ReadyPlanet.com


ปรึกษา กรณี ขับรถชนคนบาดเจ็บค่ะ


เรียนคุณทนาย

     รบกวนปรึกษาดังนี้ค่ะ คือว่า มีคุณลุงจูงรถจักรยาน ข้ามถนน ตัดหน้า รถจักรยานยนต์ที่สามีดิฉันขับมาเบรกไม่ทันค่ะ จึงชนลุงบาดเจ็บที่หัวและเท้า โดยเท้าต้องเย็บค่ะ เราได้พาลุงไปรพ.และทำเรื่องพรบ.จ่ายค่ารักษาพยาบาลโดยนอนที่รพ. 2 วัน และแพทย์ให้กลับบ้านซึ่งต้องมาล้างแผลทุกวันค่ะ ทางเราได้ รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลให้ทั้งหมด นอกเหนือจากพรบ.โดยให้ลุงนำบิลมาเบิกกับเราค่ะ และได้ให้เงินค่ารักษาเบื้องต้นไปอีก 2,ooo บาท

  ใบแพทย์ระบุว่าต้องพักรักษาตัวตั้งแต่วันที่ 15/10 ถึง 15/12 รวมเป็นเวลา 2 เดือน ทางลุงผู้เสียหายจึงได้ทำการเรียกค่าเสียหายจากเรา โดยคำนวนดังนี้ค่ะ

  1. ค่าแรงของลุงวันละ 400x60 = 24,000 (ทำงานทุกวันไม่มีวันหยุด)

  2.ค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด

ซึ่งทางลุงแจ้งว่าเพิ่งย้ายที่ทำงานได้ 2 เดือนยังไม่มีประกันสังคม และบัตร 30 บาทใช้ไม่ได้เพราะไม่ได้ป่วย

ทางเราจึงได้ต่อรองกับลุงดังนี้ค่ะ

  1. ยินดีจ่ายค่ารักษาพยาบาลทุกอย่างรวมถึงนอกเหนือจาก พรบ. (พรบ. 38,000 + 1,000 )

   2. เงินใช้จ่ายเบื้องต้น   2,000  บาท (จ่ายให้แล้ว)

   3. ยินดีชดใช้ให้ อีก 5,000 บาท

 ทางลุงไม่ยอมรับเงินที่เราจะให้ค่ะ ให้เหตุผลว่าน้อยเกินไป ไม่เพียงพอกับที่เขาต้องหยุดงาน (ตามแพทย์ ระบุ) และบอกว่าเราใจดำ ไม่ยอดชดใช้ให้ ค่ะดิฉันจึงอยากรบกวนปรึกษาค่ะดังนี้ค่ะ

1 ที่เราจะชดใช้ให้เขาน้อยไปหรือเปล่า  (เงิน 2,000+1,000+5000+พรบ.38,000+ค่ารักษาต่อเนื่องที่ยังไม่ยุติ)

2. ถ้าที่จะชดใช้น้อยไปควรจะเป็นเท่าไหร่ดีคะ

3. เราสามารถขอข้อมูลขอลุงได้หรือไม่ว่า จริงๆ แล้วลุงมีหรือไม่มีประกันสังคมกันแน่ (เพราะถ้ามีลุงสามารถเบิกค่ารักษากรณีหยุดงานได้ 1 เดือน)

วันเสาร์นี้จะต้องนัดไปคุยที่สน.ค่ะ รบกวนให้คำปรึกษาด้วยนะคะ

ขอบคุณมากค่ะ

ชลธิชา

 



ผู้ตั้งกระทู้ ชลธิชา :: วันที่ลงประกาศ 2012-10-24 14:15:06


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (2315855)

1 ที่เราจะชดใช้ให้เขาน้อยไปหรือเปล่า  (เงิน 2,000+1,000+5000+พรบ.38,000+ค่ารักษาต่อเนื่องที่ยังไม่ยุติ)

ตอบ - การกำหนดจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนสิ่งที่ต้องพิจารณามี 2 กรณีคือ 1. ความเสียหายที่กำหนดเป็นตัวเงินได้ 2. ความเสียหายที่ไม่อาจกำหนดเป็นตัวเงินได้  กล่าวคือ ค่าเสียหายที่กำหนดเป็นตัวเงินได้แน่นอนเช่น ค่าขาดรายได้ ค่ารักษาพยาบาลที่จ่ายไปแล้วและค่ารักษาพยาบาลในอนาคต ค่าซ่อมรถ เป็นต้น ส่วนค่าเสียหายที่ไม่อาจกำหนดเป็นตัวเงินได้คือ ความเจ็บปวดทนทุกขเวทนา ดังนั้นเพื่อตอบคำถามคุณว่าจำนวนเงินที่คุณเสนอชดใช้ให้ผู้เสียหายน้อยไปหรือไม่ ก็เห็นว่าน้อยไปครับ

2. ถ้าที่จะชดใช้น้อยไปควรจะเป็นเท่าไหร่ดีคะ

ตอบ - คำตอบของผู้เสียหายแต่ละท่านอาจแตกต่างกันไปอยู่ที่ความพึงพอใจของแต่ละท่าน แต่หากตกลงกันไม่ได้ก็ต้องให้เขายื่นฟ้องแล้วค่อยไปตกลงกันที่ศาลอีกครั้ง หรือให้ศาลชี้ขาด ซึ่งศาลคงต้องพิจารณาตามประเด็น ๆ ของคำฟ้องที่เรียกร้องมาครับ เช่น ค่าขาดรายได้ ผู้เสียหายก็ต้องพิสูจน์ว่าทำงานวันละ 400 บาท จริงหรือไม่ ค่าเจ็บปวดทนทุกขเวทนาก็พิจารณาระยะเวลารักษาบาดแผลหรืออาการเจ็บป่วย ในกรณีตามคำถามนั้นรักษาถึง 2 เดือนก็เห็นว่าอาการหนักทีเดียวครับ จำนวน 50,000 - 100,000 บาท ก็น่าจะไม่สูงไปนะครับ อีกทั้งต้องดูว่าประมาทร่วมหรือประมาทฝ่ายเดียวครับ

3. เราสามารถขอข้อมูลขอลุงได้หรือไม่ว่า จริงๆ แล้วลุงมีหรือไม่มีประกันสังคมกันแน่ (เพราะถ้ามีลุงสามารถเบิกค่ารักษากรณีหยุดงานได้ 1 เดือน)

ตอบ - สอบถามไปที่โรงพยาบาลก็น่าจะทราบนะครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายลีนนท์0859604258 วันที่ตอบ 2012-11-18 08:24:07


ความคิดเห็นที่ 2 (2315859)

ค่าใช้จ่ายที่ผู้เสียหายชอบที่จะได้รับการชดใช้ จากผู้กระทำละเมิด
 
คำพิพากษาศาลฎีกาที่  7119/2541

 
          ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1563 บัญญัติไว้ว่าบุตรจำต้องเลี้ยงดูบิดามารดา การที่ลูกจ้างของจำเลยที่ 1กระทำละเมิดเป็นเหตุให้บุตรของโจทก์ที่ 3 ตาย ถือว่าโจทก์ที่ 3 ขาดไร้อุปการะตามกฎหมายจากบุตร โจทก์ที่ 3จึงชอบที่จะได้รับค่าขาดไร้อุปการะทั้งในปัจจุบันและความหวังในอนาคตโดยผลแห่งกฎหมาย โดยไม่จำต้องพิจารณาว่าขณะเกิดเหตุหรือในอนาคตเด็กหญิง พ. จะได้อุปการะโจทก์ที่ 3 จริงหรือไม่ ส่วนค่าอุปการะเลี้ยงดูจะเป็นจำนวนเท่าใด ศาลย่อมกำหนดให้ตามสมควร ค่าเสียหายจำนวน 40,000 บาท ซึ่งโจทก์ที่ 4 จ่ายให้แก่คณะแพทย์ของโรงพยาบาลในการทำการฝ่าตัดเพื่อช่วยชีวิตเด็กหญิง ส. นั้น ค่าใช้จ่ายส่วนนี้เป็นสินน้ำใจที่โจทก์ที่ 4 จ่ายให้แก่คณะแพทย์เองโดยที่คณะแพทย์ ไม่ได้เรียกร้องเป็นความพอใจของโจทก์ที่ 4 ที่ต้องการตอบแทน คณะแพทย์ที่ช่วยเหลือบุตรสาวของตน การจ่ายนี้ไม่อาจกำหนดจำนวนที่แน่นอน ไม่มีหลักเกณฑ์และกฎหมายรองรับ จึงไม่อาจเรียกร้องจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ การที่เด็กหญิง ส. บาดเจ็บสาหัสต้องหยุดเรียนไปนานจึงเป็นการจำเป็นต้องจ้างครูมาสอนพิเศษ ส่วนการเรียนเปียโนก็เป็นการฟื้นฟูจิตใจของเด็กหญิงส. ซึ่งบาดเจ็บสาหัสและต้องกระทบกระเทือนจิตใจจากใบหน้าที่เสียโฉม ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่ผู้เสียหายชอบที่จะได้รับการชดใช้ จากผู้กระทำละเมิด
 
________________________________
 
          โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิดจำนวน 2,119,578 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 2,100,587 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสี่
          จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
          ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 4 ได้ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่จำนวน 370,000 บาท โจทก์ทั้งสี่จึงได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 4ศาลชั้นต้นอนุญาตและให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 4 ออกจากสารบบความ
          ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันหรือแทนกันใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 เป็นเงิน 392,224 บาทแก่โจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 537,712 บาท และแก่โจทก์ที่ 4 เป็นเงิน230,785 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าว นับแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2534 อันเป็นวันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จ

          จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
          ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ 3 จำนวน 437,712 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

          จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่4 พฤษภาคม 2534 เวลาประมาณ 10 นาฬิกา โจทก์ที่ 1 ได้ขับรถยนต์ของโจทก์ที่ 2 ยี่ห้อเบนซ์ หมายเลขทะเบียน 3ช-6289กรุงเทพมหานคร ไปตามถนนสายรังสิต-นครนายก มุ่งหน้าไปจังหวัดนครนายก ถึงที่เกิดเหตุระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 18 ถึง 19 ตำบลลำผักกูด อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี เกิดเฉี่ยวชนกับรถบรรทุก 10 ล้อ หมายเลขทะเบียน 80-2116 นครนายก มีนายเอื้อน ศรีพิทักษ์ เป็นคนขับซึ่งแล่นสวนทางมาด้วยความประมาท ทำให้รถยนต์ของโจทก์ที่ 2 เสียหลักพลัดตกลงไปในคูน้ำข้างถนนเป็นเหตุให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 เด็กหญิงอลิษา ชอบอิสระ เด็กชายต่อพงศ์ชอบอิสระ เด็กหญิงพรพัชนี กาญจนสันติกุล และเด็กหญิงสุพินดาจารุมณีโรจน์ ซึ่งนั่งไปในรถของโจทก์ที่ 2 ได้รับบาดเจ็บและบาดเจ็บสาหัส และต่อมาเด็กหญิงพรพัชนีได้ถึงแก่ความตายรถบรรทุก 10 ล้อคันเกิดเหตุมีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าซื้อมาจากจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด

          มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ประการแรกว่า นายเอื้อนคนขับรถบรรทุก 10 ล้อคันเกิดเหตุเป็นลูกจ้างและกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 และที่ 2 หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าซื้อและเป็นผู้ครอบครองรถบรรทุก 10 ล้อคันเกิดเหตุ และนายเอื้อนเป็นลูกจ้างและกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1

          สำหรับค่าขาดไร้อุปการะของโจทก์ที่ 3 นั้น จำเลยที่ 1 และที่ 2ฎีกาว่า โจทก์ที่ 3 คาดคะเนไว้เกินความเป็นจริง เป็นเหตุการณ์ในอนาคตซึ่งไม่แน่ว่าเด็กหญิงพรพัชนีจะอุปการะโจทก์ที่ 3 หรือไม่และจะอุปการะเดือนละเท่าใดเป็นเวลาถึง 10 ปีหรือไม่ เห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1563 บัญญัติไว้ว่าบุตรจำต้องเลี้ยงดูบิดามารดา การที่ลูกจ้างของจำเลยที่ 1กระทำละเมิดเป็นเหตุให้บุตรของโจทก์ที่ 3 ตาย ถือว่าโจทก์ที่ 3ขาดไร้อุปการะตามกฎหมายจากบุตร โจทก์ที่ 3 จึงชอบที่จะได้รับค่าขาดไร้อุปการะทั้งในปัจจุบันและความหวังในอนาคตโดยผลแห่งกฎหมายโดยไม่จะต้องพิจารณาว่าขณะเกิดเหตุหรือในอนาคต เด็กหญิงพรพัชนีจะได้อุปการะโจทก์ที่ 3 จริงหรือไม่ ส่วนค่าอุปการะเลี้ยงดูจะเป็นจำนวนเท่าใด ศาลย่อมกำหนดให้ตามสมควร ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้เป็นเงิน 500,000 บาท

          มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า โจทก์ที่ 4 เสียหายเพียงใด สำหรับค่าเสียหายจำนวน 40,000 บาท ซึ่งโจทก์ที่ 4 จ่ายให้แก่คณะแพทย์ของโรงพยาบาลวิภาวดีในการทำการผ่าตัดเพื่อช่วยชีวิตเด็กหญิงสุพินดานั้น เห็นว่า ค่าใช้จ่ายส่วนนี้เป็นสินน้ำใจที่โจทก์ที่ 4 จ่ายให้แก่คณะแพทย์เองโดยที่คณะแพทย์ไม่ได้เรียกร้องเป็นความพอใจของโจทก์ที่ 4 ที่ต้องการตอบแทนคณะแพทย์ที่ช่วยเหลือบุตรสาวของตน การจ่ายนี้ไม่อาจกำหนดจำนวนที่แน่นอน ไม่มีหลักเกณฑ์และกฎหมายรองรับ จึงไม่อาจเรียกร้องจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้

          มีปัญหาต้องวินิจฉัยอีกว่าเด็กหญิงสุพินดาต้องหน้าเสียโฉมติดตัวหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ใบหน้าของเด็กหญิงสุพินดาย่อมต้องเสียโฉมติดตัวไปตลอด การที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้แก่โจทก์ที่ 4 จำนวน 100,000 บาท นับว่าเหมาะสมดีแล้ว สำหรับค่าจ้างครูมาสอนพิเศษแก่เด็กหญิงสุพินดาจำนวน 30,000 บาท นั้น โจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 4 เบิกความยืนยันว่าได้ว่าจ้างครูมาสอนเด็กหญิงสุพินดาเป็นพิเศษเพราะต้องหยุดเรียนไป 1 ภาคการศึกษา จะเรียนไม่ทันเพื่อน รวมทั้งครูสอนเปียโนด้วยเป็นเงิน 50,000 บาท เห็นว่า การที่เด็กหญิงสุพินดาบาดเจ็บสาหัสต้องหยุดเรียนไปนาน จึงเป็นการจำเป็นต้องจ้างครูมาสอนพิเศษส่วนการเรียนเปียโนก็เป็นการฟื้นฟูจิตใจของเด็กหญิงสุพินดาซึ่งบาดเจ็บสาหัส และต้องกระทบกระเทือนจิตใจจากใบหน้าที่เสียโฉมถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่ผู้เสียหายชอบที่จะได้รับการชดใช้ แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานมาแสดง แต่น่าเชื่อว่าได้ใช้จ่ายไปจริง ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำนวน 30,000 บาท นับว่าเหมาะสมดีแล้ว คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองยกเว้นเฉพาะเรื่องค่าแพทย์จำนวน 40,000 บาทที่โจทก์ที่ 4 จ่ายเป็นการส่วนตัวแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย

          พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ 4 จำนวน 190,785 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
 
 
( สุทิน ปัทมราชวิเชียร - อรรถนิติ ดิษฐอำนาจ - ศิริชัย สวัสดิ์มงคล )
 
 

          
 
 

ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2012-11-18 09:09:43


ความคิดเห็นที่ 3 (2315862)

ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน

ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2012-11-18 09:23:25



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล