เรื่องอำนาจการประมูล | |
อย่างสอบถามเกี่ยวกับกฎหมายข้อใด ที่สามารถเอาผิดเกี่ยวกับการหั้วประมูลได้ ว่าอยู่ที่มาตรา ที่เท่าไร่ มีความผิดอะไรบ้าง (ขอความกรุณาช่วยตอบกับผ่าน E-mail ด้วยครับ) | |
ผู้ตั้งกระทู้ นายสุวิชชา เกื้อสกุล (kersakul_pooh-at-hotmail-dot-com) :: วันที่ลงประกาศ 2009-06-24 11:40:42 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (1954623) | |
พระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542
มาตรา 4 ผู้ใดตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม หรือโดยการกีดกันมิให้มีการเสนอสินค้าหรือบริการอื่นต่อหน่วยงานของรัฐ หรือโดยการเอาเปรียบแก่หน่วยงานของรัฐอันมิใช่เป็นไปในทางการประกอบธุรกิจปกติ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสามปี และปรับร้อยละห้าสิบของจำนวนเงินที่มีการเสนอราคาสูงสุดในระหว่างผู้ร่วมกระทำความผิดนั้น หรือของจำนวนเงินที่มีการทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐแล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า
มาตรา 5 ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้เงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ผู้อื่นเพื่อประโยชน์ในการเสนอราคา โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะจูงใจให้ผู้นั้นร่วมดำเนินการใดๆอันเป็นการให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ หรือเพื่อจูงใจให้ผู้นั้นทำการเสนอราคาสูงหรือต่ำจนเห็นได้ชัดว่าไม่เป็นไปตามลักษณะสินค้า บริการ หรือสิทธิที่จะได้รับ หรือเพื่อจูงใจให้ผู้นั้นไม่เข้าร่วมในการเสนอราคาหรือถอนการเสนอราคา ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปีและปรับร้อยละห้าสิบของจำนวนเงินที่มีการเสนอราคาสูงสุดในระหว่างผู้ร่วมกระทำความผิดนั้นหรือของจำนวนเงินที่มีการทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐแล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2009-06-24 12:37:17 |
ความคิดเห็นที่ 2 (1954628) | |
มาตรา 6 ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้จำยอมร่วมดำเนินการใดๆในการเสนอราคาหรือไม่เข้าร่วมในการเสนอราคา หรือถอนการเสนอราคา หรือต้องทำการเสนอราคาตามที่กำหนด โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญด้วยประการใดๆให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สาม จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และปรับร้อยละห้าสิบของจำนวนเงินที่มีการเสนอราคาสูงสุดในระหว่างผู้ร่วมกระทำความผิดนั้น หรือของจำนวนเงินที่มีการทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐแล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2009-06-24 12:42:48 |
ความคิดเห็นที่ 3 (1954629) | |
มาตรา 7 ผู้ใดใช้อุบายหลอกลวงหรือกระทำการโดยวิธีอื่นใดเป็นเหตุให้ผู้อื่นไม่มีโอกาสเข้าทำการเสนอราคาอย่างเป็นธรรมหรือให้มีการเสนอราคาโดยหลงผิด ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี และปรับร้อยละห้าสิบของจำนวนเงินที่มีการเสนอราคาสูงสุดระหว่างผู้ร่วมกระทำความผิดนั้นหรือของจำนวนเงินที่มีการทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐแล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2009-06-24 12:44:37 |
ความคิดเห็นที่ 4 (1954634) | |
ฮั้วประมูล พระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ (ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 116 ตอนที่ 120 ก หน้า 70 วันที่ 29 พฤศจิกายน 2542)
หมายเหตุ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2009-06-24 12:46:39 |
ความคิดเห็นที่ 5 (1957684) | |
มูลหนี้เกิดจากการฮั้วประมูล
เมื่อจำเลยจ่ายเช็คพิพาทให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด น. ตามข้อตกลงไม่ประมูลสร้างทางแข่งกันดังกล่าวหนี้ตามเช็คพิพาทจึงเกิดจากสัญญาอันมีวัตถุประสงค์เป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 โจทก์รับโอนเช็คพิพาทจากห้างหุ่นส่วนจำกัด น. โดยรู้ถึงมูลหนี้ดังกล่าวแล้วนำเช็คพิพาทมาฟ้องจำเลย เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คธนาคารไทยพัฒนาจำกัด จำนวนเงิน30,000 บาท ซึ่งจำเลยเป็นผู้สั่งจ่าย เช็คดังกล่าวธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ จำเลยก็เพิกเฉย จึงขอให้จำเลยชำระเงินตามเช็ค พร้อมทั้งดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า โจทก์มิใช่ผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย เช็คพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดนิยมก่อสร้างไว้ล่วงหน้าเนื่องจากมีการตกลงเกี่ยวกับการประมูลงานสร้างทางของกรมทางหลวง โดยจำเลยกับห้างหุ้นส่วนจำกัดนิยมก่อสร้างและบริษัทอื่น ๆ อีก 2 - 3 บริษัทตกลงกันให้จำเลยเป็นผู้เข้าประมูล ส่วนห้างหุ้นส่วนจำกัดนิยมก่อสร้างและบริษัทอื่นไม่เข้าประมูล หรือถ้าเข้าประมูลด้วย ก็ให้เสนอราคาก่อสร้างสูงกว่าที่จำเลยประมูล เพื่อให้จำเลยประมูลได้ และเป็นผู้รับสร้างทาง ในการนี้จำเลยต้องตอบแทนห้างหุ้นส่วนจำกัดนิยมก่อสร้าง 200,000 บาท แต่ถ้ากรมทางหลวงตัดราคาค่าก่อสร้างต่ำลงไปจาก 9 แสนบาทเศษแล้ว ห้างหุ้นส่วนจำกัดนิยมก่อสร้างจะขอรับค่าตอบแทนเพียง 110,000 บาท จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คล่วงหน้าให้จำนวน 7 ใบ เป็นเงิน 200,000 บาทก่อนเข้าประมูลผลการประมูล จำเลยประมูลได้ แต่กรมทางหลวงตัดราคาเหลือเพียง 8 ล้านบาทเศษห้างหุ้นส่วนจำกัดนิยมก่อสร้างจึงมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนเพียง 110,000 บาทและได้รับเงินจำนวนนี้ไปครบแล้ว ส่วนเงินที่เหลืออีก 90,000 บาทซึ่งจำเลยจ่ายเป็นเช็ครวม 3 ใบ สั่งจ่ายใบละ 30,000 บาทนั้น ห้างหุ้นส่วนจำกัดนิยมก่อสร้างไม่คืนให้ และมีเจตนาไม่สุจริต นำเช็คพิพาทไปให้โจทก์เรียกเก็บเงินจากธนาคารโดยไม่มีสิทธิ เพราะไม่มีมูลหนี้ต่อกัน โจทก์ทราบดีว่าเช็คพิพาทที่โจทก์รับโอนมาจากห้างหุ้นส่วนจำกัดนิยมก่อสร้างนั้น เป็นเช็คไม่มีมูลหนี้ต่อกันเป็นการฉ้อฉล จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เช็คพิพาทมีมูลหนี้ ห้างหุ้นส่วนจำกัดนิยมก่อสร้างโอนเช็คพิพาทให้โจทก์ ไม่เป็นการฉ้อฉล โจทก์เป็นผู้ทรงโดยชอบ พิพากษาให้จำเลยใช้เงินตามเช็ค 30,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกาว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเป็นอันชัดเจนว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัดนิยมก่อสร้างและบริษัทอื่น ๆ กับจำเลย ตกลงกันไม่ประมูลสร้างทางแข่งกับจำเลยโดยแกล้งยื่นประมูลราคาให้สูงกว่าราคาที่ตกลงให้จำเลยยื่นประมูล เป็นการลวงกรมทางหลวงผู้ประกาศให้มีการประมูลว่ามีการประมูล เป็นการล่อให้เปรียบเทียบราคากัน ซึ่งความจริงมิได้มีการประมูลกันจริง เพราะมีการตกลงสมยอมกัน โดยจำเลยสัญญาจะจ่ายเงินค่าตอบแทนให้ ดังนี้ เห็นว่าตามธรรมดาเมื่อมีการประมูล บุคคลทั่วไปย่อมมีสิทธิเข้าประมูลได้ และมีการแข่งราคากันอย่างแท้จริง ผู้ประมูลไม่มีโอกาสที่จะรู้ว่าผู้ประมูลคนใดยื่นราคาเท่าใด แต่การประมูลรายนี้กรมทางหลวงผู้ประกาศให้มีการประมูลหลงเชื่อว่ามีการประมูลกันจริง และต้องจ่ายเงินไปเพราะจำเลยกับพวกหลอกลวงกระทำการโดยไม่สุจริต หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ร่วมกันบีบบังคับเอาเงินของรัฐโดยไม่สุจริตนั่นเอง ย่อมทำให้รัฐได้รับความเสียหาย ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ข้อตกลงดังกล่าวขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ดังนั้น หนี้ตามเช็คพิพาทจึงเกิดจากสัญญาอันมีวัตถุประสงค์เป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 โจทก์ผู้รับโอนรู้ถึงมูลหนี้ดังกล่าว แล้วนำเช็คพิพาทมาฟ้องจำเลยเช่นนี้ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้อง เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลแห่งคำพิพากษา พิพากษายืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2022/2519
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2009-07-02 08:51:39 |
ความคิดเห็นที่ 6 (1957687) | |
คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องกับการฮั้วประมูล
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินตามเช็ค 800,000 บาทกับดอกเบี้ยแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า "ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยนำสืบฟังได้ชัดเจนว่าเช็คพิพาทจำเลยออกให้โจทก์เนื่องจากมีข้อตกลงไม่แข่งขันกันในการประมูลรับจ้างทำไม้จากบริษัทไม้อัดไทย จำกัด เป็นการลวงให้บริษัทไม้อัดไทยจำกัด อันเป็นบริษัทของรัฐให้หลงเชื่อว่ามีการประมูลกันจริง ความจริงเป็นเรื่องตกลงสมยอมกัน โดยจำเลยสัญญาจะจ่ายเงินตอบแทนแก่โจทก์และนายสุธน เลิศศุภฤกษ์กุล ผู้ร่วมประมูล เป็นการร่วมกันบีบบังคับเอาเงินของรัฐโดยไม่สุจริตการกระทำดังกล่าวย่อมทำให้รัฐรับความเสียหาย ข้อตกลงจึงขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ดังนั้น หนี้ตามเช็คพิพาทจึงเกิดจากสัญญาอันมีวัตถุประสงค์เป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 113 โจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ตามเช็คดังกล่าวหาได้ไม่" พิพากษายืน ( ไพบูลย์ ไวกาสี - วิทูร เทพพิทักษ์ - เพียร ศรีอรุณ )
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 986/2521
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2009-07-02 09:05:17 |
[1] |