ReadyPlanet.com


แนวทางแก้ปัญหา


 สวัสดีค่ะ

   จะรบกวนถามเรื่องการซื้อที่ดินค่ะ คือได้ไปตกลงซื้อที่ดิน 1 แปลง โดยทำสัญญาจะซื้อจะขายและจ่ายค่ามัดจำไป 3 % เงินที่เหลือจ่ายในวันโอน (ประมาณ 20วัน หลังจากทำสัญญาจะซื้อจะขาย) โดยระบุว่าหากผู้ขายผิดสัญญาต้องจ่ายค่าเสียหาย 3 เท่าของเงินมัดจำ พอใกล้วันโอนโทรไปนัดเวลา ผู้ขายกลับขอเรียกเงินค่าที่เพิ่มอีก 1 หมื่นบาท ไม่งั้นไม่ขาย อยากได้ค่าเสียหายก็ไปฟ้องเอา

   ตอนนี้ก็ใกล้วันโอนแล้ว ไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไรคะ ถ้าคนขายผิดสัญญา (ในสัญญาจะซื้อจะขาย คนขายไม่ได้ให้สามีเซ็นยินยอม แต่มีพยาน 2 คน ฝ่ายผู้ขายคือลูกเค้า และพยานฝ่ายผู้ซื้อ 1 คนค่ะ)
  

  ขอบคุณมากค่ะ

 

 

  

 



ผู้ตั้งกระทู้ เหนื่อยใจ :: วันที่ลงประกาศ 2010-10-28 14:24:33


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (2123504)

คุณสามารถฟ้องให้ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายได้ครับ เรื่องพยานไม่มีประเด็นสำคัญหรือทำให้สัญญาเสียไปครับ

ใช้สิทธิทางศาล ติดต่อทนายความดำเนินการให้ครับ  โชคดีนะครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2010-10-29 12:45:08


ความคิดเห็นที่ 2 (2123607)

อายุความฟ้องขอให้ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขาย

คู่สัญญาตกลงจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายให้ เมื่อผู้จะขายผิดนัดไม่ดำเนินการทางทะเบียนให้  สิทธิเรียกร้องของผู้จะซื้อที่จะให้คู่สัญญาปฏิบัติตามสัญญาจึงเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่กำหนดไว้ในสัญญาเป็นต้นไปและสิทธิเรียกร้องตามสัญญาจะซื้อขาย มิได้มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะจึงมีอายุความ 10 ปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  1708/2545

          ในคำฟ้องปรากฏข้อความว่าจำเลยตกลงจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายให้โจทก์ในวันที่ 11กุมภาพันธ์ 2528 ส่วนหนังสือสัญญาจะซื้อขายก็ปรากฏข้อความว่าจำเลยจะทำการโอนกรรมสิทธิ์กันในปี 2528 แสดงว่าจำเลยต้องจดทะเบียนโอนภายในวันที่ 31 ธันวาคม2528 เป็นอย่างช้าที่สุด ดังนั้น เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ดำเนินการทางทะเบียนให้แก่โจทก์ภายในเวลาดังกล่าว สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาจึงเกิดขึ้นตั้งแต่วันถัดจากวันที่ 31 ธันวาคม 2528 เป็นต้นไปและสิทธิเรียกร้องของโจทก์มิได้มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะจึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 โจทก์ชอบที่จะใช้สิทธิฟ้องคดีอย่างช้าภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2538 แต่โจทก์ฟ้องจำเลยวันที่ 1 กรกฎาคม2542 เกินกว่ากำหนด 10 ปี จึงขาดอายุความ ตามมาตรา 193/9

          โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2528 จำเลยทั้งสองทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 366 ให้แก่โจทก์ในราคา 40,000 บาท โดยตกลงจะจดทะเบียนโอนในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2528 และโจทก์ชำระราคาให้แก่จำเลยทั้งสองครบถ้วนแล้วแต่จำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ไปจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์ตามสัญญา ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3)เลขที่ 366 ตำบลม่วงงาม อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ให้แก่โจทก์หากจำเลยทั้งสองไม่ไปให้ถือเอาตามคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน

          จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เกินกว่ากำหนด 10 ปีฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

          ระหว่างพิจารณาจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ในประเด็นว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ

          ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว ให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสอง ยกคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยทั้งสอง แล้วพิพากษายกฟ้อง
          โจทก์อุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
          โจทก์ฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้วหรือไม่ เห็นว่า คำฟ้องของโจทก์แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาว่าจำเลยทั้งสองตกลงจะขายที่ดินให้แก่โจทก์ 1 แปลง และได้ทำสัญญาไว้ต่อกัน ตามหนังสือสัญญาจะซื้อขายเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 แต่จำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ไปจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ตามสัญญา จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสองปฏิบัติตามหนังสือสัญญาจะซื้อขายดังกล่าว ขณะเดียวกันจำเลยทั้งสองก็ได้แสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ฉะนั้นประเด็นพิพาทข้อหนึ่งจึงมีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ซึ่งประเด็นพิพาทข้อนี้ศาลชอบที่จะวินิจฉัยได้จากคำฟ้องประกอบหนังสือสัญญาจะซื้อขายท้ายฟ้องที่โจทก์อ้างเป็นมูลเหตุแห่งคดีนี้นั่นเอง โดยไม่จำต้องอาศัยข้อเท็จจริงจากการสืบพยานหลักฐานใด ๆ ทั้งนี้ เพราะในคำฟ้องปรากฏข้อความชัดเจนว่าจำเลยทั้งสองตกลงจะจดทะเบียนโอนในวันที่ 11กุมภาพันธ์ 2528 ส่วนหนังสือสัญญาดังกล่าวก็ปรากฏข้อความว่าจำเลยทั้งสองจะทำการโอนกรรมสิทธิ์กันให้ถูกต้องตามกฎหมายในปี 2528 อันเป็นการแสดงว่าจำเลยทั้งสองต้องจดทะเบียนโอนภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2528 เป็นอย่างช้าที่สุด ดังนั้น เมื่อจำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ดำเนินการทางทะเบียนให้แก่โจทก์ภายในเวลาดังกล่าว สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามสัญญาจึงเกิดขึ้นตั้งแต่วันถัดจากวันที่ 31 ธันวาคม 2528 เป็นต้นไปเมื่อสิทธิเรียกร้องของโจทก์ในคดีนี้มิได้มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะจึงต้องอยู่ในกำหนดอายุความ 10 ปี ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/30 บัญญัติไว้ โจทก์จึงชอบที่จะใช้สิทธิฟ้องคดีอย่างช้าภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2538 แต่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2542 เกินกว่ากำหนด10 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/9 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์เพราะเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องทำการสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสองต่อไปและศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืนมานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
          พิพากษายืน
( พันธาวุธ ปาณิกบุตร - ดลจรัส รัตนโศภิต - ประพันธ์ ทรัพย์แสง )

ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2010-10-29 20:35:15


ความคิดเห็นที่ 3 (2124627)

ควรฟ้องครับ เขาจะได้ไม่นำที่ดิน ไปทำอย่างนี้กับใครอีก กลายเป็นที่ดินพิพาท ไม่สามารถซื้อขายได้ ครับ ติดต่อทนายครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ความเป็นธรรม วันที่ตอบ 2010-11-02 09:26:45



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล