อายุความกู้ซื้อบ้านพร้อมที่ดิน | |
กู้เมื่อ 25 มิย.2539 หยุดส่งชำระตั้งแต่ประมาณ เมย.2540 ธนาคารส่งหนังสือมาโดยสำนักงานทนายความเอกชนเมื่อ 15 มิย.2549 และ 22 เมย.2552 ปัจจุบันยังไม่ได้มีการฟ้องศาลบังคับคดี ขอเรียนถามว่า 1). สัญญากู้ยืมเงินนี้ทั้งต้นและดอกเบี้ยขาดอายุความแล้วใช่หรือไม่ อย่างไรครับ 2). ธนาคารเพียงมีสิทธิ์บังคับจำนอง ไม่เกินวงเงินที่ทำสัญญาจำนองใช่หรือไม อย่างไรครับ ขอขอบพระคุณผู้ที่ตอบคำถามเป็นอย่างสูง
| |
ผู้ตั้งกระทู้ ชล :: วันที่ลงประกาศ 2010-09-08 14:38:08 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2105603) | |
1). สัญญากู้ยืมเงินนี้ทั้งต้นและดอกเบี้ยขาดอายุความแล้วใช่หรือไม่ อย่างไรครับ ตอบ--โดยหลักแล้ว สัญญากู้ยืมเงินที่ตกลงชำระเงินคืนเป็นงวด ๆ นั้นจะมีอายุความ 5 ปี ครับ(มาตรา 193/33 (2) มาตรา 193/33 สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ให้มีกำหนดอายุความห้าปี แต่การกู้ยืมเงินกับธนาคาร ปกติจะมีการผ่อนกันระยะยาว เช่น 20 ปี ดังนั้นก็ต้องอ่านเงื่อนไขในสัญญาว่ามีอะไรบ้าง?? เช่นหากผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งถือว่าผิดนัดทั้งหมด เจ้าหนี้มีสิทธิฟ้องบังคับคดีได้ทันที่ กรณีถ้ามีข้อตกลงกันผ่อนเป็นงวด ๆ แต่ผิดนัดงวดใด ก็สามารถใช้สิทธิเรียกร้องนั้นได้ทันที ส่วนงวดที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระนั้นก็ยังไม่มีสิทธิเรียกร้องคือยังไม่ผิดนัด ดังนั้นในงวดที่ผิดนัดนั้นก็จะมีอายุความ 5 ปี (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2316/2550) ทางสถาบันการเงินเช่นธนาคาร มีอาชีพปล่อยสินเชื่อ จึงไม่ค่อยพลาดในเรื่องอายุความครับ แต่อย่างไรก็ตาม เวลาถูกฟ้องก็ไม่ตัดสิทธิลูกหนี้จะยกอายุความขึ้นต่อสู้ ส่วนศาลจะมองอายุความเรื่องนี้อย่างไรก็คงต้องเป็นดุลพินิจของศาลครับ 2). ธนาคารเพียงมีสิทธิ์บังคับจำนอง ไม่เกินวงเงินที่ทำสัญญาจำนองใช่หรือไม่ อย่างไรครับ ตอบ--แม้หนี้ประธานจะขาดอายุความ หนี้จำนองก็สามารถบังคับกันได้อยู่ครับ และเรียกดอกเบี้ยได้ไม่เกิน 5 ปี ตามมาตรา 745 "ผู้รับจำนองจะบังคับจำนอง แม้เมื่อหนี้ที่ประกันนั้นขาดอายุความแล้วก็ได้ แต่จะบังคับเอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระในการจำนองเกินกว่าห้าปีไม่ได้" ในกรณีที่หนี้ประธานขาดอายุความแล้ว เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิบังคับเอากับทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้ได้อีก แม้คู่สัญญาจะได้ทำสัญญาตกลงยกเว้น มาตรา 733 ไว้ก็ตาม มาตรา 733 ถ้าเอาทรัพย์จำนองหลุดและราคาทรัพย์สินนั้นมีประมาณต่ำกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระกันอยู่ก็ดี หรือถ้าเอาทรัพย์สินซึ่งจำนองออกขายทอดตลาดใช้หนี้ได้เงินจำนวนสุทธิน้อยกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระกันอยู่นั้นก็ดีเงินยังขาดจำนวนอยู่เท่าใดลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในเงินนั้น
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2010-09-08 18:29:44 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2105604) | |
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2316/2550 หนังสือรับสภาพหนี้ของจำเลยที่ 1 เป็นหนังสือรับรองว่าจำเลยที่ 1 ยังเป็นหนี้โจทก์อยู่โดยตกลงผ่อนชำระหนี้เป็นรายเดือนมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ถือได้ว่าโจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงกำหนดวีธีชำระหนี้โดยผ่อนทุนคืนเป็นงวดๆ สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมีกำหนดอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/33 (2) เมื่อจำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตั้งแต่งวดแรก โจทก์จึงอาจบังคับสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองต้องชำระหนี้แต่ละงวดได้ตั้งแต่เมื่อครบกำหนดที่จำเลยทั้งสองต้องชำระหนี้เป็นงวดนั้นๆ สิทธิเรียกร้องในหนี้งวดใดที่พ้นกำหนดอายุความ 5 ปี นับย้อนหลังตั้งแต่วันฟ้องขึ้นไปจึงเป็นอันขาดอายุความ หนังสือรับสภาพหนี้ไม่ได้มีข้อตกลงว่า หากจำเลยทั้งสองผิดนัดงวดหนึ่งงวดใดถือว่าผิดนัดทั้งหมดหรือหนี้ทั้งหมดนั้นถึงกำหนดชำระอันจะทำให้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ทั้งหมดคืนได้ทันที ข้อความที่ระบุไว้ในหนังสือรับสภาพหนี้ว่า หากผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งยินยอมให้ฟ้องร้องบังคับคดีได้ทันที หมายถึงสิทธิเรียกร้องของโจทก์จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อจำเลยทั้งสองผิดนัดในงวดนั้นๆ แล้วเท่านั้น ส่วนงวดที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระโจทก์ก็ยังไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาแก่จำเลยทั้งสอง โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2540 จำเลยที่ 1 ทำสัญญารับสภาพหนี้ยอมรับว่าเป็นหนี้เงินกู้ยืมโจทก์จำนวน 52,000 บาท ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตกลงผ่อนชำระหนี้คืนเป็นรายเดือน เดือนละไม่น้อยกว่า 2,000 บาท เริ่มชำระเดือนแรกภายในวันที่ 19 มกราคม 2541 และทุกวันที่ 19 ของเดือนถัดไปจนกว่าจะชำระเสร็จหากผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งยอมให้โจทก์ฟ้องร้องบังคับคดีได้ทันที ในวันเดียวกันจำเลยที่ 2 ทำหนังสือค้ำประกันการชำระหนี้จำนวนดังกล่าวโดยยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 อย่างลูกหนี้ร่วม ภายหลังจำเลยที่ 1 ทำสัญญารับสภาพหนี้แล้วจำเลยทั้งสองมิได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โจทก์ติดตามทวงถามแล้วจำเลยทั้งสองเพิกเฉย ดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องเป็นเวลา 5 ปี 3 เดือน 14 วัน คิดเป็นเงิน 41,244 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงิน 93,244 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 93,244 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 52,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 40,000 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 2.50 บาทต่อเดือนเป็นเวลา 1 ปี เป็นเงิน 12,000 บาท สัญญารับสภาพหนี้จำนวน 52,000 บาท จึงรวมดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดโจทก์คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยและโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยที่ค้างชำระเกิน 5 ปี สัญญารับสภาพหนี้เป็นข้อตกลงให้มีการผ่อนทุนคืนเป็นงวด สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะให้ชำระหนี้ตามสัญญามีกำหนด 5 ปี เมื่อนับแต่วันที่ 19 มกราคม 2541 ถึงวันฟ้องเกิน 5 ปี คดีโจทก์ย่อมขาดอายุความ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงหลุดพ้นความรับผิดด้วย ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 46,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 2 เมษายน 2546 นับย้อนหลังไปเป็นเวลาไม่เกิน 5 ปี แต่ดอกเบี้ยคำนวนถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 2 เมษายน 2546) ต้องไม่เกิน 41,244 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงเป็นการต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามที่จำเลยทั้งสองฎีกาจึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยมาแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247 โดยศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2540 จำเลยที่ 1 ทำหนังสือรับสภาพหนี้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้เงินกู้โจทก์จำนวน 52,000 บาท ตกลงชำระคืนเป็นงวดรายเดือน เดือนละ 2,000 บาท โดยเริ่มชำระงวดแรกในวันที่ 19 มกราคม 2541 งวดถัดไปจะชำระภายในวันที่ 19 ของทุกๆ เดือนจนกว่าจะชำระเสร็จและยินยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้นตามหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ.1 มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันและยอมสละสิทธิตามกฎหมายที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 688, 689, 690 ตามหนังสือค้ำประกันเอกสารหมาย จ.2 ภายหลังจากนั้นจำเลยทั้งสองไม่เคยชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยคืนแก่โจทก์ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า หนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ.1 เป็นหนังสือรับรองว่าจำเลยที่ 1 ยังเป็นหนี้โจทก์อยู่โดยตกลงผ่อนชำระหนี้เป็นรายเดือน เดือนละ 2,000 บาท มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ถือได้ว่าโจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงกำหนดวิธีชำระหนี้โดยผ่อนทุนคืนเป็นงวดๆ สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมีกำหนดอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/33 (2) เมื่อปรากฏว่า หลังจากทำหนังสือรับสภาพหนี้แล้ว จำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตั้งแต่งวดแรกที่ต้องชำระภายในวันที่ 19 มกราคม 2541 โจทก์จึงอาจบังคับสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้แต่ละงวดได้ตั้งแต่เมื่อครบกำหนดที่จำเลยทั้งสองต้องชำระหนี้เป็นงวดนั้นๆ สิทธิเรียกร้องในหนี้งวดใดที่พ้นกำหนดอายุความ 5 ปี นับย้อนหลังตั้งแต่วันฟ้องขึ้นไปจึงเป็นอันขาดอายุความ ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าตามหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ.1 มีข้อตกลงกันว่า หากจำเลยทั้งสองผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งยินยอมให้ฟ้องร้องบังคับคดีได้ทันที โจทก์จึงอาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ทั้งหมดได้นับแต่จำเลยทั้งสองผิดนัดงวดแรกการนับอายุความเริ่มนับแต่วันดังกล่าว เมื่อนับถึงวันฟ้องจึงมีระยะเวลาเกินกว่า 5 ปีแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความนั้น เห็นว่า หนังสือรับสภาพหนี้ตามเอกสารหมาย จ.1 ไม่ได้มีข้อตกลงว่า หากจำเลยทั้งสองผิดนัดงวดหนึ่งงวดใดถือว่าผิดนัดทั้งหมดหรือหนี้ทั้งหมดนั้นถึงกำหนดชำระอันจะทำให้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ทั้งหมดคืนได้ทันที ข้อความที่ระบุไว้ในหนังสือรับสภาพหนี้ว่า หากผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งยินยอมให้ฟ้องร้องบังคับคดีได้ทันที น่าจะหมายถึงสิทธิเรียกร้องของโจทก์จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อจำเลยทั้งสองผิดนัดในงวดนั้นๆ แล้วเท่านั้น ส่วนงวดที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระโจทก์ก็ยังไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาแก่จำเลยทั้งสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นชอบแล้ว” พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ. ( ชาลี ทัพภวิมล - สมศักดิ์ จันทรา - ชูเกียรติ ตันทวีวงศ์ ) | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2010-09-08 18:32:22 |
ความคิดเห็นที่ 3 (2105617) | |
สิทธิที่จะบังคับคดีภายหลัง 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษา โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2518 นางนิต ได้กู้เงินโจทก์จำนวน 40,000 บาท กำหนดชำระเงินคืนภายในวันที่ 10 กันยายน 2519 และเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2518นางนิตยาได้กู้เงินโจทก์เพิ่มอีกจำนวน 25,000 บาท มีกำหนดระยะเวลา 24 เดือน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี จำเลยได้เข้าทำสัญญาค้ำประกันหนี้ดังกล่าวและจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 30290ตำบลในคลองบางปลากด อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้นั้นด้วย ต่อมาโจทก์ได้ฟ้องนางนิตยาและศาลแพ่งมีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 13955/2521ให้นางนิตยาชำระเงินจำนวน 92,139.54 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 65,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่นางนิตไม่ชำระเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 113223 แขวงประเวศเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ของนางนิตและนำออกขายทอดตลาดได้เงิน 