ทางจำเป็น | |
ข้อหารือ 1. ต. พี่สาวคนโตของข้าพเจ้า ถูกตัดสินให้แพ้คดี ให้ยกฟ้องการจดทะเบียนให้ ที่นาซึ่งเป็นที่ตาบอด แก่ ส. พี่สาวอีกคนของข้าพเจ้า (ดูหมายศาลประกอบ ต. และ ส. เป็นจำเลยที่ 1 และ 2 ตามลำดับ นาย ห. เป็นโจทย์ ) ขณะนี้อยู่ระหว่างอุทธรณ์ ข้อหารือ · สามารถฟ้องศาลขอทางจำเป็นได้เลยหรือไม่ (การขอทางไม่กระทบสิทธิ์ของโจทย์) · ข้าพเจ้าสามารถรับมอบอำนาจให้ดำเนินการฟ้องศาลแทนพี่สาวทั้งสองหรือรับมอบอำนาจเฉพาะจากพี่สาวคนโตเท่านั้น · นอกจากที่นาของพี่สาวแล้ว ยังมีที่นาของญาติอีก 3 แปลง ที่ต้องการทางจำเป็นเหมือนกัน ญาติซึ่งเป็นเจ้าของที่นาทั้ง 3 แปลงนั้น สามารถมอบอำนาจให้ข้าพเจ้าคนเดียวดำเนินการฟ้องศาลแทนที่นารวม 4 แปลงได้หรือไม่ และการมอบอำนาจเช่นนี้ จะเป็นผลดีหรือผลเสียในการต่อสู้คดีหรือไม่อย่างไร 2. จากรูปแผนที่ มีทางสาธารณะที่อยู่ในข่ายควรฟ้องขอทางจำเป็นอยู่ 2 ทาง คือทิศตะวันตก (เป็นทิศที่พวกข้าพเจ้าใช้มาตลอดตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ ไม่ต่ำกว่า 50 ปีแล้วโดยผ่านที่นาของนาง ข. และ นาง น.) กับทางด้านทิศเหนือซึ่งมีการใช้เป็นครั้งคราว โดยต้องผ่านที่นาอีกหลายแปลง ข้อหารือ · ข้าพเจ้าควรฟ้องศาลเพื่อขอใช้เส้นทางใด และกรณีฟ้องเส้นทางทิศตะวันตก (ที่เคยใช้มาตลอด) ควรฟ้องขอทางภารจำยอมโดยอายุความหรือขอทางจำเป็น หรือสามารถบรรยายฟ้องให้ครอบคลุมทั้งสองประเด็นได้เลย หรือควรแยกฟ้องเป็น 2 กรณี คือ ฟ้องขอ ทางภารจำยอมโดยอายุความ จาก นาง ข. และฟ้องขอ ทางจำเป็น จาก นาย ว. บุตรของ นาย ห. ซึ่งเป็นคู่ความกับพี่สาวทั้งสองคนของข้าพเจ้า (เนื่องจาก นาย ว. ได้จดทะเบียนซื้อและรับโอนที่นาของ นาง น.ไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ นาย ว. จึงเป็นบุคคลภายนอกผู้เสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต ตามมาตรา 1299 วรรค 2 ซึ่งจริง ๆ แล้ว นาย ว.รับโอนที่ดินโดยรับรู้อยู่แล้วว่าพวกข้าพเจ้าใช้เข้าออกมาตั้งแต่สมัยพ่อแม่แล้ว และได้ประกาศว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อมิให้พวกข้าพเจ้าผ่านเข้าที่นาตนเองได้ เช่นนี้จะถือได้ว่านาย ว. รับโอนโดยไม่สุจริตหรือไม่) หรือฟ้องขอทางภารจำยอมโดยอายุความตลอดเส้นทาง ก่อน ถ้าไม่ได้จึงขอเปลี่ยนเป็นฟ้องแยก 2 กรณี หรือฟ้องขอทางจำเป็นตลอดเส้นทาง แทนในการฟ้องคราวเดียวกันในศาลชั้นต้น ได้หรือไม่ หรือต้องเปลี่ยนคำร้องในชั้นอุทธรณ์เท่านั้น · ในที่ดินโฉนดเดียวกัน (ของนาง น.)ข้าพเจ้าสามารถฟ้องขอทั้งทางภารจำยอมช่วงหนึ่ง (เนื่องจากสภาพเป็นทางที่พวกข้าพเจ้าและคนอื่น ๆ อีกหลายครอบครัวใช้ด้วยเข้าใจว่าเป็นทางสาธารณะ) ส่วนอีกช่วงซึ่งเป็นที่นา เมื่อจะใช้รถขนข้าวและรถไถผ่านเข้าออก ต้องรอให้เจ้าของที่นาเก็บเกี่ยวเสร็จก่อนจึงขอตัดคันนาเพื่อให้รถผ่านเข้าออกได้ ช่วงนี้สามารถฟ้องขอทางจำเป็นได้หรือไม่ · สิทธิภารจำยอมหรือทางจำเป็นที่ได้ จะติดไปกับที่ดินตลอดไปหรือไม่ และถ้ามีการแบ่งแยกที่ดินจากแปลงเดิม สิทธินี้จะตกถึงที่ดินแปลงที่แบ่งแยกทุกแปลงหรือไม่ · เฉพาะในกลุ่มพวกข้าพเจ้า ทั้ง 4 แปลง การกำหนดทางจำเป็นเพื่อให้ทุกแปลงสามารถออกสู่ทางสาธารณะได้หมด ควรให้ศาลระบุในคำตัดสินเลย หรือว่าต้องดำเนินการตกลงและจดทะเบียนภายหลัง · หากกำหนดให้ทางจำเป็นเฉพาะในกลุ่มพวกข้าพเจ้าอยู่ด้านทิศตะวันออกซึ่งติดลำห้วยสาธารณะและภายหลังเกิดตลิ่งพังจนทางจำเป็นบางช่วงหายไป จะมีวิธีดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาที่จะเกิดในอนาคต หรือป้องกันล่วงหน้าอย่างไร · การตั้งทนายความ สามารถตั้งทนายความคนเดียวกับที่พี่สาวทั้งสองของข้าพเจ้าในคดีที่อยู่ระหว่างอุทธรณ์หรือไม่ หรือต้องตั้งคนใหม่ · ระหว่างที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษา แต่พวกข้าพเจ้าต้องการผ่านที่นาของ นาย ว.เข้าไปทำนา จะต้องดำเนินการอย่างไร จึงจะไม่เข้าข่ายบุกรุก ขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวได้หรือไม่ · สิ่งที่จำเป็นในการดำเนินการฟ้องขอทางดังกล่าว ต้องเตรียมอะไรบ้าง (ตอนนี้ มีภาพถ่ายเส้นทางที่พวกข้าพเจ้าเคยใช้ผ่านเข้าออกโดยผ่านที่นาของ นาง ข. และ นาง น. แต่ยังไม่มีภาพถ่ายความเปลี่ยนแปลงของเส้นทางที่เคยใช้ผ่าน (ซึ่ง นาย ว. ได้ให้คนมาไถเชื่อมเป็นที่ดินผืนเดียวกับที่ดินเดิมทางทิศใต้ของญาติตนแล้วเมื่อเร็ว ๆ นี้) · ทางจำเป็น เกิดโดยผลของกฎหมาย ไม่ต้องจดทะเบียนการได้มา ส่วนทางภารจำยอม ต้องจดทะเบียนการได้มา หมายความว่าอย่างไร | |
ผู้ตั้งกระทู้ joyce :: วันที่ลงประกาศ 2008-05-30 15:09:57 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (1760662) | |
ข้อเท็จจริงค่อนข้างยาวและผมเองยังไม่เข้าใจทั้งหมดจึงขอตอบเท่าที่เข้าใจข้อเท็จจริงครับ 1. ขอตอบแยกเป็นข้อดังนี้ครับ ในเรื่องการมอบอำนาจนั้นสามารถทำได้ทั้งนั้นครับขอให้ผู้มอบและผู้รับมอบไม่เป็นบุคคลอ่อนความสามารถครับ สำหรับเรื่องต่อสู้คดีเป็นเรื่องของทนายความครับ หากผู้รับมอบจะต่อสู้คดีโดยทำหน้าที่ทนายความไม่ได้ครับ 2. สามารถบรรยายฟ้องให้ครอบคลุมทางจำเป็นหรือทางภาระจำยอมพร้อมกันได้ ตามคำพิพากษาฎีกาที่ยกมาให้ดูข้างล่างนี้ครับ
ทางจำเป็น และทางภาระจำยอม
ขอเปิด ทางจำเป็นนั้น ที่และวิธีทำทางผ่านต้องเลือกให้พอควรแก่ความจำเป็นกับต้องคำนึงถึงที่ดินที่ล้อมอยู่ให้เสียหายน้อยที่สุดที่จะเป็นได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 316/2550
โจทก์กล่าวอ้างว่าที่ดินมือเปล่าของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมจนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ แต่การที่โจทก์ขอเปิด ทางจำเป็นนั้น ที่และวิธีทำทางผ่านต้องเลือกให้พอควรแก่ความจำเป็นกับต้องคำนึงถึงที่ดินที่ล้อมอยู่ให้เสียหายน้อยที่สุดที่จะเป็นได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคสาม การที่โจทก์บรรยายฟ้องและนำสืบเกี่ยวกับที่ดินมือเปล่าโดยระบุเพียงเขตติดต่อแต่ละด้านว่าจดที่ดินแปลงใด โดยไม่ปรากฏความยาวของที่ดินมือเปล่าแต่ละด้าน ในการทำแผนที่พิพาทโจทก์ก็นำชี้แนวเขตที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองทั้งที่ดินมือเปล่าและที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์รวมเป็นแปลงเดียวกัน จึงไม่อาจวินิจฉัยได้ว่าการใช้ทางพิพาทจะพอควรแก่ความจำเป็นสำหรับที่ดินมือเปล่าของโจทก์หรือไม่ และการเลือกใช้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นจะทำให้ที่ดินของจำเลยเสียหายน้อยที่สุดหรือไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอเปิดทางพิพาทเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินมือเปล่าของโจทก์
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมือเปล่า (ไม่มีเอกสารสิทธิสำหรับที่ดิน) ตั้งอยู่ตำบลขุมเงิน อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร มีอาณาเขตทิศเหนือจดที่ดินนางคำปุ่น ทองจิตร ทิศใต้จดที่ดินนางแดงน้อย (ไม่ปรากฏชื่อสกุล) ทิศตะวันออกจดที่ดินโฉนดเลขที่ 30554 ของจำเลย และทิศตะวันตกจดที่ดินของโจทก์อีกแปลงหนึ่งโจทก์ซื้อที่ดินมาจากนายประสงค์ ประสมศรี เมื่อปี 2539 ก่อนหน้านั้นนายประสงค์และบริวารได้ใช้ทางพิพาทเดินผ่านที่ดินของจำเลยกว้าง 2.59 เมตร ยาว 16.798 เมตร เมื่อออกสู่ทางสาธารณะทางด้านทิศตะวันออกของที่ดินจำเลยมาเป็นเวลา 10 ปีเศษ โดยความสงบ เปิดเผยและด้วยเจตนาเพื่อใช้ประโยชน์แห่งอสังหาริมทรัพย์ของตน และไม่มีเส้นทางอื่นที่จะใช้ผ่านจากทางสาธารณะเข้าสู่ที่ดินของโจทก์ได้ โจทก์ใช้ทางพิพาทต่อจากนายประสงค์ตลอดมา โดยความสงบ เปิดเผยและด้วยเจตนาใช้เพื่อประโยชน์แห่งอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ จำเลยไม่เคยโต้แย้งหรือคัดค้าน ทางพิพาทจึงเป็น ทางจำเป็นและทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ เมื่อต้นเดือนเมษายน 2542 จำเลยสร้างรั้วลวดหนามกั้นตลอดที่ดิน จำเลยปิดกั้นทางพิพาท ทำให้โจทก์และบริวารไม่สามารถใช้ทางพิพาทออกสู่ทางสาธารณะได้ โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนรั้วที่ปิดกั้นทางพิพาทแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยเปิดทางจำเป็นและหรือทางภาระจำยอม กว้าง 2.59 เมตร ยาว 16.798 เมตร ในที่ดินโฉนดเลขที่ 30554 ตำบลขุมเงิน อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร และให้จำเลยจดทะเบียนทางจำเป็นและหรือทางภาระจำยอมดังกล่าว หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาจำเลยให้การว่า นายประสงค์ ประสมศรี เจ้าของที่ดินเดิมไม่เคยใช้ทางพิพาท ที่ดินของโจทก์เป็นที่ดินมือเปล่า มีเนื้อที่เพียงเล็กน้อย นายประสงค์ไม่ได้ทำประโยชน์มาหลายสิบปีปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า หากนายประสงค์จะเข้าออกสู่ที่ดินของตนก็ใช้ทางเดินผ่านที่ดินของบุคคลอื่นทางด้านทิศเหนือและทิศใต้ของที่ดินจำเลย เมื่อปี 2537 โจทก์ซื้อที่ดิน 1 แปลง เนื้อที่ 15 ไร่ ติดกันที่ดินที่โจทก์ซื้อจากนายประสงค์ ที่ดินแปลงดังกล่าวไม่มีทางเข้าออก เจ้าของเดิมและโจทก์อาศัยเดินตามคันนาของบุคคลอื่นเข้าออกตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ต่อมาปี 2539 โจทก์จึงซื้อที่ดินจากนายประสงค์ทั้งที่โจทก์ทราบว่าไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้จำเลยเปิดทางพิพาทกว้าง 2.59 เมตร ยาว 16.798 เมตร ในที่ดินโฉนดเลขที่ 30554 ตำบลขุมเงิน อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร ของจำเลยตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.3 และให้จำเลย จดทะเบียนภาระจำยอมให้แก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับจำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้เถียงกันฟังเป็นยุติว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 30554 ตำบลขุมเงิน อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร เนื้อที่ 1 งาน 26 ตารางวา ด้านทิศตะวันออกติดทาง ร.พ.ช. (เร่งรัดพัฒนาชนบท) สายบ้านเขื่องคำ - บ้านขุมเงิน ตามโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.2 โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่าซึ่งซื้อมาจากนายประสงค์ ประสมศรี และที่ดินเนื้อที่ 14 ไร่ ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1 ซึ่งซื้อมาจากนางหนูเกตุ ประสมศรี และนายปานทอง ล้วนศรี ทางพิพาทอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 30554 ด้านทิศตะวันออกติดทาง ร.พ.ช. กว้าง 2.59 เมตร ทิศตะวันตกติดที่ดินซึ่งโจทก์ครอบครองกว้าง 2.63 เมตร ด้านทิศเหนือยาว 16.793 เมตร ด้านทิศใต้ยาว 16.189 เมตร ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.3 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่าทางพิพาทเป็น ทางภาระจำยอมโดยอายุความแก่ที่ดินมือเปล่าของโจทก์หรือได้ โดยโจทก์บรรยายฟ้องว่านายประสงค์ ประสมศรีเจ้าของที่ดินมือเปล่าคนเดิมและบริวารได้ใช้ทางพิพาทเพื่อออกสู่ทางสาธารณะเป็นเวลากว่า 10 ปี เมื่อโจทก์ซื้อที่ดินมือเปล่าจากนายประสงค์ในปี 2539 ก็ใช้ทางพิพาทต่อเนื่องจากนายประสงค์จนถึงปี 2542 ซึ่งโจทก์ฟ้องคดีนี้ ดังนั้น การที่นายประสงค์จะได้ภาระจำยอมโดยอายุความย่อมขึ้นอยู่กับว่านายประสงค์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์อันเป็นสามยทรัพย์ได้ใช้ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยอันเป็นภารยทรัพย์มาครบถ้วนตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เกี่ยวกับการได้ภาระจำยอมโดยอายุความหรือไม่ ในส่วนที่ผู้อื่นจะได้ใช้ทางพิพาทหรือไม่นั้นไม่มีผลเกี่ยวกับการได้ภาระจำยอมโดยอายุความของนายประสงค์แต่ประการใด โจทก์ซึ่งกล่าวอ้างว่านายประสงค์เจ้าของที่ดินมือเปล่าคนเดิมได้ภาระจำเลยยอมในทางพิพาทก่อนขายที่ดินมือเปล่าให้โจทก์ จึงมีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาสืบให้ฟังได้ว่านายประสงค์ได้ใช้ทางพิพาทอย่างปรปักษ์โดยความสงบและเปิดเผย ด้วยเจตนาให้ได้ใช้สิทธิในภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินมือเปล่าของตนเป็นเวลาติดต่อกัน 10 ปี ในชั้นพิจารณา โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานอ้างนายประสงค์เป็นพยาน แต่โจทก์มิได้นำนายประสงค์หรือบริวารของนายประสงค์ที่ได้ใช้ทางพิพาทมาเบิกความสนับสนุนข้ออ้างตามคำฟ้อง พยานโจทก์คงมีตัวโจทก์นายปานทอง ล้วงศรี นายนิยม ชื่นบาน และนายสุดใจ สายศรี รวม 4 ปาก โจทก์เองมิได้เบิกความให้เห็นว่านายประสงค์ใช้ทางพิพาทอย่างไร ทั้งโจทก์เบิกความตอบคำถามค้านตอนแรกว่า ที่ดินมือเปล่าของนายประสงค์มีเนื้อที่ประมาณ 1 งาน เป็นเนื้อที่ว่างนายประสงค์ไม่ได้ทำประโยชน์ แต่เบิกความตอบคำถามค้านตอนท้ายแตกต่างไปว่า นายประสงค์ปลูกต้นนุ่นและต้นมะพร้าว นายปานทองซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1 คนเดิม เบิกความตอบคำถามค้านว่า นายประสงค์จะมีที่ดินติดกับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1 ทางทิศใดไม่ทราบ แต่กลับเบิกความตอบคำถามติงว่า นายประสงค์มีที่นาคั่นกลางระหว่างที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1 กับที่ดินของจำเลย นายนิยม ซึ่งระหว่างปี 2518 ถึง 2533 ได้ปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินของบิดาและมารดาติดกับที่ดินของจำเลยเบิกความตอบคำถามค้านว่า ที่ดินมือเปล่าของนายประสงค์ทิ้งว่างเปล่ามาหลายปีเนื่องจากเลิกทำนา ส่วนนายสุดใจซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 7 ตำบลขุมเงิน และมีบ้านพักอยู่ห่างทางพิพาทประมาณ 300 เมตร เบิกความตอบคำถามค้านว่า ไม่เคยรู้จักนายประสงค์ ไม่ทราบว่ามีที่ดินอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์หรือจำเลยหรือไม่ ส่วนที่นายสุดใจเบิกความว่าทางพิพาทเป็นถนนเชื่อมกับถนน ร.พ.ช. ทางต่อจากที่ดินของจำเลยเป็นแนวคันนากว้าง 3 เมตร เป็นทางให้รถสัญจรต่อจากทางพิพาทไปเชื่อมกับอีกเส้นทางหนึ่ง ก็ขัดแย้งกับสภาพทางพิพาทตามภาพถ่ายหมาย จ.4 ภาพที่ 2 และที่ 3 ภาพถ่ายหมาย จ.6 ภาพ ที่ 1 ซึ่งปรากฏว่า บริเวณแนวเขตที่ดินของจำเลยด้านทิศตะวันตกมีต้นไม้ยืนต้น 2 ต้น ขึ้นขวางปิดกั้นทางพิพาทจนไม่อาจใช้รถสัญจรต่อจากทางพิพาทได้ ทั้งไม่ปรากฏแนวคันนากว้าว 3 เมตร ต่อจากทางพิพาท จึงไม่มีสภาพเป็นทางให้รถสัญจรต่อจากทางพิพาทไปเชื่อมกับอีกเส้นทางหนึ่งดังที่นายสุดใจเบิกความ เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนการครอบครองที่ดินมือเปล่าต่อจากนายประสงค์ และกล่าวอ้างว่านายประสงค์ได้ภาระจำยอมในทางพิพาทโดยอายุความ ไม่มีพยานหลักฐานมานำสืบให้เห็นว่านายประสงค์ซึ่งมิได้ปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินมือเปล่าได้ทำประโยชน์ประการใดในที่ดินมือเปล่า และนายประสงค์หรือบริวารผู้ใดได้ใช้ทางพิพาทเพื่อการใดที่เป็นประโยชน์แก่ที่ดินมือเปล่าก่อนโอนขายให้แก่โจทก์ ส่วนพยานจำเลยมีนางมัลลิกา นฤมิตกริ่มกมล บุตรนายประสงค์เบิกความยืนยันว่า ที่ดินมือเปล่าของนายประสงค์มีเนื้อที่ประมาณ 50 ตารางวา นายประสงค์ใช้ปลูกพืชผักสวนครัว และนายประสงค์เดินทางเข้าออกโดยเดินตามคันนาไม่ได้ผ่านที่ดินของจำเลย พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่านายประสงค์ได้ภาระจำยอมในทางพิพาทโดยอายุความก่อนโอนขายที่ดินมือเปล่าให้แก่โจทก์ แม้โจทก์จะอ้างว่าเมื่อซื้อที่ดินมือเปล่าจากนายประสงค์ในปี 2539 แล้ว โจทก์ได้ใช้ทางพิพาทเข้าไปทำไร่นาสวนผสมในที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองทั้งหมด ก็ไม่เป็นเหตุให้โจทก์ได้ภาระจำยอมในทางพิพาท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า ทางพิพาทตกอยู่ในภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้นปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายมีว่าโจทก์ในฐานะเจ้าของที่ดินมือเปล่ามีสิทธิขอให้บังคับจำเลยเปิดทางพิพาทโดยอ้างว่าเป็น ทางจำเป็นออกสู่ทางสาธารณะหรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์จะกล่าวอ้างว่าที่ดินมือเปล่าของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมจนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ และหากจะผ่านที่ดินของจำเลยไปสู่ทางสาธารณะจะใกล้กว่าทางอื่น แต่การที่โจทก์ขอเปิดทางจำเป็นนั้น ที่และวิธีทำทางผ่านต้องเลือกให้พอควรแก่ความจำเป็น กับต้องคำนึงถึงที่ดินที่ล้อมอยู่ให้เสียหายน้อยที่สุดที่จะเป็นได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคสาม แต่โจทก์บรรยายฟ้องและนำสืบเกี่ยวกับที่ดินมือเปล่าโดยระบุเพียงเขตติดต่อแต่ละด้านว่าจดที่ดินแปลงใด โดยปรากฏความยาวของที่ดินมือเปล่าแต่ละด้าน ในการทำแผนที่พิพาทโจทก์ก็นำชี้แนวเขตที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองทั้งที่ดินมือเปล่าและที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1 รวมเป็นแปลงเดียวกัน ข้อเท็จจริงที่โจทก์ฟ้องและนำสืบมาจึงไม่อาจวินิจฉัยได้ว่าการใช้ทางพิพาทจะพอควรแก่ความจำเป็นสำหรับที่ดินมือเปล่าของโจทก์หรือไม่ และการเลือกใช้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นจะทำให้ที่ดินของจำเลยเสียหายน้อยที่สุดหรือไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอเปิดทางพิพาทเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินมือเปล่าของโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยทางพิพาทเป็นทางจำเป็นนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น"พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ. ( สมศักดิ์ เนตรมัย - สุทัศน์ ศิริมหาพฤกษ์ - สุรศักดิ์ สุวรรณประกร )
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-05-31 09:36:32 |
ความคิดเห็นที่ 2 (1760708) | |
การจดทะเบียนภาระจำยอม ความหมาย ภาระจำยอม คือ ทรัพยสิทธิอย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อก่อให้เกิดภาระจำยอมในอสังหาริมทรัพย์ใดจะเป็นเหตุให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์นั้นต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบกระเทือนถึงการใช้สิทธิในทรัพย์สินของตน หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น กฎหมายและคำสั่งกรมที่ดินที่เกี่ยวข้อง - ป.พ.พ มาตรา ๑๓๘๗ ถึง มาตรา ๑๔๐๑ ประเภทการจดทะเบียน ๑. ภาระจำยอม หมายถึง กรณีอสังหาริมทรัพย์ต้องตกอยู่ในภาระจำยอมกรณีหนึ่งและกรณีเจ้าของ อสังหาริมทรัพย์ก่อให้เกิดภาระจำยอมแต่เพียงบางส่วน โดยกำหนดกรรมหรือการงดเว้นไว้ให้ชัดเจนในบันทึกข้อตกลงเพื่อให้ทราบว่าอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวตกอยู่ในภาระจำยอมบางส่วน อีกกรณีหนึ่ง สาระสำคัญ - ภาระจำยอมก่อให้เกิดขึ้นโดยอายุความและโดยนิติกรรม นอกจากนี้ยังมีภาระจำยอมที่เกิดขึ้นจากการสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต แนวทางการวินิจฉัยที่สำคัญเกี่ยวกับภาระจำยอม ๑. การที่ที่ดินแปลงหนึ่งได้จดทะเบียนเป็นภารยทรัพย์ของที่ดินแปลงอื่นไว้แล้ว ต่อมาเจ้าของที่ดินภารยทรัพย์ประสงค์จะจดทะเบียนภาระจำยอมให้ที่ดินแปลงอื่นใช้ประโยชน์ถนนภาระจำยอมที่ได้จดทะเบียนไว้เป็นทางผ่านต่อไปอีก เป็นการจดทะเบียนภาระจำยอมในลักษณะเดียวกัน ไม่ถือว่าทำให้ประโยชน์แห่งภารยทรัพย์ลดไปหรือเสื่อมความสะดวกตามนัยมาตรา ๑๓๙๐ แห่ง ป.พ.พ. คำพิพากษาฎีกาที่เกี่ยวข้อง ๑. คำพิพากษาฎีกาที่ ๑/๒๔๙๗ การที่โจทก์ใช้คูจำเลยเป็นที่สำหรับเก็บคูนั้น ไม่ใช่เป็นทางสัญจรไปมา การเอาเรือเข้าออกจากคูหาใช่เป็นการไปมาไม่ ทางสัญจรของโจทก์มีคลองบางขุนเทียนอยู่แล้ว ภาระจำยอมนั้น ประสงค์เพื่อประโยชน์อนุเคราะห์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นเพื่อให้ที่ดินทั้ง ๒ ฝ่ายมีสภาพอยู่ได้โดยปกติสุข แต่เรื่องนี้โจทก์ใช้คูเป็นที่เก็บเรือ คูนั้นเป็นประโยชน์แก่เรือหาได้เป็นประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ไม่ จึงไม่ต้องด้วยลักษณะภาระจำยอมตามมาตรา ๑๓๘๗ ค่าธรรมเนียม ๑. การจดทะเบียนภาระจำยอมโดยไม่มีค่าตอบแทน เป็นการจดทะเบียนประเภทไม่มีทุนทรัพย์ คิดค่าธรรมเนียมแปลงละ ๕๐ บาท ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๗ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.๒๔๙๗ ข้อ ๒ (๗) (ฑ) อากรแสตมป์ การจดทะเบียนภาระจำยอมโดยมีค่าตอบแทน พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องเรียกเก็บค่าอากรแสตมป์จากจำนวนค่าตอบแทนตามประมวลรัษฎากร ตามลักษณะตราสาร ๒๘. (ข) ใบรับแห่งบัญชีอัตราอากรแสตมป์ (ตามหนังสือสรรพากร ด่วนมาก ที่ กค ๐๘๑๑/๐๙๘๘๔ ลงวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๔๑ ซึ่งเวียนโดยหนังสือกรมที่ดิน ที่ มท ๐๗๑๐/ว ๒๔๔๑๗ ลงวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๑) ส่วนมาตรฐานการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม แหล่งที่มา*** http://www.dol.go.th/lo/smt/handbook/december/news6.htm | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ค้นหาข้อมูลโดย ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-05-31 10:23:49 |
ความคิดเห็นที่ 3 (1760767) | |
การฟ้องทางจำเป็นและทางภาระจำยอม ในคำฟ้องเดียวกัน ไม่เป็นคำฟ้องเคลือบคลุม โจทก์ทั้งห้าฟ้องขอให้บังคับจำเลย จดทะเบียนที่ดินส่วนที่เป็นถนนซอยย่าสุ่นอุทิศในโฉนดเลขที่ 73 ตำบลลาดพร้าว (ออเป้า) อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร กว้าง 6 เมตร ยาว 380 เมตร เป็นทางสาธารณสมบัติของแผ่นดิน หรือตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งห้าและที่ดินของประชาชนผู้ใช้ถนนซอยย่าสุ่นอุทิศเป็นทางเข้าออกทุกแปลง หรือพิพากษาให้เป็นทางจำเป็นแก่โจทก์ทั้งห้า และยอมให้ทางราชการสำนักงานเขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร เข้าทำการปรับปรุงที่ดินถนนซอยย่าสุ่นอุทิศ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยจำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ทางพิพาทในที่ดินโฉนดเลขที่ 73 เลขที่ 4382 ตำบลลาดพร้าว (ออเป้า) อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร กว้าง 6 เมตร ยาว 380 เมตร เป็นทางสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาข้อแรกที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า คำฟ้องโจทก์บรรยายว่า นางสาวสุ่นเจ้าของที่ดินยกทางเดินในที่ดินให้เป็นทางสาธารณะต่อมามีการขยายทางเป็นทางพิพาท โจทก์ทั้งห้าใช้ทางพิพาทเป็นทางเข้าออกจากที่ดินของโจทก์ทั้งห้าสู่ทางสาธารณะเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ทางพิพาทจึงเป็น ทางภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ทั้งห้า ที่ดินของโจทก์ทั้งห้ามีที่ดินแปลงอื่นรวมทั้งที่ดินของจำเลยล้อมรอบไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ทางพิพาทจึงเป็นทางจำเป็นสำหรับที่ดินของโจทก์ทั้งห้า ขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนทางพิพาทเป็นทางสาธารณะหรือทางภาระจำยอมหรือทางจำเป็นนั้น แม้จะเป็นการแสดงสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า ทางพิพาทเป็นทางสามประเภทดังกล่าว แต่ก็ได้แสดงลักษณะของการเป็นทางในแต่ละประเภทนั้นไว้ และคำฟ้องดังกล่าวมีคำขอให้บังคับเกี่ยวกับทางพิพาทประเภทเดียวในจำนวนนั้น ซึ่งทางพิพาทเป็นทางประเภทใดย่อมขึ้นอยู่กับการพิจารณารับฟังข้อเท็จจริง หากได้ความว่าทางพิพาทเป็นทางประเภทใด ศาลย่อมพิพากษาและบังคับตามคำขออย่างหนึ่งอย่างใด ตามที่พิจารณาได้ความ ทั้งจำเลยก็ให้การปฏิเสธฟ้องโดยสิ้นเชิงว่า ทางพิพาทไม่ได้เป็นทางทั้งสามประเภทดังกล่าว อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยเข้าใจคำฟ้องโจทก์แล้ว คำฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม?พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ. ( นินนาท สาครรัตน์ - จรัส พวงมณี - สถิตย์ ทาวุฒิ )
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-05-31 11:26:51 |
ความคิดเห็นที่ 4 (1760778) | |
ค่าทดแทนการใช้ทางจำเป็น
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ โจทก์ย่อมผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้ ทางพิพาทจึงเป็นทางจำเป็น การที่จำเลยปิดกั้นทางพิพาทที่โจทก์เคยใช้รถยนต์โดยสารเข้าออกสู่ทางสาธารณะมาโดยตลอดจนทำให้โจทก์ไม่สามารถออกสู่ทางสาธารณะได้ย่อมไม่ชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 1349 และเนื่องจากจำเลยฟ้องแย้งอ้างว่าการใช้ทางของโจทก์เป็นการทำละเมิดทำให้จำเลยเสียหายจำเลยขาดประโยชน์จากการใช้ทรัพย์และเรียกค่าเสียหายมาด้วย ถือได้ว่าจำเลยได้ฟ้องแย้งเรียกค่าทดแทนอันเกิดจากการใช้ทางจำเป็นมาด้วย จึงกำหนดค่าทดแทนให้เป็นเงินเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะหมดความจำเป็นต้องใช้ทางพิพาท อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่
http://www.peesirilaw.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538682639&Ntype=33
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-05-31 12:05:03 |
ความคิดเห็นที่ 5 (1760876) | |
สำหรับคำถามว่า**ทางจำเป็น เกิดโดยผลของกฎหมาย ไม่ต้องจดทะเบียนการได้มา ส่วนทางภารจำยอม ต้องจดทะเบียนการได้มา หมายความว่าอย่างไร ผลของกฎหมายที่ว่า ถ้าเขาไม่มีทางออกกฎหมายบอกว่า ต้องเปิดทางจำเป็นให้เขาส่วนจะเปิดทางใดสะดวกและเสียหายต่ออสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นแต่น้อยที่สุด ส่วนภาระจำยอมต้องจดทะเบียนก็เพราะ เป็นสิทธิที่ได้มาโดยอสังหาริมทรัพย์อื่นต้องยอมรับกรรมบางอย่างถ้าได้มาโดยนิติกรรมถ้าไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ไม่บริบูรณ์ ถ้าได้มาโดยทางอื่น ก็ไม่สามารถต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนครับ ************ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ข้อตกลงที่ผู้ซื้อที่ดินทุกคนตกลงเปิดทางกว้าง 3 เมตร เพื่อใช้เป็นทางออกสู่ทางสาธารณะมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ถูกต้องจึงใช้บังคับไม่ได้นั้น เห็นว่า เมื่อที่ดินของโจทก์ทั้งสี่และโจทก์ร่วมมีที่ดินแปลงอื่นรวมทั้งที่ดินของจำเลยล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ โจทก์ทั้งสี่และโจทก์ร่วมย่อมมีสิทธิผ่านที่ดินของจำเลยซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้ โดยไม่ต้องคำนึงว่า ข้อตกลงต่าง ๆ ที่ได้ตกลงกันไว้ด้วยวาจาจะใช้บังคับได้หรือไม่ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 432/2544)
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-05-31 14:42:10 |
ความคิดเห็นที่ 6 (1768136) | |
กราบขอบพระคุณสำหรับทุกคำตอบค่ะ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น joyce วันที่ตอบ 2008-06-09 10:01:06 |
[1] |