ReadyPlanet.com


ความผิดฐานบุกรุก


ทางครอบครัวผมได้ซื้อที่ดินมาแปลงหนึ่ง จ่ายเงินค่าที่ดินไปแล้วแต่ยังไม่ได้โอนกัน ขณะที่ซื้อที่ดินมีญาติของเจ้าของเดิม ทำนาอยู่ ทางเราจึงได้ไปเจรจาขอให้ ญาติคนนั้นออกจากที่ดินของเรา แต่ทางญาติคนนั้นขอผัดผ่อนว่าขอให้เก็บเกี่ยวข้าวในนาให้เสร็จเสียก่อนแล้วจะออกไป ทางเราก็ยินยอม ครั้นเมื่อญาติคนนั้นได้เก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว ก็ได้จ้างคนมาทำการไถปรับที่ดินเพื่อทำนาต่อไปทันที ทางเราได้ไปแจ้งให้ออกไปแล้วแต่ทางญาติคนนั้นเพิกเฉย

ถามว่าอย่างนี้แจ้งความดำเนินคดีข้อหาบุกรุกได้หรือไม่ ต้องทำอย่างไร



ผู้ตั้งกระทู้ เทวิน :: วันที่ลงประกาศ 2009-12-11 10:33:52


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (2014975)

ตามข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้ที่เป็นญาติเจ้าของเดิมได้เข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินที่ทางคุณได้ซื้อมาจึงเป็นการเข้าโดยอาศัยสิทธิของเจ้าของเดิม

ต่อมาทางคุณได้ไปบอกกล่าวให้ออกไปจากที่ดิน แต่ทางผู้ทำกิน ขอเก็บเกี่ยวผลผลิตก่อนและรับปากว่าจะออกไปจากที่ดิน จึงเป็นการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินของคุณโดยอาศัยสิทธิของคุณที่ได้ให้อนุญาตไว้ และคุณก็ตกลงแล้ว แต่เมื่อเก็บเกี่ยวแล้วเขาก็ไม่ยอมออกไปอีก จึงเป็นการผิดสัญญาทางแพ่ง คุณต้องฟ้องขับไล่อย่างเดียวครับ การกระทำดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นความผิดฐานบุกรุก

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2009-12-11 11:44:01


ความคิดเห็นที่ 2 (2014976)

ไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกที่นา

คำพิพากษาที่  2720/2551

จำเลยที่ 2 ทำประโยชน์อยู่ในที่ดินพิพาทหลังจากโจทก์ร่วมซื้อที่ดินพิพาทมาแล้วโดยได้รับความยินยอมจากเจ้าของที่ดินพิพาทเดิมและโจทก์ร่วมซึ่งเป็นเจ้าของคนต่อมา แม้จำเลยที่ 2 ตกลงว่าจะออกไปจากที่ดินพิพาทเมื่อเก็บเกี่ยวเผือกเสร็จแล้วแต่ไม่ออกไป ทั้งยังจ้างจำเลยที่ 1 ให้ทำการไถที่ดินพิพาทเพื่อปรับสภาพที่ดินเพื่อทำนาข้าวอีก และโจทก์ร่วมได้ห้ามปรามแล้ว แต่จำเลยที่ 2 ไม่เชื่อ ก็ไม่อาจถือว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนากระทำผิดอาญาฐานบุกรุก เพราะจำเลยที่ 2 กระทำต่อเนื่องจากการที่โจทก์ร่วมยินยอมให้จำเลยที่ 2 ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทได้ การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 ทำผิดข้อตกลงที่ตกลงไว้กับโจทก์ อันเป็นการกระทำละเมิดในทางแพ่ง ไม่เป็นความผิดอาญา

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2544 เวลากลางวันถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2544 เวลากลางวันต่อเนื่องกัน จำเลย ทั้งสองร่วมกันบุกรุกเข้าไปในที่นา อันเป็นอสังหาริมทรัพย์ของนายสานิตผู้เสียหาย โดยใช้รถไถแบบนั่งขับไถที่นาของผู้เสียหายปรับพื้นที่การทำนาเป็นเนื้อที่ 12 ไร่ โดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุอันสมควร เพื่อถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายและเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุข ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 362, 365

          ระหว่างพิจารณา นายสานิตผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต

          จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

          ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 จำคุก 6 เดือน ปรับ 2,000 บาท พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วโทษจำคุกเห็นควรให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก

          จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

          โจทก์ฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังยุติว่า นางสงัดเป็นมารดาจำเลยทั้งสองและนางเสงี่ยมซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 9028 ตำบลตลาดน้อย อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี ต่อมาวันที่ 5 กันยายน 2543 นางเสงี่ยมขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์ร่วมได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินกันตามกฎหมาย โดยขณะนั้นจำเลยที่ 2 ได้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินพิพาทตั้งแต่ก่อนโจทก์ร่วมซื้อที่ดินพิพาท คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ไม่เห็นด้วยที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 เนื่องจากเมื่อโจทก์ร่วมได้ซื้อที่ดินพิพาทจากนางเสงี่ยมแล้วก็ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทนับแต่รับโอนกรรมสิทธิ์ และการที่โจทก์ร่วมซื้อที่ดินพิพาทมาย่อมเป็นที่รู้กันทั่วไปเพราะเป็นหมู่บ้านในชนบท ที่จำเลยทั้ง 2 อ้างว่าเคยทำกินในที่ดินพิพาทมา 7-8 ปี จะถือโอกาสทำกินในที่ดินพิพาทต่อไปโดยอ้างว่าไม่ทราบว่าขณะเกิดเหตุโจทก์ร่วมได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจากนางเสงี่ยมแล้วเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง เพราะจำเลยที่ 2 สามารถสอบถามโจทก์ร่วมหรือนางเสงี่ยมก่อนเข้าทำการไถที่ดินพิพาทได้เพื่อให้แน่ใจก่อน เนื่องจากผู้อื่นซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินอาจจำหน่ายจ่ายโอนหรือกระทำอย่างใดเกี่ยวกับที่ดินของเขาก็ได้ไม่มีหน้าที่ต้องแจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบ แต่เป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 2 ต้องไปสอบถามผู้เกี่ยวข้องเพื่อความแน่ใจว่าได้มีการโอนที่ดินพิพาทให้แก่ผู้อื่นแล้วหรือไม่ ที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าไม่มีเจตนาบุกรุกจึงไม่ถูกต้อง ขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และลงโทษจำเลยที่ 2 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า โจทก์ร่วมเบิกความยืนยันว่า เมื่อซื้อที่ดินพิพาทจากนางเสงี่ยมแล้วโจทก์ร่วมไม่สามารถเข้าครอบครองที่ดินพิพาทได้ เนื่องจากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นน้องนางเสงี่ยมเจ้าของที่ดินเดิมปลูกเผือกอยู่ในที่ดินพิพาททั้งแปลง โจทก์ร่วมหาได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทนับแต่รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินมาจากนางเสงี่ยมตามที่โจทก์อ้างไม่ และโจทก์ร่วมก็ยังเบิกความยอมรับว่าโจทก์ร่วมยินยอมให้จำเลยที่ 2 ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทต่อไปจนกว่าจำเลยที่ 2 จะเสร็จการเก็บเกี่ยวผลผลิตพืชที่จำเลยที่ 2 ปลูกในที่ดินพิพาท ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 ประโยชน์อยู่ในที่ดินพิพาทหลังจากโจทก์ร่วมซื้อที่ดินพิพาทมาแล้วจึงเป็นการเข้าไปในที่ดินโดยได้รับความยินยอมจากเจ้าของที่ดินพิพาทเดิมและโจทก์ร่วมซึ่งเป็นเจ้าของคนต่อมา แม้โจทก์ร่วมจะอ้างว่า จำเลยที่ 2 ตกลงว่าจะออกไปจากที่ดินพิพาทเมื่อเก็บเกี่ยวเผือกเสร็จแล้วแต่ไม่ออกไป ทั้งยังจ้างจำเลยที่ 1 ให้ทำการไถที่ดินพิพาทเพื่อปรับสภาพที่ดินเพื่อทำนาข้าวอีก และโจทก์ร่วมกับนางอารมณ์ภริยาโจทก์ร่วมซึ่งเป็นเจ้าของร่วมในที่ดินพิพาทได้ห้ามปรามแล้ว แต่จำเลยที่ 2 ไม่เชื่อก็ตาม ก็ไม่อาจถือว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนากระทำผิดอาญาฐานบุกรุกตามที่โจทก์ฟ้องเพราะจำเลยที่ 2 กระทำต่อเนื่องจากการที่โจทก์ร่วมยินยอมให้จำเลยที่ 2 ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทได้ การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 ทำผิดข้อตกลงที่ตกลงไว้กับโจทก์ร่วม และเมื่อจำเลยที่ 2 รู้แล้วว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ร่วมแล้วไม่ยอมออกไปเมื่อโจทก์ร่วมแจ้งให้ออก การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นเรื่องการกระทำละเมิดในทางแพ่ง หาเป็นความผิดอาญาตามที่โจทก์ฟ้องไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”

          พิพากษายืน

 

ผู้แสดงความคิดเห็น *** วันที่ตอบ 2009-12-11 11:45:14


ความคิดเห็นที่ 3 (2015786)

ความผิดฐานบุกรุกต้องประกอบด้วยเจตนา
แต่จำเลยก็อ้างว่าจำเลยมีพยานหลักฐานอื่นคือ หลักฐานการเสียภาษีบำรุงท้องที่ของจำเลยตามแบบแสดงรายการที่ดิน ดังนั้น ในขณะที่เกิดเหตุคดีนี้จำเลยเชื่อโดยชอบว่า จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองหรือเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท จำเลยจึงไม่มีเจตนาบุกรุกที่ดินพิพาทหรือทำให้เสียทรัพย์ ส่วนที่ดินพิพาทจะเป็นของผู้ใดหรือผู้ใดมีสิทธิครอบครองนั้นเป็นเรื่องในทางแพ่ง จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานบุกรุกที่ดินพิพาทหรือทำให้เสียทรัพย์

 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งในชั้นฎีกาฟังได้ว่า โจทก์ร่วมมีชื่อเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 325 ตำบลตำตัว อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา โจทก์ร่วมอ้างว่าเมื่อปี 2541 จำเลยกับพวกบุกรุกเข้ามาในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 325 ทางด้านทิศตะวันตกและทิศเหนือ เนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 15 ตารางวา และตัดฟันต้นยางพาราที่โจทก์ร่วมปลูกไว้ 8 ต้น กับรื้อถอนท่อเหล็กที่โจทก์ร่วมใช้กั้นเป็นแนวเขตระหว่างที่ดินดังกล่าวกับที่ดินข้างเคียง

          คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมว่า จำเลยบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบยืนยันว่า โจทก์ร่วมเป็นผู้ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมาจนถึงปี 2541 จึงมีคดีพิพาทกับจำเลย แต่โจทก์ร่วมก็ได้เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า โจทก์ร่วมมีข้อพิพาทกับจำเลยเกี่ยวกับที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2526 นอกจากนี้โจทก์ร่วมก็ได้ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่ง ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 149/2542 ของศาลชั้นต้น แม้ว่าคดีดังกล่าวมีประเด็นว่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยมิชอบอันเป็นการใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ว่าโจทก์ร่วมถูกแย่งการครอบครองดังที่โจทก์ร่วมฎีกาก็ตาม แต่กรณีดังกล่าวก็ถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทว่าผู้ใดเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ซึ่งจำเลยก็อ้างว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยชอบมาตั้งแต่ปี 2513 จำเลยเป็นเจ้าของหรือผู้มีสิทธิครอบครองก่อนที่โจทก์ร่วมจะนำที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 325 ไปขอออกเอกสารสิทธิหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) ในโครงการเดินสำรวจตามประกาศกระทรวง แม้ว่าจำเลยไม่ได้นำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 หรือ น.ส. 3 ก.) มาแสดงดังที่โจทก์ฎีกา แต่จำเลยก็อ้างว่าจำเลยมีพยานหลักฐานอื่นคือ หลักฐานการเสียภาษีบำรุงท้องที่ของจำเลยตามแบบแสดงรายการที่ดิน ดังนั้น ในขณะที่เกิดเหตุคดีนี้จำเลยเชื่อโดยชอบว่า จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองหรือเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท จำเลยจึงไม่มีเจตนาบุกรุกที่ดินพิพาทหรือทำให้เสียทรัพย์ ส่วนที่ดินพิพาทจะเป็นของผู้ใดหรือผู้ใดมีสิทธิครอบครองนั้นเป็นเรื่องในทางแพ่ง จำเลยจึงไม่มีความผิดตามฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ฎีกาโจทก์และโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น

          พิพากษายืน.

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ** วันที่ตอบ 2009-12-14 13:40:45



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล