้งของจำเลยดีแล้ว คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในข้อต่อมาว่า ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรที่ศาลชั้นต้นกำหนดมานั้นสูงเกินไปหรือไม่ ในข้อนี้ได้ความตามรายงานแสดงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีครอบครัวของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานครว่า โจทก์อาศัยอยู่กับมารดามีรายได้จากเงินบำนาญเดือนละ 1,200 บาท ไม่ได้ประกอบอาชีพใด ส่วนจำเลยยังรับราชการอยู่ได้รับเงินเดือน เดือนละ 17,000 บาท ซึ่งค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรบางส่วน เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียนนั้นจำเลยย่อมเบิกจากทางราชการได้ ในการกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/38 ให้คำนึงถึงความสามารถของผู้มีหน้าที่ต้องให้ฐานะของผู้รับและพฤติการณ์แห่งกรณี เมื่อพิเคราะห์แล้วเห็นควรกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรที่โจทก์ต้องชำระในช่วงแรกตั้งแต่บุตรเกิดจนถึงอายุ 12 ปี ให้โจทก์ชำระเป็นเงินรวม 300,000 บาท และต่อไปทุกเดือน เดือนละ 2,500 บาท จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาในส่วนนี้ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา” พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรแก่จำเลยในช่วงแรกเป็นเงิน 300,000 บาท และต่อไปทุกเดือน เดือนละ 2,500 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 5,000 บาท แทนจำเลย | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2010-10-17 23:00:07 |
[1] |