101,000 บาท หักค่าใช้จ่ายชั้นบังคับคดีแล้วคงเหลือเงินจำนวน 91,929 บาท ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ซึ่งโจทก์หักชำระดอกเบี้ย78,149.35 บาท คงค้างชำระต้นเงิน 51,220.35 บาท หลังจากนั้นนางนิตยาและจำเลยไม่ชำระหนี้ดังกล่าวอีกเลย โจทก์บอกกล่าวทวงถามบังคับจำนองไปยังจำเลยแล้ว ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินและดอกเบี้ยก่อนฟ้องจำนวน 43,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปี ของต้นเงิน 25,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ จำเลยให้การว่า โจทก์ฟ้องขอบังคับตามสิทธิเรียกร้องเกิน10 ปี และโจทก์มิได้บังคับในคดีหมายเลขแดงที่ 13955/2521ให้เสร็จสิ้นภายใน 10 ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษา สิทธิการขอบังคับคดีหนี้เงินกู้อันเป็นหนี้ประธานย่อมระงับไป จำเลยผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดไปด้วย ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 43,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 25,000 บาท นับตั้งแต่วันที่9 มีนาคม 2533 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ถ้าจำเลยไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 30290 ตำบลในคลองบางปลากดอำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้จำเลยไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ส่วนที่ยังขาดจำนวนแก่โจทก์โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า สัญญาข้อ 5ในข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.7 อันเป็นการตกลงกันอย่างอื่นนอกเหนือจากบทบัญญัติตามมาตรา 733 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ใช้บังคับได้ ไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแต่ประการใด ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247 ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงมาว่า จำเลยได้นำที่ดินโฉนดเลขที่ 30290 ตำบลในคลองบางปลากดอำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ มาประกันหนี้ของนางนิตยา อัศศิระกุล จำนวน 25,000 บาท โดยยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามหนังสือสัญญาจำนองและข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองตามเอกสารหมาย จ.7 มีนายพิสันต์ ลงลายมือชื่อแทนจำเลยในฐานะผู้รับมอบอำนาจตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.19 นางนิตถูกโจทก์ฟ้องบังคับให้ชำระหนี้แล้วยังคงค้างโจทก์อยู่จำนวน 51,220.35 บาท เมื่อคิดถึงวันที่ 30เมษายน 2533 ตามบัญชีและรายการโอนชำระหนี้เอกสารหมาย จ.11,จ.12 ซึ่งจำเลยต้องรับผิดชำระเงินจำนวน 25,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยค้างชำระก่อนฟ้องในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เป็นเวลา 5 ปี เป็นเงิน18,750 บาท และนับแต่วันที่ 9 มีนาคม 2533 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 733ไม่ใช่บทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ผู้จำนองอาจตกลงกับผู้รับจำนองเป็นประการอื่นพิเศษนอกเหนือจากที่มาตรา 733 บัญญัติไว้ก็ย่อมกระทำได้ เช่น ในกรณีที่ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดแล้วยังได้เงินไม่พอใช้หนี้ ผู้จำนองยอมรับผิดให้ผู้รับจำนองยึดทรัพย์อื่นของตนมาใช้หนี้จนครบเป็นต้นข้อตกลงนี้ย่อมมีผลบังคับกันได้ตามกฎหมาย หาตกเป็นโมฆะอย่างใดไม่ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 168/2518 ระหว่างร้านสหกรณ์ร้อยเอ็ดจำกัด สินใช้ โจทก์ นายเสรี อิทธิสมบัติ กับพวก จำเลยนายเถียร นาครวาจา จำเลยร่วม แม้ปรากฎตามข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองที่จำเลยทำไว้กับโจทก์มีระบุไว้ในข้อ 5 ความว่าถ้าในการบังคับจำนองตามสัญญานี้ได้เงินไม่พอจำนวนเงินที่ค้างชำระจำนวนอยู่เท่าใด ผู้จำนองยอมรับผิดชอบใช้เงินที่ขาดจำนวนนั้นให้แก่ผู้รับจำนองจนครบจำนวนซึ่งหมายความว่า ถึงจะยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาดแล้วได้เงินไม่พอใช้หนี้แก่โจทก์ โจทก์ก็ยังมีสิทธิที่จะยึดทรัพย์อื่น ๆ ของจำเลยในฐานะผู้จำนองเป็นประกันมาใช้หนี้จนครบก็ตาม แต่หนี้ที่นางนิต ลูกหนี้ ค้างโจทก์หลังจากบังคับคดีแล้วไม่พอชำระนั้นเป็นเวลากว่า 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษา โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะบังคับเอาแก่ลูกหนี้อีกต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 จำเลยในผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 698 แต่ยังคงรับผิดตามทรัพย์จำนองซึ่งยุติตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล" พิพากษายืน ( เสริม บุญทรงสันติกุล - อุระ หวังอ้อมกลาง - ปราโมทย์ ชพานนท์ ) | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2010-09-08 19:09:08 |
ความคิดเห็นที่ 4 (2105933) | |
ขอถามเพิ่มเติมนะครับ ตามที่คุณทนายความลีนนท์กล่าวว่า "...แต่การกู้ยืมเงินกับธนาคาร ปกติจะมีการผ่อนกันระยะยาว เช่น 20 ปี ดังนั้นก็ต้องอ่านเงื่อนไขในสัญญาว่ามีอะไรบ้าง?? เช่นหากผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งถือว่าผิดนัดทั้งหมด เจ้าหนี้มีสิทธิฟ้องบังคับคดีได้ทันที่ กรณีถ้ามีข้อตกลงกันผ่อนเป็นงวด ๆ แต่ผิดนัดงวดใด ก็สามารถใช้สิทธิเรียกร้องนั้นได้ทันที ส่วนงวดที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระนั้นก็ยังไม่มีสิทธิเรียกร้องคือยังไม่ผิดนัด ดังนั้นในงวดที่ผิดนัดนั้นก็จะมีอายุความ 5 ปี (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2316/2550)...." ผมได้ไปดูสัญญากู้ในข้อ 6 ในวรรค 2 ระบุไว้ว่า"...การผิดนัดไม่ชำระหนี้...ถือว่าผู้กู้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ทุกงวด...." 1. เช่นนี้แล้วแสดงว่า เมื่อผมไม่ได้ส่งชำระตั้งแต่ปี 2540 นั้นมีผลทำให้หนี้ทุกงวดทั้งสัญญากู้เริ่มนับอายุความตั้งแต่นั้นมาใช้หรือไม่อย่างไรครับ ? 2. เพิ่มเติมข้อมูลนิดนึงนะครับ เมื่อตอนกู้เมื่อปี 2539 นั้น โฉนดที่บ้านที่จำนองกับธนาคารเป็นชื่อผมคนเดียว แต่ธนาคารให้ภรรยา(ปัจจุบันได้จดทะเบียนหย่ากันแล้วครับเมื่อปี 2551..หย่าการเมืองน่ะครับ)ลงชื่อเป็นผู้กู้ร่วมด้วย ดังนั้นถ้าสัญญาประธานตามข้อ 1. ขาดอายุความแล้ว ธนาคารจึงมีสิทธิเพียงบังคับจำนองตามวงเงินจำนองบวกดอกเบี้ย 5 ปี ถ้าทรัพย์จำนองไม่พอ ธนาคารก็เพียงมีสิทธิยึดทรัพย์อื่นๆของผู้จำนองซึ่งก็คือผมคนเดียว ใช่หรือไม่ครับ? 3. จากข้อ 1. ,2. แสดงว่าธนาคารไม่มีสิทธิ ไปฟ้องหรือยึดทรัพย์อื่นใดของภรรยาผมแล้วใช่หรือไม่ครับ?
ขอขอบคุณอีกครั้งครับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ชล วันที่ตอบ 2010-09-09 15:30:22 |
ความคิดเห็นที่ 5 (2106017) | |
1. เช่นนี้แล้วแสดงว่า เมื่อผมไม่ได้ส่งชำระตั้งแต่ปี 2540 นั้นมีผลทำให้หนี้ทุกงวดทั้งสัญญากู้เริ่มนับอายุความตั้งแต่นั้นมาใช้หรือไม่อย่างไรครับ ? ตอบ-- ใช่ครับ เพราะสัญญาระบุชัดว่าเขาเกิดสิทธิเรียกร้องเงินกู้ยืมคืนได้ทั้งหมด 2. เพิ่มเติมข้อมูลนิดนึงนะครับ เมื่อตอนกู้เมื่อปี 2539 นั้น โฉนดที่บ้านที่จำนองกับธนาคารเป็นชื่อผมคนเดียว แต่ธนาคารให้ภรรยา(ปัจจุบันได้จดทะเบียนหย่ากันแล้วครับเมื่อปี 2551..หย่าการเมืองน่ะครับ)ลงชื่อเป็นผู้กู้ร่วมด้วย ดังนั้นถ้าสัญญาประธานตามข้อ 1. ขาดอายุความแล้ว ธนาคารจึงมีสิทธิเพียงบังคับจำนองตามวงเงินจำนองบวกดอกเบี้ย 5 ปี ถ้าทรัพย์จำนองไม่พอ ธนาคารก็เพียงมีสิทธิยึดทรัพย์อื่นๆของผู้จำนองซึ่งก็คือผมคนเดียว ใช่หรือไม่ครับ? ตอบ-- ถ้าหนี้ประธานขาดอายุความ เจ้าหนี้ฟ้องบังคับได้เฉพาะตัวทรัพย์ที่จำนอง และคิดดอกเบี้ย ย้อนหลังได้ 5 ปี โดยไม่มีสิทธิบังคับคดีเอากับทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้ได้ (ทั้งสองคน) ครับ 3. จากข้อ 1. ,2. แสดงว่าธนาคารไม่มีสิทธิ ไปฟ้องหรือยึดทรัพย์อื่นใดของภรรยาผมแล้วใช่หรือไม่ครับ? ตอบ-- ถ้าหนี้ประธานขาดอายุความ ฟ้องยึดทรัพย์สินอื่นไม่ได้ทั้งสองคนครับ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2010-09-09 20:07:53 |
[1] |