ฟ้องหย่า ขอเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร | |
เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายมีบุตรด้วยกัน 2 คน ภริยาทำกิจการร้านอาหาร ต่อมากิจการขาดทุน เนื่องจากสามีไม่ได้ช่วยดูแลกิจการ แต่แอบไปมีหญิงอื่น ต่อมาภริยามีหนังสือร้องเรียนไปยังผู้บังคับบัญชาของสามี เรื่องสามีคบหญิงอื่น สามีจึงถูกผู้บังคับบัญชาเรียกไปทำรายงานเสนอ นอกจากนี้สามีภริยามีปัญหาทะเลาะกันเป็นประจำ ต่อมาภริยาได้หนีไปอาศัยอยู่ที่บ้านญาติเป็นเวลาเกินหนึ่งปีโดยนำบุตรไปเลี้ยงดูที่บ้านญาติ ต่อมาภายหลังจึงนำบุตรมาคืน คำถามว่า | |
ผู้ตั้งกระทู้ **w :: วันที่ลงประกาศ 2011-01-19 16:21:36 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2146592) | |
การที่ภริยามีหนังสือร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของสามีและอาจารย์ผู้สอนสามีในการศึกษาระดับปริญญาโทเรื่องความประพฤติส่วนตัวของสามี ซึ่งในฐานะภริยาย่อมมีความรักและหึงหวงสามีมีสิทธิที่จะกระทำได้ เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาของสามีและอาจารย์ผู้สอนสามีว่ากล่าวตักเตือนสามีให้นึกถึงครอบครัว กรณีถือไม่ได้ว่าเป็นการประจานสามีให้ต้องอับอายเสียชื่อเสียงอีกทั้งสามีมิได้ถูกดำเนินการทางวินัยร้ายแรง สามีจะอ้างเหตุดังกล่าวว่าเป็นกรณีว่าภริยาได้กระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรงไม่ได้ สามีจึงไม่มีสิทธิฟ้องหย่า | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-01-19 16:30:18 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2146593) | |
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 994/2552 จำเลยมีหนังสือร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของโจทก์และอาจารย์ผู้สอนโจทก์ในการศึกษาระดับปริญญาโทเรื่องความประพฤติส่วนตัวของโจทก์ ซึ่งจำเลยในฐานะภริยาย่อมมีความรักและหึงหวงสามีมีสิทธิที่จะกระทำได้ เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาของโจทก์และอาจารย์ผู้สอนโจทก์ว่ากล่าวตักเตือนโจทก์ให้นึกถึงครอบครัว กรณีถือไม่ได้ว่าเป็นการประจานโจทก์ให้ต้องอับอายเสียชื่อเสียงอีกทั้งโจทก์มิได้ถูกดำเนินการทางวินัยร้ายแรง โจทก์จะอ้างเหตุดังกล่าวว่าเป็นกรณีจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรงไม่ได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลย โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายมีบุตรด้วยกัน 2 คน คือเด็กชายคมกริช และเด็กหญิงวิภาดา เมื่อปี 2546 จำเลยประกอบกิจการร้านอาหาร โจทก์ตักเตือนและห้ามปรามแต่จำเลยไม่ฟัง ต่อมากิจการขาดทุน จำเลยได้นำทรัพย์สินต่างๆ ไปขายและโจทก์ต้องกู้เงินจากสหกรณ์มาชำระหนี้ เป็นเงิน 150,000 บาท ต่อมาโจทก์ทราบว่าจำเลยมีหนังสือร้องเรียนไปยังผู้บังคับบัญชาของโจทก์กล่าวหาว่าโจทก์คบหญิงอื่นโจทก์จึงถูกผู้บังคับบัญชาเรียกไปทำรายงานเสนอโจทก์และจำเลยมีปัญหาทะเลาะกันเป็นประจำทำให้โจทก์ได้รับความอับอายต่อผู้บังคับบัญชา เพื่อน และบุคคลทั่วไป เมื่อประมาณเดือนมกราคม 2547 จำเลยได้ทิ้งร้างโจทก์หนีไปอาศัยอยู่ที่บ้านญาติที่รังสิตจนถึงขณะนี้เป็นเวลาเกินหนึ่งปีแล้ว ทั้งจำเลยพยายามแกล้งโจทก์โดยนำบุตรไปเลี้ยงดูที่บ้านที่รังสิต ต่อมาภายหลังจึงนำบุตรมาคืนแก่โจทก์ การกระทำของจำเลยเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามี หรือภริยากันอย่างร้ายแรง ขอให้พิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากกัน และให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองแต่เพียงผู้เดียว จำเลยให้การว่า ในปี 2546 จำเลยประกอบกิจการร้านขายอาหาร โจทก์เห็นชอบด้วยจึงไปกู้เงินจากสหกรณ์ แต่โจทก์ไปคบหาหญิงอื่นฉันชู้สาว ให้จำเลยดูแลร้านอาหารเพียงผู้เดียว จำเลยขอร้องให้โจทก์เลิกยุ่งเกี่ยวกับหญิงอื่นแล้วมาช่วยจำเลยประกอบกิจการร้านอาหารดังกล่าว แต่โจทก์ไม่เชื่อฟัง จำเลยจึงทำหนังสือร้องเรียนไปยังผู้บังคับบัญชาของโจทก์เพื่อให้ตักเตือนโจทก์ โจทก์โกรธจำเลยจึงทิ้งจำเลยไปอยู่บ้านบิดามารดาของโจทก์ จำเลยต้องเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองเพียงลำพัง ต่อมาจำเลยไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรทั้งสองได้จึงให้โจทก์เป็นผู้เลี้ยงดู จำเลยไปทำงานกับพี่สาวที่จังหวัดปทุมธานีซึ่งโจทก์เห็นชอบ และจำเลยกลับไปเยี่ยมบุตรเดือนละสองครั้ง จำเลยไม่เคยทำให้โจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง จนเป็นปฏิปักษ์ต่อการอยู่กินฉันสามีภริยา โจทก์ไม่ได้เสื่อมเสียชื่อเสียงจำเลยไม่ได้ทิ้งร้างโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ พิพากษายืน จำเลยไม่ได้ยื่นคำแก้ฎีกา จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้ ( เสริมศักดิ์ ผลัดธุระ - นพวรรณ อินทรัมพรรย์ - สิริรัตน์ จันทรา ) | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โดยทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-01-19 16:31:55 |
[1] |