ReadyPlanet.com


ขอแบ่งแยกโฉนด


ขอสอบถามค่ะ....ได้มีที่ดิน 1 แปลง ได้เป็นกรรมสิทธิของมารดา  แต่มารดาได้เสียชีวิตแล้วและได้จัดตั้งผู้จัดการมรดกแล้ว และได้ประชุมญาติแล้ว และได้ลงมติให้ลงชื่อทายาท 3 คนเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้และได้ไปจดทะเบียนเรียบร้อยแล้ว แต่ปัจจุบันที่ดินแปลงนี้ได้ให้เช่า แต่แบ่งผลประโยชน์ไม่ลงตัว  จึงขอเรียนปรึกษาว่า ผู้จัดการมรดกจะขอประชุมทายาทเพื่อขอยกเลิกผู้ถือกรรมสิทธิที่ดินแปลงนี้เพื่อขอแบ่งแยกโฉนดที่ดินแปลงนี้ได้หรือเปล่า



ผู้ตั้งกระทู้ กาญจนา :: วันที่ลงประกาศ 2011-04-20 21:00:49


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (2171163)

การจัดการมรดกเสร็จสิ้นแล้ว ไม่สามารถยกเลิกได้แล้วครับ เว้นแต่ผู้ที่มีสิทธิได้รับมรดก แต่ไม่ได้รับเขามีสิทธิฟ้องเรียกส่วนของเขาได้ครับ ติดต่อทนายความ 085 960 4258

ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-04-21 10:53:09


ความคิดเห็นที่ 2 (4550826)

 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสามได้ตกลงแบ่งที่ดินกันจริงโดยแบ่งให้โจทก์ที่ 1 จำนวน 9 ไร่ ก่อน ส่วนที่เหลือจึงแบ่งกันสี่คน ส่วนจำเลยที่ 3 สละสิทธิ์ในการรับส่วนแบ่ง เมื่อตกลงแบ่งกันแล้วจึงไปยื่นคำร้องขอรับมรดกและรังวัดที่ดินเพื่อแบ่งแยก แล้วนายวิเชียร เจ้าหน้าที่ที่ดินได้ออกไปรังวัดเพื่อแบ่งแยกที่ดินพิพาทโดยรังวัดแบ่งแยกตามที่โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสามตกลงกันตามแผนที่รังวัด โดยการออกไปรังวัดนี้โจทก์ทั้งสอง และนางประจิม กำนันที่ออกไประวังแนวเขตในการรังวัดต่างเบิกความว่า จำเลยทั้งสามต่างอยู่ด้วยในขณะที่มีการรังวัด ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เบิกความว่าไม่รู้เห็นการรังวัดของนายวิเชียรมีน้ำหนักน้อยกว่าพยานโจทก์ทั้งสอง ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าทายาทของนายเสนาะทุกคนต่างรับรู้การรังวัดแบ่งแยกที่ดินของนายวิเชียรด้วย และโจทก์ทั้งสองเบิกความโดยมีนางประจิม นายประเสริฐ นายสมพงษ์และนายบุญเลิศเบิกความสนับสนุนว่า เมื่อรังวัดแบ่งแยกแล้ว โจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่างเข้าทำประโยชน์ในที่ดินตามที่แบ่งแยกกันซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็เบิกความรับว่า เมื่อรังวัดแล้วระหว่างรอการประกาศของสำนักงานที่ดินโจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่างเข้าทำประโยชน์ที่ดินตามส่วนที่มีการรังวัดจริง ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า เมื่อนายวิเชียรรังวัดที่ดินเสร็จแล้ว โจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่างเข้าครอบครองที่ดินตามที่แบ่งแยก ซึ่งก็สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่รับฟังมาแล้วว่า โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสามตกลงแบ่งที่ดินพิพาทกันตามที่นายวิเชียรออกไปรังวัดจริง จากข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่กล่าวมาแล้วย่อมแสดงว่าเมื่อรังวัดเสร็จแล้วได้มีการแบ่งทรัพย์มรดกที่ดินพิพาทโดยการครอบครองเป็นส่วนสัดกันแล้ว การแบ่งมรดกจึงมีผลสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1750 วรรคหนึ่ง การที่จำเลยทั้งสามไม่ยอมโอนที่ดินตามที่โจทก์ทั้งสองครอบครองให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ทั้งสองแล้วที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น

