การจะยกที่ดินให้เป็นสาธารณะ | |
ต้องการยกที่ดิน(มีโฉนด)ให้กับเทศบาลฯเพื่อนำไปใช้ในการสร้างเป็นถนน มีวิธีการ ขั้นตอนอย่างไรบ้างครับ และทางเทศบาลต้องดำเนินการอย่างไร จึงจะสมบูรณ์ รวมถึงกรณีเป็นที่ที่ไม่มีโฉนดด้วย ขอความกรุณาด้วยครับ ขอบคุณครับ | |
ผู้ตั้งกระทู้ คุณบ๊อย :: วันที่ลงประกาศ 2011-02-23 15:12:31 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2156017) | |
คุณไปติดต่อทางเทศบาลว่ามีความประสงค์จะยกที่ดินให้กับทางเทศบาลเพื่อเป็นประโยชน์แก่สาธารณะ เดี๋ยวทางเทศบาลเขาจะช่วยทำหนังสือให้คุณลงชื่อไว้เป็นหลักฐานเอง เท่านี้ก็มีผลทำให้ที่ดินของคุณตกเป็นที่ดินสาธารณะได้แล้วครับ โดยยังไม่ต้องไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ที่สำนักงานที่ดิน
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-02-24 11:11:28 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2156020) | |
เพียงทำหนังสือแสดงเจตนายกให้เป็นทางสาธารณปรโยชน์ไม่ต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็มีผลบังคับได้ตามกฎหมาย ที่ดินแปลงดังกล่าวเดิมมีชื่อเจ้าของรวม 3 คน คือ นายชื้น, นายช้วน, นายล้วน ต่อมานายชื้นได้ทำหนังสือยกทางให้เป็นทางสาธารณประโยชน์กว้าง 6 เมตร ยาวตลอดแนวเขตที่ดิน ตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2505 และเมื่อปี 2508 ยังมีบันทึกเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้อีก 1 ฉบับ การบันทึกเมื่อปี 2508 นายช้วนกับนายล้วน ทำหนังสือมอบอำนาจให้นายชื้นทำนิติกรรมแทนด้วย การยกที่ดินให้ให้เป็นทางสาะาระณประโยชน์ไม่ได้จดทะเบียนยกให้กับพนักงานเจ้าหน้าที่ ภายหลังชาวบ้านใช้เป็นทางเข้าออกหมู่บ้านโดยตลอด จึงเป็นทางสาธารณะแล้ว แต่เมื่อไม่ปรากฏหลักฐานทางทะเบียนว่ามีการยกให้เป็นทางสาธารณะ ในปี 2518 จึงไปพบนายชื้นและให้ทำบันทึกยืนยันว่าแสดงเจตนายกให้เป็นทางสาธารณะแล้ว หลังจากนั้นการเคหะแห่งชาติวางท่อประปาเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยในหมู่บ้านมีน้ำใช้ ซึ่งเจ้าของใหม่ก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด นอกจากนี้การเคหะแห่งชาติยังปรับปรุงทางพิพาทเป็นถนนลาดยางอีกด้วย ต่อมาเมื่อมีการจัดตั้งเทศบาลตำบลปากเกร็ด ทางพิพาทจึงอยู่ในความดูแลของเทศบาลตำบลปากเกร็ด
เทศบาลตำบลปากเกร็ด โจทก์ ช. ยกทางพิพาทให้เป็นทางสาธารณะแล้ว แม้จะระบุว่า ช. จะมาจดทะเบียนให้เสร็จภายใน 3 วัน แต่เป็นการยกให้เป็นทางสาธารณะจึงตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยสมบูรณ์ตามกฎหมายทันทีที่ ช. ได้แสดงเจตนาโดยไม่จำต้องจดทะเบียนโอนสิทธิการให้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 525 อีก ทั้งการยกที่ดินให้เป็นทางสาธารณะไม่ต้องมีนายอำเภอหรือนายกเทศมนตรีในท้องที่แสดงเจตนารับ ทางพิพาทติดจำนองอยู่โดยสัญญาจำนองระบุว่า ผู้จำนองจะให้สิทธิหรือทรัพยสิทธิไม่ว่าด้วยประการใด ๆ แก่ผู้อื่นในทรัพย์สินที่จำนอง เป็นที่เสื่อมเสียต่อสิทธิของผู้จำนองเองในทรัพย์สินที่จำนอง ผู้จำนองต้องได้รับความยินยอมจากผู้รับจำนองเป็นลายลักษณ์อักษรนั้น เป็นเรื่องระหว่างผู้จำนองกับผู้รับจำนอง ทั้งในหนังสือสัญญาจำนองก็ระบุไว้ว่า ถ้าผู้จำนองประพฤติผิดหรือไม่ประพฤติตามสัญญาที่กำหนดไว้ข้อหนึ่งข้อใดหรือทั้งหมด ผู้รับจำนองมีสิทธิจะเรียกให้ผู้จำนองชำระหนี้และบังคับจำนองได้ทันทีเท่านั้น การที่ธนาคารผู้รับจำนองมิได้ให้ความยินยอมจึงไม่มีผลบังคับให้การยกทางพิพาทเป็นทางสาธารณะเสียเปล่า คดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีอาญาว่า เข้าไปยึดครอบครองและก่อสร้างในที่ดินของรัฐซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน โดยไม่มีสิทธิ ศาลพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด แต่ศาลวินิจฉัยแต่เพียงว่า กรณียังมีข้อโต้แย้งกันอยู่ว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะหรือไม่ การที่จำเลยที่ 1 ใช้ให้ผู้อื่นนำดินไปถมในทางพิพาทโดยเชื่อว่ามีสิทธิทำได้ในฐานะเจ้าของที่ดินนั้น จึงยังไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนากระทำความผิดตามฟ้อง คำวินิจฉัยดังกล่าวไม่มีข้อความตอนใดที่วินิจฉัยว่าทางพิพาทไม่ใช่ทางสาธารณะ คดีนี้จึงไม่ต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีส่วนอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณปี 2503 เทศบาลนครกรุงเทพจะปรับปรุงแหล่งเสื่อมโทรมบริเวณกรมทางหลวงใกล้พระราชวังสวนจิตรลดา จึงได้จัดซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 428 ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด (ตลาดขวัญ) จังหวัดนนทบุรี พร้อมอาคารจำนวน 103 หลัง จากบริษัทที่ดินและอาคารสงเคราะห์ จำกัด จัดสรรให้ราษฎรที่อยู่อาศัยบริเวณดังกล่าวมาอยู่อาศัยอีก มีชื่อว่า หมู่บ้านอาคารแจ้งวัฒนะเวศม์ ซึ่งจะต้องผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 432 ของนายชื้น แย้มบุญ นายช้วน แย้มบุญ และนายล้วน แย้มบุญ กับที่ดินของบริษัทที่ดินและอาคารสงเคราะห์ จำกัด จึงจะเข้าสู่ถนนแจ้งวัฒนะได้ บริษัทดังกล่าวได้ทำถนนจากหมู่บ้านดังกล่าวไปยังถนนแจ้งวัฒนะ กว้าง 6 เมตร ผ่านที่ดินของบริษัทดังกล่าวและที่ดินโฉนดเลขที่ 432 ของนายชื้นกับพวก โดยนายชื้นกับพวกยินยอมอนุญาตให้เป็นถนนสาธารณประโยชน์ให้ประชาชนใช้ร่วมกัน ประชาชนทั่วไปและผู้อาศัยในหมู่บ้านอาคารแจ้งวัฒนะเวศม์ได้ใช้ถนนสาธารณประโยชน์นี้เข้าสู่ถนนแจ้งวัฒนะตลอดมา ต่อมาประมาณปี 2505 บริษัทดังกล่าวได้จดทะเบียนภาระจำยอมถนนดังกล่าวให้แก่เทศบาลนครกรุงเทพ ส่วนนายชื้นกับพวกได้ทำหนังสือให้ไว้แก่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรีและเทศบาลนครกรุงเทพว่า ยินดีและยินยอมให้เจ้าหน้าที่จดทะเบียนถนนที่ผ่านที่ดินของนายชื้นกับพวกในปัจจุบันซึ่งเชื่อมต่อกับถนนแจ้งวัฒนะให้เป็นถนนสาธารณประโยชน์ กว้าง 6 เมตร ส่วนความยาวให้เป็นไปตามแนวถนนในปัจจุบันตลอดจนแนวที่ดินดังกล่าว ซึ่งการแสดงเจตนายินยอมจดทะเบียนถนนเป็นถนนสาธารณะของนายชื้นกับพวกดังกล่าว เป็นการแสดงเจตนายกที่ดินบางส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 432 ให้เป็นถนนสาธารณประโยชน์ ที่ดินดังกล่าวย่อมตกเป็นถนนสาธารณประโยชน์อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 แล้ว ปี 2510 นายชื้นกับพวกโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ดังกล่าวทั้งแปลงให้แก่จำเลยที่ 1 การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมได้รวมเอาที่ดินที่เป็นถนนสาธารณประโยชน์ดังกล่าวเข้าไปด้วย ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนกรรมสิทธิ์รวมและจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมต่อมาจนถึงจำเลยที่ 1 ถึงที่ 12 เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ และในปี 2515 จำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันปิดถนนสาธารณประโยชน์ดังกล่าวเป็นเหตุให้ประชาชนที่อยู่อาศัยในหมู่บ้านดังกล่าวได้รับความเดือดร้อน ทางราชการและโจทก์ได้รับความเสียหาย ต่อมาจำเลยที่ 1 กับพวกนำดินไปถมปิดกั้นถนนสาธารณประโยชน์ดังกล่าว นายอำเภอปากเกร็ดจึงร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 กับพวก พนักงานอัยการประจำศาลแขวงนนทบุรีได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวกต่อศาลแขวงนนทบุรี ศาลแขวงนนทบุรีพิพากษายกฟ้อง คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ต่อมาราษฎรที่อยู่อาศัยในหมู่บ้านดังกล่าวและโจทก์ช่วยกันทำถนนสาธารณประโยชน์ให้ใช้สัญจรได้โดยสะดวกแล้ว การที่นายชื้นกับพวกได้ทำหนังสือยกที่ดินให้ไว้แก่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรีและเทศบาลนครกรุงเทพซึ่งประชาชนทั่วไปและราษฎรที่อยู่อาศัยในหมู่บ้านดังกล่าวได้ใช้ประโยชน์ถนนสาธารณประโยชน์ในการเข้าออกถนนแจ้งวัฒนะตั้งแต่ปี 2503 เป็นเวลากว่า 30 ปีแล้ว ถนนดังกล่าวจึงเป็นทางสาธารณะและเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้จำเลยที่ 1 จะได้รับโอนกรรมสิทธิ์และจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการขายจากนายชื้นกับพวก และจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์รวมและจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมต่อมาจนปัจจุบันมีจำเลยที่ 1 ถึงที่ 12 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์คงมีผลสมบูรณ์เฉพาะที่ดินส่วนที่มิใช่ถนนสาธารณประโยชน์ การโอนขายที่ดินและการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมส่วนที่เป็นถนนสาธารณประโยชน์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสิบสองร่วมกันหรือแทนกันทำการเพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเฉพาะส่วนที่เป็นถนนสาธารณประโยชน์ กว้าง 6 เมตร ยาว 118 เมตร ในที่ดินโฉนดเลขที่ 432 ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด (ตลาดขวัญ) จังหวัดนนทบุรี และกันเขตถนนสาธารณประโยชน์ในโฉนดที่ดินและรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินดังกล่าว โดยจำเลยทั้งสิบสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นในการจดทะเบียนเอง หากจำเลยทั้งสิบสองไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาก็ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยทั้งสิบสอง จำเลยทั้งสิบสองให้การว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 432 เป็นของนายชื้น นายล้วน และนายช้วน แย้มบุญ ถือกรรมสิทธิ์รวมกัน เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2503 บุคคลทั้งสามร่วมกันจำนองที่ดินโฉนดดังกล่าวไว้แก่สหธนาคารกรุงเทพ จำกัด เพื่อเป็นประกันหนี้ของบุคคลอื่น นายชื้นแต่เพียงผู้เดียวจึงไม่อาจกระทำผิดสัญญาจำนองโดยทำหนังสือยกที่ดินทรัพย์จำนองให้เป็นทางสาธารณะได้ นอกจากจะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากธนาคารผู้รับจำนองเท่านั้น แต่นายชื้นผู้จำนองก็หาได้รับอนุญาตจากผู้รับจำนองไม่ หนังสือยกที่ดินให้เป็นทางสาธารณะยังระบุว่าจะจดทะเบียนให้เป็นทางสาธารณะภายใน 3 วัน แต่ธนาคารผู้รับจำนองไม่อนุญาต หนังสือยกที่ดินให้เป็นทางสาธารณะจึงตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ 1 เป็นผู้ชำระหนี้จำนองให้แก่สหธนาคารกรุงเทพ จำกัด แทนนายชื้นกับพวก ย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของสหธนาคารกรุงเทพ จำกัด ผู้รับจำนองและมีอำนาจบอกล้างหรือปฏิเสธการกระทำใด ๆ อันเป็นการฝ่าฝืนสัญญาจำนองที่ดินของนายชื้นได้ เมื่อจำเลยที่ 1 ไถ่ถอนจำนองที่ดินและรับซื้อที่ดินโฉนดดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ 1 ดำเนินการปักป้ายแสดงทางพิพาทเป็นทางส่วนบุคคลหลายครั้ง เมื่อปี 2515 จำเลยที่ 1 ปิดทางพิพาททำให้มีเรื่องถึงหัวหน้าสำนักงานกลางปรับปรุงแหล่งชุมชน นายปัญญา ฤกษ์อุไร จึงได้เชิญผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นายอำเภอปากเกร็ด และนายบรรหาร ศิลปอาชา กับจำเลยที่ 1 มาประชุมเพื่อตกลงเรื่องทางพิพาทซึ่งที่ประชุมยอมรับว่าทางพิพาทในที่ดินโฉนดดังกล่าวเป็นทางชั่วคราว ตกลงให้สำนักงานกลางปรับปรุงแหล่งชุมชนตั้งงบประมาณสร้างทางออกถาวรขึ้นใหม่ โดยให้นายอำเภอปากเกร็ดติดต่อเจรจาขอที่ดินของเอกชนให้ เมื่อปี 2527 ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติได้มีหนังสือถึงจำเลยที่ 1 ขออนุญาตให้การประปานครหลวงวางท่อประปาผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสิบสองเข้าสู่หมู่บ้าน จำเลยที่ 1 ไม่ขัดข้องและได้วางแนวทำแผนที่สังเขปให้การเคหะแห่งชาติวางท่อประปาผ่านที่ดินโฉนดดังกล่าวของจำเลยทั้งสิบสองได้ หากที่ดินโฉนดดังกล่าวของจำเลยทั้งสิบสองมีทางสาธารณะจริง ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติก็คงไม่ต้องมีหนังสือขออนุญาตวางท่อประปาผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสิบสอง เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ฃ 2534 นายอำเภอปากเกร็ดขอให้พนักงานอัยการและชาวหมู่บ้านอาคารแจ้งวัฒนะเวศม์ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวกข้อหาบุกรุก ปลูกปักถือครองถนนทางสาธารณะทางพิพาทต่อศาลแขวงนนทบุรี แต่ศาลแขวงนนทบุรีได้พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษา ยืนคดีถึงที่สุดแล้ว คดีนี้จึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา โจทก์ขอให้ศาลหมายเรียกนางใช้กี่ เหตระกูล เข้าร่วมเป็นจำเลย และนายแก้ว บุตรชาติ ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต จำเลยร่วมให้การว่า ที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยร่วมในที่ดินพิพาท จำเลยร่วมรับโอนมรดกมาจากนายแสง เหตระกูล สามี เมื่อปี 2525 ไม่เคยปรากฏมาก่อนว่าที่ดินโฉนดดังกล่าวมีถนนสาธารณะรวมอยู่ด้วย มีเพียงทางชั่วคราวที่จำเลยที่ 1 ตกลงกับผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี ยินยอมให้ชาวหมู่บ้านอาคารแจ้งวัฒนะเวศม์ผ่านเข้าออกชั่วคราวเท่านั้น คดีที่พนักงานอัยการประจำศาลแขวงนนทบุรีฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวก เป็นคดีอาญาข้อหายึดถือครองและปลูกปักวางสิ่งของเกะกะในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลแขวงนนทบุรีพิพากษายกฟ้อง และศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน โจทก์ไม่มีอำนาจขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและกันเขตถนนสาธารณประโยชน์ในที่ดินโฉนดดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา นายประทักษ์ เหตระกูล จำเลยที่ 10 ถึงแก่กรรม นายปารเมศ เหตระกูล ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 432 ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด (ตลาดขวัญ) จังหวัดนนทบุรี เฉพาะส่วนกว้าง 6 เมตร ยาว 118 เมตร ซึ่งสร้างทำเป็นถนนสายที่ 2 ที่เข้าออกของหมู่บ้านอาคารแจ้งวัฒนะเวศม์ ตามแผนที่สังเขปเอกสารหมาย จ. 7 เป็นทางสาธารณะ แต่ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ จำเลยทั้งสิบสองและจำเลยร่วมอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า คำขออื่นให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยทั้งสิบสองและจำเลยร่วมฎีกา พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ. ( ประทีป เฉลิมภัทรกุล - เรวัตร อิศราภรณ์ - ศิริชัย จิระบุญศรี )
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-02-24 11:15:56 |
[1] |