ถูกส่งข้อความก่อกวน ทั้งทางโทรศัพท์ และ ทางอินเตอร์เนท (MSN) | |
สวัสดีคับ อยากเรียนถามว่าในกรณีตามหัวข้อนี้จะทำอย่างไรได้บ้าง เพราะแฟนผมโดนทั้งคำหยาบคาย ต่อว่าในทางเสียหาย โดยการส่งข้อความผ่านโทรศัพท์ และ ทางอินเตอร์เนท (MSN) ก่อกวนตลอด สร้างความไม่สบายใจเป็นอย่างมาเลยคับ ขอความกรุณาแนะนำด้วยน๊ะคับ | |
ผู้ตั้งกระทู้ นพพงศ์ :: วันที่ลงประกาศ 2011-08-18 13:54:07 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2219558) | |
ไปแจ้งความร้องทุกข์ดูนะครับ น่าจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 2550 มาตรา 14 ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-09-24 08:38:07 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2219560) | |
บทความที่เกี่ยวข้อง เรียนท่านผู้ใช้ อีเมล์และอินเทอร์เน็ต ที่เคารพทุกท่าน ทุกครั้งที่ท่าน รับ-ส่ง อีเมล์ กรุณาใช้วิจารณญาณด้วยว่า ข้อความ หรือ ภาพ นั้น จะเท็จ จะจริง หรือไม่ อย่างไรก็แล้วแต่ อาจก่อความเสียหายให้ ผู้หนึ่งผู้ใดหรือไม่ ท่านทราบหรือไม่ว่า ท่านอาจทำผิดกฎหมาย โดยรู้เท่าไม่ถึงการ และด้วยความไม่รู้ทางเทคนิค อาจนำภัย ไปสู่ พรรคพวก เพื่อนฝูง ที่ได้ส่งข้อความ ภาพ นั้น มายังท่านด้วยเพราะสามารถตรวจสอบได้ว่าง่ายว่า ใครส่งต่อไปหาใคร ใครได้รับแล้วส่งต่อไปหาใครต่อ....อาจต้องรับโทษ จำคุก ไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เพราะ ตามกฎหมายใหม่ " พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550" ได้กำหนดโทษเกี่ยวกับ การนำเข้า/เผยแพร่เนื้อหาอันไม่เหมาะสม ไว้ดังนี้ มาตรา 14 ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ดังนั้น ทุกครั้งที่ท่านได้รับ อีเมล์ ข่าว เนื้อความ หรือ ภาพ มาจากอินเทอร์เน็ตก่อนที่ท่านจะเผยแพร่ ส่งต่อ(Forward) ยังไปพรรคพวก เพื่อนฝูง ญาติมิตร หรือท่านจะนำ ข้อความ หรือ ภาพ ที่ได้รับมานั้น ไปเผยแพร่ลงใน เว็บบอร์ด ในเว็บไซต์ต่างๆ นั้น กรุณาใช้วิจารณญาณ ก่อนด้วยว่า ไม่ว่า ข้อความ/ ภาพ นั้น จะเท็จ จะจริง หรือไม่อย่างไรก็ตาม 1. อาจก่อความเสียหายให้ ผู้หนึ่งผู้ใดหรือไม่
พ.ต.อ.ญาณพล ยั่งยืน ถ้าท่านคิดว่า คำเตือนนี้ มีประโยชน์ต่อผู้อื่น ไม่มีโทษ กรุณา ส่งต่อ (Forward) ไปต่อๆ กันด้วยครับ ...ขอบพระคุณมากครับ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2011-09-24 08:41:24 |
ความคิดเห็นที่ 3 (2219565) | |
พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ที่ใช้อยู่ในทุกวันนี้ ถูกเขียนขึ้นโดยมีข้อสันนิษฐานที่ค่อนข้างแปลกแยกจากธรรมชาติของการสื่อสารระหว่างกันในอินเทอร์เน็ต ดูเหมือนมันถูกเขียนขึ้นโดยความพยายามควบคุมอินเทอร์เน็ตอย่างสุดขั้ว และเขียนเพื่อหาใครสักคนมารับผิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้จนได้ เช่น การเขียนความผิดให้กว้างขวางที่สุด อย่างการนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) มีโทษสูงสุดคือ จำคุกห้าปี เป็นประเด็นถกเถียงว่า มาตรา 14 (1) ซึ่งมีการเขียนมูลความผิดอย่างกว้างขวางเช่นนี้ มีเจตนารมณ์ดั้งเดิมคือ เพื่อเล่นงานการปลอมตัวในอินเทอร์เน็ต (phishing) เท่านั้นหรือไม่ เมื่อมีการใช้คำที่ครอบคลุมการกระทำกว้างขวางเช่นนี้แล้ว ก็ทำให้เกิดการฟ้องร้องจำนวนมาก และซ้ำซ้อนกับฐานความผิดที่มีอยู่แล้วในกฎหมายฉบับอื่น เช่น ความผิดฐานหมิ่นประมาท หากจะตีความมาตรา 14 (1) อย่างตรงตัวแล้ว การเล่น April Fools (วันเมษาหน้าโง่) ในวันที่ 1 เมษายนของทุกปี นั้นอาจจะทำให้เว็บไซต์ระดับโลกอย่าง Google และ BBC, และอีกหลายสำนักข่าวต่างประเทศ ผิดกฎหมายไทย จนมีความผิดต้องโทษจำคุกสูงสุด 5 ปีตามมาตรา 14 (1) นี้กันไปหมด แนวทางเช่นนี้ตามมาถึงมาตรา 15 ที่พูดถึงผู้ให้บริการที่ “จงใจสนับสนุนหรือยินยอม” ให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา 14 โดยไม่ระบุว่าการกระทำเช่นไรจึงจะเป็นการ “จงใจ” ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตตามบ้านอาจจะถูกลูกค้าส่งข้อมูลอันเป็นการกระทำความผิดต่อผู้อื่นเป็นเวลานาน ก็อาจจะเป็นความจงใจได้หากเราปล่อยให้มีการตีความกันเอง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราเป็นผู้เสียหายเสียเอง ผู้ให้บริการนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงผู้ให้บริการเว็บเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต, ผู้ให้บริการเซิร์ฟเวอร์, ตลอดจนผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูล หากแต่ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ฉบับปัจจุบันกลับไม่มีแนวทางชัดเจนว่าผู้ให้บริการแต่ละประเภทจะต้องทำอย่างไรจึงจะแสดงตัวว่า ไม่ได้จงใจสนับสนุนข้อมูลเหล่านี้ แต่เป็นเพียงการให้บริการตามปรกติวิสัย การปรับปรุงกฎเกณฑ์เพื่อให้สอดคล้องกับธรรมชาติของอินเทอร์เน็ต ไม่ได้หมายถึงการยกเลิกการควบคุมทั้งหมด ไม่ได้หมายถึงอินเทอร์เน็ตที่จะไม่มีใครต้องรับผิดชอบอะไร หากแต่คือ การมีกฎระเบียบ ที่ทำให้ทุกคนรู้ถึงภาระรับผิดชอบของตัวเอง มีขอบเขตความรับผิดชอบที่ชัดเจน และตระหนักถึงความผิดหากไม่ทำตามความรับผิดชอบเหล่านั้น ผมเชื่อว่า เราสามารถสนับสนุนให้มีกติกาที่ชัดเจนสำหรับผู้ให้บริการแต่ละประเภท โดยการออกกฎหมายลูก เพื่อจะได้มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนสำหรับผู้ให้บริการแต่ละประเภทต่อไป ยกตัวอย่างเช่นกระบวนการขอลบเนื้อหาออกจากเว็บ ที่ทุกวันนี้กลับไม่มีกระบวนการใดๆ บอกได้ หากเรามีกฎที่ลงรายละเอียดแยกตามประเภทผู้ให้บริการ เราอาจจะมีกฎที่ผู้ให้บริการเว็บจะต้องลบเนื้อหาที่พาดพิงต่อบุคคลในทางร้าย เมื่อได้รับคำร้องขอจากผู้เสียหาย โดยจะต้องปิดการเข้าถึงในเวลาที่กำหนด ผู้ให้บริการอาจจะต้องส่งต่อข้อมูลติดต่อ (เช่นอีเมล) ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อมีการดำเนินคดี ฯลฯ รวมไปถึงเราอาจจะกำหนดให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตมีบริการค้นหาเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูกขโมยแล้วนำไปเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการ หรือโทรศัพท์ที่ถูกขโมยแล้วได้รับการแจ้งหมายเลขประจำเครื่องเอาไว้ กติกาเช่นนี้สามารถช่วยลดความยุ่งยากในการดำเนินคดี และช่วยลดอาชญากรรมได้ แต่กลับไม่มีการระบุไว้ในหน้าที่ของผู้ให้บริการแต่อย่างใดในทุกวันนี้ ผู้ออกกฎหมายไม่ควรคิดแต่ว่า กฎหมายที่ออกไปนั้นช่วยทำให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดได้ง่ายหรือไม่ แต่ยังควรมองในแง่การคุ้มครองผู้เกี่ยวข้อง ผู้ให้บริการ ต้องมีช่องทางให้ผู้รับบริการอย่างสะดวกเมื่อผู้รับบริการต้องการ ตัวอย่างเช่น การกำหนดให้ผู้ให้บริการต้องแสดงจุดติดต่อ เช่น อีเมล หรือหมายเลขโทรศัพท์อย่างเป็นมาตรฐาน ผู้ให้บริการเซิร์ฟเวอร์อาจจะต้องมีศูนย์แจ้งว่าหมายเลขไอพีใดควรติดต่อผู้ดูแลได้ผ่านทางช่องทางใด หากถูกโจมตีจากหมายเลขไอพีใดๆ ผู้เสียหายควรมีช่องทางติดต่อกับผู้ให้บริการหมายเลขไอพีนั้นๆ เพื่อแจ้งการโจมตีและขอให้ปิดบริการได้ เมื่อเราถูกละเมิดเล็กๆ น้อยๆ แทนที่เราจะต้องไปขึ้นดำเนินคดีซึ่งบางครั้งไม่คุ้มค่ากับผู้เสียหายเอง หากผู้รับบริการสามารถติดต่อผู้ให้บริการได้อย่างรวดเร็ว ด้วยกฎเกณฑ์ที่กำหนดให้ผู้ให้บริการต้องตอบสนองต่อเรื่องร้องเรียนต่างๆ อย่างรวดเร็ว และสามารถแก้ไขต่อการละเมิดนั้นได้อาจจะเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่ายมากกว่า หากเป็นการละเมิดตัวบุคคลอาจจะต้องปิดการเข้าถึงข้อมูลภายในเวลาที่กำหนดหลังได้รับแจ้งแม้จะยังไม่มีการแจ้งความ หากเป็นกรณีที่ไม่ชัดเจนว่าเป็นความผิดหรือไม่ เราอาจจะตั้งกฎให้ผู้ให้บริการต้องปิดการเข้าถึงเป็นช่วงเวลาหนึ่งก่อนที่ผู้เสียหายจะไปดำเนินคดีและอาศัยอำนาจเจ้าหน้าที่เพื่อขอให้ปิดการเข้าถึง หรือคงข้อมูลบันทึกการเข้าถึง (log) ของผู้ใช้นั้นๆ เอาไว้แม้การดำเนินการจะใช้เวลานานจนคำสั่งมาถึงเมื่อเลยเวลาที่กฎหมายกำหนดไปแล้ว ผมมีความเชื่อว่าเสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งนำไปสู่การตรวจสอบ, การถกเถียง, และการวิจารณ์นั้น สามารถอยู่ร่วมกับการรับผิดชอบ และการคุ้มครองสิทธิของทุกคนในสังคมที่อยู่ร่วมกันได้ เราสามารถสร้างกฎที่ไม่ทำให้เกิดความกลัวอย่างไม่จำเป็น แต่แก้ปัญหาและคุ้มครองเสรีภาพของประชาชน โดยยังเปิดพื้นที่ให้มีการพูดคุยและวิจารณ์อันเป็นส่วนสำคัญต่อสังคมประชาธิปไตยได้หากเราออกแบบกฎอย่างดีพอ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2011-09-24 09:12:22 |
ความคิดเห็นที่ 4 (2219579) | |
คดีหมายเลขดำที่ : อ.3729/2553 วันที่ฟ้อง : 12/11/2553 คดีหมายเลขแดงที่ : อ.4242/2553 วันที่ออกแดง : 15/12/2553 เมื่อระหว่างวันที่ 13 - 15 พฤษภาคม 2552 เวลากลางคืนหลังเที่ยงและเวลากลางวันต่อเนื่องกันตลอดมา วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยพิมพ์ข้อความและโฆษณาเผยแพร่ข้อความอันเป็นการหมิ่นประมาท นายศิริชัย ... ผู้เสียหาย โดยส่งข้อความทางอินเตอร์เน็ต ต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้นายศิริชัย ... ผู้เสียหาย เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชัง และเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ นายศิริชัย ผู้เสียหาย ผู้อื่น หรือประชาชน เหตุเกิดที่แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร และทั่วราชอาณาจักร เกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328,พระราชบัญญัติว่า พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1) การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน ปรับ 10,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือน และปรับ 5,000 บาท พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีประกอบกับรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยแล้ว เห็นว่าจำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง ภายใน 1 ปี ให้จำเลยทำกิจกรรมบริการสังคม ไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง ภายในกำหนด 1 ปี กับให้ละเว้นการประพฤติใดอันอาจนำไปสู่การกระทำความผิดในทำนองเดียวกันอีก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30./
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2011-09-24 09:31:59 |
[1] |