ปัญหาว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่นั้น เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ 1 ในฐานะส่วนตัว จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกและต่างเข้าครอบครองเป็นส่วนสัด ตามมาตรา 1750 วรรคหนึ่ง ดังที่วินิจฉัยข้างต้นแล้วเช่นนี้ ก็ไม่ขาดอายุความมรดกเพราะโจทก์ทั้งสองได้ที่ดินพิพาทตามที่เข้าครอบครองเป็นของตนโดยเด็ดขาดแล้ว จำเลยที่ 1 ในฐานะส่วนตัว จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะใช้สิทธิเรียกร้องเอาที่ดินพิพาทให้ผิดไปจากที่ได้แบ่งปันกันไปแล้วหาได้ไม่ รวมทั้งไม่มีสิทธิยุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์ทั้งสอง เมื่อจำเลยที่ 1 ในฐานะส่วนตัว จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาที่ดินพิพาทเช่นนี้ย่อมสิ้นความเป็นทายาทในส่วนที่ดินพิพาทที่แบ่งปันกันแล้วจึงไม่มีสิทธิยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ทั้งสองได้ เพราะมิใช่บุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 ส่วนกรณีที่จำเลยที่ 1 ในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกผู้ตายดังเช่นคดีนี้ ถือว่าเป็นผู้แทนของโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นทายาท จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ทั้งสองได้ก็แต่ตามมาตรา 1733 วรรคสอง ในคดีจัดการมรดก เท่านั้น แต่คดีนี้เป็นคดีมรดกจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดก หาอาจยกอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 1754 ขึ้นต่อสู้โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นทายาทหาได้ไม่ คดีของโจทก์ทั้งสองจึงไม่ขาดอายุความ โจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งมรดกตามฟ้อง การที่จำเลยที่ 1 แบ่งที่ดินพิพาทใหม่แล้วโอนที่ดินพิพาทตามส่วนแบ่งใหม่แก่จำเลยทั้งสามและมีการออกโฉนดที่ดินตามส่วนที่แบ่งใหม่ จึงเป็นการออกโฉนดที่ดินโดยมิชอบ ศาลมีอำนาจเพิกถอนการออกโฉนดที่ดินพิพาทดังกล่าวและห้ามจำเลยทั้งสามและบริวารเกี่ยวข้องได้ แต่ที่โจทก์ทั้งสองขอให้บังคับจำเลยทั้งสามแบ่งที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งสองนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 มิใช่ผู้จัดการมรดก จึงไม่มีหน้าที่ต้องจัดการแบ่งทรัพย์มรดกแก่โจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองไม่อาจขอบังคับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ คงฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกแบ่งที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งสองเท่านั้น แต่สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการส่วนนี้ให้หักจากกองมรดกทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1739 (1)

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามไปดำเนินการเพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 20963, 20964, 20965 และ 20966 ตำบลบ้านน้อย อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร กับ น.ส. 3 ก. เลขที่ 1367 กลับเป็นทรัพย์มรดกของนายเสนาะ ตาม น.ส. 3 ก. เลขที่ 975 โดยให้จำเลยทั้งสามเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการเพิกถอน หากจำเลยทั้งสามเพิกเฉยให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสามแล้วให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกแบ่งที่ดินตาม น.ส. 3 ก. เลขที่ 975 ดังกล่าวทางด้านทิศเหนือแก่โจทก์ที่ 1 จำนวนเนื้อที่ 11 ไร่ 1 งาน 19 ตารางวา และทางด้านทิศเหนือถัดลงมาจากโจทก์ที่ 1 แก่โจทก์ที่ 2 จำนวนเนื้อที่ 2 ไร่ 1 งาน 17 ตารางวา โดยค่าใช้จ่ายส่วนนี้ให้หักจากกองมรดก หากจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกเพิกเฉยให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ห้ามจำเลยทั้งสามและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก ให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความทั้งสามศาลสำหรับโจทก์ที่ 1 จำนวน 8,000 บาท สำหรับโจทก์ที่ 2 จำนวน 2,000 บาท.

 

ผู้แสดงความคิดเห็น Admin วันที่ตอบ 2024-01-09 06:01:13


ความคิดเห็นที่ 3 (4550827)

 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้ฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์ที่ 1 และผู้ตายจดทะเบียนสมรสกันวันที่ 28 มกราคม 2500 มีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ โจทก์ที่ 2 ต่อมาวันที่ 4 เมษายน 2504 โจทก์ที่ 1 กับผู้ตายจดทะเบียนหย่าแต่ยังคงอยู่กินฉันสามีภริยากันแล้วมีบุตรด้วยกันอีก 6 คน คือ โจทก์ที่ 3 ถึงโจทก์ที่ 6 นางสาวชวนาถ และจำเลยซึ่งผู้ตายจดทะเบียนรับรองบุตรแล้ว โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 6 นางสาวชวนาถและจำเลยจึงเป็นทายาทโดยธรรมของผู้ตาย ผู้ตายเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทและโอนหุ้นของบริษัทให้แก่จำเลยเป็นผู้ถือหุ้นรวม 27 บริษัท ส่วนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินมีชื่อบริษัทต่าง ๆ ที่ผู้ตายก่อตั้งขึ้นเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ และรถยนต์จำนวน 25 คัน อยู่ในความครอบครองของบริษัทชวริน จำกัด

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ฟ้องโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 6 เคลือบคลุมหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 6 ไม่ได้บรรยายให้ชัดแจ้งว่าทรัพย์สินที่ผู้ตายกับโจทก์ที่ 1 ทำมาหาได้ร่วมกันอย่างไรนั้น เห็นว่า โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 6 อ้างความเป็นบุตรทายาทโดยธรรมของผู้ตายฟ้องเรียกร้องทรัพย์สินเฉพาะที่เป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายให้จำเลยแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 6 อันเป็นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา เมื่อโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 6 เรียกร้องจำเลยแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยแบ่งปันทรัพย์มรดก คำฟ้องของโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 6 จึงเป็นการแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว ส่วนโจทก์ที่ 1 จะเป็นเจ้าของรวมในทรัพย์มรดกของผู้ตายหรือไม่ ก็ชอบที่จำเลยจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับโจทก์ที่ 1 ในสำนวนแรก ไม่ทำให้คำฟ้องโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 6 ในสำนวนหลังส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ 1 เคลือบคลุม

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 6 และจำเลยต่อไปว่า จำเลยต้องแบ่งทรัพย์สินตามฟ้องให้แก่โจทก์ทั้งหกหรือไม่ เพียงใด ที่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 6 ฎีกาขอให้จำเลยแบ่งทรัพย์สินตามฟ้องให้แก่โจทก์ทั้งหกตามส่วนนั้น เห็นว่า ตามฟ้องโจทก์ทั้งหกและคำให้การของจำเลยต่างรับกันได้ว่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินตามฟ้องมีบริษัทต่าง ๆ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ โจทก์ทั้งหกก็มิได้มีคำขอท้ายฟ้องให้แบ่งที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์ทั้งหก คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างว่าเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายหรือไม่ ส่วนรถยนต์จำนวน 25 คัน ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้แล้วว่า รถยนต์จำนวน 25 คัน ไม่อาจรับฟังได้ว่าเป็นทรัพย์สินของผู้ตาย โจทก์ทั้งหกมิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ได้วินิจฉัยไว้ดังกล่าวว่า ไม่ถูกต้องและคลาดเคลื่อน หรือไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร และที่ถูกแล้วศาลอุทธรณ์ควรวินิจฉัยอย่างไร จึงเป็นฎีกาไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดิม) ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย

ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า รถยนต์จำนวน 25 คัน ไม่ใช่ทรัพย์มรดกของผู้ตาย ส่วนหุ้นของบริษัทรวม 27 บริษัท ที่ผู้ตายยกให้จำเลยก่อนถึงแก่ความตายนั้น จำเลยฎีกาว่า หลังจากโจทก์ที่ 1 และผู้ตายจดทะเบียนหย่ากันในปี 2504 โดยทำบันทึกข้อตกลงการหย่าแล้วยังอยู่กินกันฉันสามีภริยาจนมีบุตรด้วยกัน ต่อมาในปี 2517 จึงได้เลิกร้างกันไปโดยเด็ดขาดดังที่โจทก์ที่ 1 ให้การไว้ต่อพนักงานคุมประพฤติตาม โดยผู้ตายไปพักอยู่ที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ กรุงเทพมหานคร ไม่เคยแสดงออกต่อบุคคลทั่วไปว่าผู้ตายเป็นสามีของโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 1 กลับไปใช้ชื่อสกุลเดิมและไม่ได้อยู่กินกันฉันสามีภริยากันจนผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยไม่ได้ถือหุ้นในบริษัทต่าง ๆ แทนผู้ตาย แต่ผู้ตายได้ยกหุ้นให้แก่จำเลยโดยเสน่หาก่อนตายเพราะเห็นว่าจำเลยเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวที่สืบวงศ์ตระกูลต่อจากผู้ตายตามขนบธรรมเนียมของคนจีน หุ้นในบริษัทต่าง ๆ จึงมิใช่ทรัพย์มรดกของผู้ตาย หุ้นที่มีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือจึงเป็นของจำเลยนั้น เห็นว่า เมื่อได้ความตามฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวนและทางนำสืบของโจทก์ทั้งหกโดยที่จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธและนำสืบเป็นอย่างอื่นว่า จำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมของผู้ตายเคยยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นขอให้มีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายเป็นคดีหมายเลขดำที่ 8795/2544 ของศาลชั้นต้น และเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2552 โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 6 ยื่นคำร้องขอให้นำคดีดังกล่าวมารวมการพิจารณาเข้าด้วยกันกับคดีนี้ แม้ศาลอุทธรณ์จะยกคำร้อง แต่ก็ปรากฏตามสำเนาคำสั่งในคดีหมายเลขดำที่ 8795/2544 หมายเลขแดงที่ 3707/2547 ของศาลชั้นต้นว่า จำเลยยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย โจทก์ที่ 1 อ้างว่าเป็นเจ้าของรวมในทรัพย์มรดกของผู้ตายที่ทำมาหาได้ร่วมกันกับผู้ตายกึ่งหนึ่ง และโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 6 เด็กชายวัชริศ โดยนาวาตรีหญิงเรณู ผู้แทนโดยชอบธรรม เด็กหญิงมุกดา และเด็กหญิงฐิติรัตน์ โดยนางเขมิกา ผู้แทนโดยชอบธรรม อ้างความเป็นทายาทโดยธรรมของผู้ตายยื่นคำคัดค้านและขอให้ตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2547 ว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของรวมในทรัพย์มรดกของผู้ตายและเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตายกึ่งหนึ่ง แม้โจทก์ที่ 1 ในสำนวนแรกจะยื่นฟ้องคดีนี้ไว้ก่อนและจำเลยยื่นคำให้การไว้ในสำนวนแรกก่อนที่ศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวจะมีคำวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีก็ตาม แต่ในคดีนี้โจทก์ที่ 1 อ้างสิทธิในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในทรัพย์มรดกของผู้ตายที่ทำมาหาได้ร่วมกันกึ่งหนึ่ง โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 6 อ้างสิทธิในฐานะทายาทโดยธรรมของผู้ตายเช่นเดียวกันกับในคดีดังกล่าว กรณีจึงถือว่าโจทก์ทั้งหกและจำเลยเป็นคู่ความเดียวกันกับคดีดังกล่าว เมื่อไม่ปรากฏว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ได้วินิจฉัยไว้ดังกล่าวได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับ หรืองดเสีย คำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์ทั้งหกและจำเลยนับตั้งแต่วันที่ได้มีคำสั่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่อาจวินิจฉัยประเด็นเกี่ยวกับความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในทรัพย์มรดกที่โจทก์ทำมาหาได้ร่วมกันกับผู้ตายกึ่งหนึ่งในคดีนี้ได้อีก เพราะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาอันเกี่ยวกับประเด็นที่ศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวได้วินิจฉัยไว้แล้ว ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 และแม้ว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยตามประเด็นในคำให้การของจำเลยไปโดยไม่ชอบ แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็มิได้รับฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่น จึงไม่มีเหตุให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่จำเลยที่จะฎีกาต่อมาได้ ฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดิม) ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของรวมในทรัพย์มรดกของผู้ตายกึ่งหนึ่ง ซึ่งในส่วนหุ้นของบริษัทต่าง ๆ นั้น แม้ผู้มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นหรือบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าเป็นผู้ถือหุ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1141 ก็ตาม แต่เมื่อได้ความตามทางนำสืบของโจทก์ทั้งหกและจำเลยที่รับกันฟังได้ว่า บุตรของผู้ตายจะเข้ามาช่วยทำงานบริหารบริษัทในเครือที่ผู้ตายก่อตั้งขึ้น โดยผู้ตายมีอำนาจจัดการโอนหุ้นของบริษัทต่าง ๆ ได้โดยลำพังแต่เพียงผู้เดียวโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากบุคคลอื่นในครอบครัวและโจทก์ที่ 1 แม้ผู้ตายจะดำเนินการให้บุตรคนใดเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทใดแล้วก็ตามแต่ผู้ตายก็ยังคงสามารถดำเนินการโอนหุ้นของบริษัทต่าง ๆ ไปยังบุตรคนอื่นได้อีกโดยไม่ปรากฏว่าผู้ถือหุ้นนั้นเสียค่าตอบแทนเพื่อให้ได้มาซึ่งหุ้นของบริษัทนั้น ๆ ทั้งยังได้ความ ตามฎีกาของจำเลยอีกว่า ที่ผู้ตายโอนหุ้นของบริษัทต่าง ๆ จากบุคคลในครอบครัวคนหนึ่งไปให้บุคคลในครอบครัวอีกคนหนึ่งหรือแม้กระทั่งการโอนหุ้นกลับคืนให้ผู้ตายเป็นเพราะมีข้อตกลงในครอบครัวว่าบุคคลใดประพฤติเสียหาย ไม่ขยัน ไม่ซื่อสัตย์ หรือมีปัญหาทำงานไม่ได้ ก็ให้ผู้ตายมีสิทธิโอนหุ้นคืนหรือโอนให้คนที่เหมาะสมกว่าเมื่อใดก็ได้ตามที่ผู้ตายต้องการ ข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามทางนำสืบของคู่ความและฎีกาของจำเลยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ผู้ตายเพียงแต่ให้จำเลยมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นไว้แทนผู้ตายเท่านั้น มิได้ยกหรือโอนหุ้นให้เป็นสิทธิเด็ดขาดของจำเลยหรือให้จำเลยเป็นผู้บริหารกิจการของบริษัทนั้นแต่เพียงผู้เดียวโดยเฉพาะแต่อย่างใด เพราะหากจำเลยประพฤติเสียหาย ไม่ขยัน ไม่ซื่อสัตย์ หรือมีปัญหาทำงานไม่ได้ ผู้ตายก็มีสิทธิโอนหุ้นกลับคืนหรือโอนให้บุคคลอื่นต่อไปได้เช่นกัน พยานหลักฐานของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 6 จึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า จำเลยมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทต่าง ๆ ไว้แทนผู้ตาย ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น แต่ในส่วนหุ้นของบริษัทแอมบาสซาเดอร์ จำกัด ในสำนวนแรกที่โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 6 ไม่ได้ฟ้อง และบริษัทแอมบาสซาเดอร์คลับ จำกัด ในสำนวนหลังระบุหุ้นของบริษัทแอมบาสซาเดอร์คลับ จำกัด ไว้เท่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับหนังสือรับรอง บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น และหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัทแอมบาสซาเดอร์คลับ จำกัด โดยไม่ปรากฏหนังสือรับรอง บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น และหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัทแอมบาสซาเดอร์ จำกัด ในทางนำสืบของโจทก์ทั้งหกแต่อย่างใด กรณีจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าผู้ตายถือหุ้นและจำเลยถือหุ้นของบริษัทดังกล่าวแทนผู้ตาย จึงคงมีหุ้นบริษัทต่าง ๆ ที่ผู้ตายก่อตั้งขึ้นและถือหุ้นในระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยากับโจทก์ที่ 1 ตามฟ้องรวม 26 บริษัท และเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายที่โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยกึ่งหนึ่งในฐานะเจ้าของรวมที่ทำมาหาได้ร่วมกัน ส่วนอีกกึ่งหนึ่งย่อมเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายที่ตกทอดแก่ทายาทโดยธรรม เมื่อในคดีร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 8795/2544 หมายเลขแดงที่ 3707/2547 ของศาลชั้นต้นพบว่ามีทายาทโดยธรรมของผู้ตายรวม 10 คน คือ โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 6 นางสาวชวนาถ จำเลย เด็กชายวัชริศ เด็กหญิงมุกดา และเด็กหญิงฐิติรัตน์ ซึ่งต่างเป็นทายาทโดยธรรมในลำดับเดียวกัน แม้ศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวจะมีคำสั่งตั้งให้จำเลย นาวาตรีหญิงเรณูในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมเด็กชายวัชริศ นางเขมิกาในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมเด็กหญิงมุกดากับเด็กหญิงฐิติรัตน์ โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายร่วมกันแล้วก็ตาม แต่ผู้จัดการมรดกทั้งหลายก็ยังคงมีหน้าที่ต้องแบ่งปันทรัพย์มรดกให้เป็นไปตามสิทธิของทายาทโดยธรรมแต่ละคน หากทายาทโดยธรรมคนใดไม่ได้รับหรือได้รับส่วนแบ่งไม่ครบตามสิทธิย่อมมีสิทธิเรียกร้องหรือฟ้องผู้จัดการมรดกหรือทายาทอื่นที่ครอบครองทรัพย์มรดกให้แบ่งแก่ตนได้ และแม้ว่าจะมีเจ้าหนี้ของผู้ตายที่ยังมิได้รับชำระหนี้ เจ้าหนี้นั้นก็ชอบที่จะใช้สิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้จากทายาทโดยธรรมคนใดหรือผู้จัดการมรดกของผู้ตายก็ได้ แม้ทรัพย์มรดกจะได้แบ่งไปแล้วก็ตาม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1737 และ 1738 ดังนั้น การมีผู้จัดการมรดกหรือเจ้าหนี้กองมรดกที่ยังมิได้รับชำระหนี้ จึงมิได้เป็นเหตุทำให้สิทธิในการเรียกร้องขอแบ่งทรัพย์มรดกของโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 6 ในฐานะทายาทโดยธรรมเสื่อมเสียไป เมื่อผู้ตายมีทายาทโดยธรรมรวม 10 คน แม้โจทก์ที่ 3 จะถอนฎีกาไปแล้วแต่สิทธิของโจทก์ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 6 และจำเลยคงมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งทรัพย์มรดกของผู้ตายเพียงคนละ 1 ใน 10 ส่วน ซึ่งในกรณีเช่นนี้ มิใช่การกันส่วนแบ่งทรัพย์มรดกไว้เพื่อทายาทอื่นที่มิได้เป็นคู่ความหรือร้องสอดเข้ามาในคดีอันจะเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1749 เมื่อทรัพย์มรดกของผู้ตายมีโจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยกึ่งหนึ่งโดยไม่ปรากฏว่าเป็นการแบ่งทรัพย์สินในเวลาที่ไม่เป็นโอกาสอันควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1363 วรรคสาม โจทก์ที่ 1 ในสำนวนแรกจึงมีอำนาจฟ้องขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในทรัพย์มรดกของผู้ตายได้ และโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 6 ในสำนวนหลังมีอำนาจฟ้องขอแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายที่จำเลยครอบครองอยู่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่แบ่งปันทรัพย์มรดกให้ตามคำขอของโจทก์ทั้งหกจึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 6 ฟังขึ้น สำหรับฎีกาของคู่ความข้ออื่นศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้ชอบด้วยเหตุผลแล้ว ศาลฎีกาไม่จำต้องวินิจฉัยอีกเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยโอนหรือแบ่งหุ้นของบริษัทฮาร์ดร็อค คาเฟ่ จำกัด จำนวน 500 หุ้น บริษัทแอม ครูส ไลน์ จำกัด จำนวน 40,500 หุ้น บริษัทสปอร์ต-เฮลท์ซิตี้ จำกัด จำนวน 1,000 หุ้น บริษัท ที.ชวลิต จำกัด จำนวน 10 หุ้น บริษัทซีโน เนชั่นแนล จำกัด จำนวน 10 หุ้น บริษัท แอมบาสซาเดอร์ คลับ จำกัด จำนวน 500 หุ้น บริษัทแอมคอนซัลแท็นท์ จำกัด จำนวน 500 หุ้น บริษัทบิลเลียนแนร์ คลับ จำกัด จำนวน 500 หุ้น บริษัทแอม ดาร์ริ่ง จำกัด จำนวน 500 หุ้น บริษัทแอม เรียล เอสเตท คอนสตรักชั่น จำกัด จำนวน 500 หุ้น บริษัทแอมซี แอนด์ แอร์ ทรานสปอร์ต จำกัด จำนวน 500 หุ้น บริษัทแอม แอร์ไลน์ จำกัด จำนวน 500 หุ้น บริษัทแอม ทัวร์แอนด์ แทรเวิล จำกัด จำนวน 500 หุ้น บริษัทไชย จำกัด จำนวน 325,000 หุ้น บริษัทสยาม - ไทย (1982) จำกัด จำนวน 10 หุ้น บริษัททีแอนด์เอ็นครูสไลน์ จำกัด จำนวน 500 หุ้น บริษัทชวริน จำกัด จำนวน 130,000 หุ้น บริษัทแอมเทล โฮลดิ้งส์ จำกัด จำนวน 91,998 หุ้น บริษัทเทพรัตนพันธ์ จำกัด จำนวน 1,000 หุ้น บริษัทแอมเทล แอดส์ จำกัด จำนวน 800 หุ้น บริษัทชวรินโฮลดิ้งส์ จำกัด จำนวน 500 หุ้น บริษัทแอม กรุ๊ป ฟู้ด แอนด์ เบพเวอร์เรท โปรดักส์ชั่น จำกัด จำนวน 500 หุ้น บริษัทแอมโฮลดิ้งส์ จำกัด จำนวน 500 หุ้น บริษัทแอมบาสซาเดอร์ประกันภัย จำกัด จำนวน 10,000 หุ้น บริษัทแอม แอร์คอนดิชั่น บัส จำกัด จำนวน 500 หุ้น และบริษัทแอมเทลกรุ๊ป กรุงเทพ จำกัด จำนวน 9,977,998 หุ้น ให้แก่โจทก์ที่ 1 กึ่งหนึ่ง ส่วนทรัพย์มรดกที่เหลือให้จำเลยโอนหรือแบ่งหุ้นแก่โจทก์ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 6 คนละ 1 ใน 10 ส่วน หากโอนหรือแบ่งไม่ได้ให้ดำเนินการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาแทนโจทก์ที่ 1 ในสำนวนแรก และโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 6 ในสำนวนหลัง โดยกำหนดค่าทนายความสำนวนละ 30,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

ผู้แสดงความคิดเห็น Admin วันที่ตอบ 2024-01-09 06:04:52



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล