การเช่าที่ดินทำกิน | |
เราทำสัญญาเช่าที่ดินเพื่อทำไร่ปลูกสับปะรดแล้วเจ้าของที่ดินได้ขายที่ดินให้กับลูกค้ารายหนึ่งแล้วลูกค้ารายนั้นต้องการเอาที่ดินมาทำประโยชน์ ผู้ให้เช่าจึงบอกยกเลิกสัญญาเช่ากับเรา แต่สัญญาเช่ายังมีอายุอีก 3 เดือนจึงจะหมดสัญญาเช่า จึงอยากทราบว่า ผู้ให้เช่าบอกยกเลิกสัญญานี้ได้หรือเปล่าและเรามีสิทธิในที่ดินที่เราเช่านี้หรือไม่ และถ้าสับปะรดออกเป็นผลแล้วแต่ยังไม่ได้ออกจำหน่ายแต่สัญญาในการเช่าหมดลง เราจะยังมีสิทธิในผลของสับปะรดหรือไม่ | |
ผู้ตั้งกระทู้ สายทอง :: วันที่ลงประกาศ 2012-09-29 19:37:40 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2309311) | |
มาตรา 26 การเช่านา ให้มีกำหนดคราวละไม่น้อยกว่าหกปี การเช่านารายใดที่ทำไว้ไม่มีกำหนดเวลา หรือมีแต่ต่ำกว่าหกปีให้ถือว่าการเช่านากัน นั้นมีกำหนดเวลาหกปี มาตรา 27 เจ้าของนาผู้ใดประสงค์จะให้มีการเช่านาเป็นการชั่วคราว โดยมีระยะเวลาการเช่านาต่ำกว่าหกปี ให้ยื่นคำร้องต่อ คชก.ตำบล มาตรา 28 การเช่านาย่อมไม่ระงับไปเพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์นาที่เช่า ผู้รับโอนต้องรับไปทั้งสิทธิ และหน้าที่ของผู้โอนที่มีต่อผู้เช่านาตามพระราช บัญญัตินี้ มาตรา 31 ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกการเช่านาก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาการ เช่านาไม่ได้ เว้นแต่ในเหตุดังต่อไปนี้ มาตรา 34 การบอกเลิกการเช่านาตาม มาตรา 31 (1) (2) (3) (4) (5) (6) และ (7) ผู้ให้เช่านาต้องแจ้งเป็นหนังสือต่อผู้เช่านาพร้อมทั้งแสดงเหตุแห่งการบอกเลิกการเช่านา และส่งสำเนาหนังสือดังกล่าวต่อประธาน คชก.ตำบล มาตรา 37 เมื่อสิ้นระยะเวลาการเช่านาตาม มาตรา 26 การเช่านาไม่สิ้นสุดลง เว้นแต่ผู้ให้เช่านาประสงค์จะใช้นาที่ให้เช่าเพื่อการดังต่อไปนี้ และ ได้บอกเลิกการเช่านาเป็นหนังสือให้ผู้เช่านาทราบล่วงหน้า เป็นเวลาไม่น้อย กว่าหนึ่งปี มาตรา 39 ถ้าการเช่านาได้สิ้นสุดลงก่อนครบกำหนดเมื่อผู้เช่านาได้ลง มือทำประโยชน์ในนาโดยสุจริตก่อนหน้านั้นแล้ว ให้ผู้เช่านามีสิทธิในนานั้นต่อไปจนกว่าจะเสร็จการเก็บเกี่ยวแล้ว แต่ต้องเสียค่าเช่านาตามส่วน
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายลีนนท์0859604258 วันที่ตอบ 2012-10-20 12:01:37 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2309312) | |
เช่าที่ดินเพื่อทำนา, บอกเลิกสัญญาเช่านา, สัญญาเช่าสิ้นสุด, ขัดขวางการทำนาของผู้มีสิทธิ, โทษจำคุกไม่เกินสามเดือน มาตรา 31 ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกการเช่านาก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาการเช่านาไม่ได้ เว้นแต่ในเหตุดังต่อไปนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติ การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2528 มาตรา 62ลงโทษจำคุก 2 เดือน ปรับ 2,000 บาท พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่าจำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์ตามคำสั่งของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมแล้ว ประกอบกับไม่ปรากฎว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อนจึงเห็นสมควรให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 1 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 จำเลย อุทธรณ์ โจทก์ ฎีกา มีปัญหาจะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่เห็นว่าคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดนครนายกหรือ คชก. จังหวัดนครนายกได้ประชุมและมีมติเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน2531 โดยจำเลยร่วมประชุมด้วย ปรากฎว่า จำเลยได้ลงชื่อในบันทึกท้ายมติที่ประชุมในฐานะผู้เช่านาไว้ ดังนั้น จำเลยเข้าร่วมประชุมและลงชื่อในบันทึกมติที่ประชุมย่อมจะทราบเรื่องที่ประชุมจนถึงมติของที่ประชุมโดยตลอด ข้ออ้างที่ว่าไม่ทราบเรื่องและมติของที่ประชุมเพราะไม่ได้อ่านให้ฟังนั้นไม่อาจรับฟังได้ สำหรับมติของ คชก.จังหวัดนครนายกนั้นสืบเนื่องมาจากจำเลยเช่าที่ดินเพื่อทำนา แล้วไม่ชำระค่าเช่านาในปี 2527 ถึงปี 2530 นายอำนวยผู้รับมอบอำนาจจากผู้ให้เช่านาแจ้งบอกเลิกการเช่านาไปยังจำเลยและ คชก.ตำบลบางลูกเสือแล้ว ตามสัญญาเช่ากำหนดเวลาเช่าถึงวันที่ 31 มีนาคม2533 จึงเป็นการบอกเลิกการเช่านาก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาการเช่านาคชก.ตำบลบางลูกเสือได้ประชุมและมีมติให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างและให้จำเลยเช่าที่ดินต่อไป นายอำนวยได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อคชก.จังหวัดนครนายก คชก.จังหวัดนครนายกได้ประชุมและมีมติให้จำเลยผู้เช่านาจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2533 ซึ่งสิ้นสุดตามกฎหมายโดยที่จำเลยจะต้องชำระค่าเช่านาปี 2527, 2528 และปี 2530 ยกเว้นไม่ต้องชำระค่าเช่านาปี 2529 มติดังกล่าวจึงเป็นมติที่ได้วินิจฉัยในเรื่องการบอกเลิกการเช่านาของจำเลย ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 31 ซึ่งในการประชุมดังกล่าวที่นายสาลีจ่าจังหวัดเสนอว่าในปี 2533 ไม่ต้องตกลงในเรื่องเลิกการเช่านา เนื่องจากได้เป็นไปตามกฎหมายที่จะต้องออกจากการทำนาเช่าผืนนี้ เพียงแต่ผู้ให้เช่าบอกเลิกการเช่าตามกฎหมายก็จะต้องจากการทำงาน ฉะนั้น จึงไม่เป็นปัญหา ไม่ต้องตกลงกันในเรื่องเลิกการเช่านาเมื่อหมดสัญญาเช่า ควรตกลงกันในเรื่องค่าเช่านาเท่านั้นก็เป็นข้อเสนอมาจากที่ประธานที่ประชุมเสนอในการไกล่เกลี่ยคู่กรณีให้ตกลงกันโดยผู้ให้เช่านาชี้แจงว่าไม่ประสงค์จะต่อรองราคา จะไม่เรียกเก็บค่าเช่านาจำนวน 5 ปี ก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าจำเลยต้องเลิกการเช่านาเนื่องจากไม่ยอมชำระค่าเช่าติดกันเป็นเวลา 3 ปี ประธานที่ประชุมจึงเสนอว่าหากจำเลยประสงค์จะชำระค่าเช่านาจะต้องการอย่างไรผู้ให้เช่านาเสนอว่าหากจะจ่ายค่าเช่าจะจ่ายเท่าไรก็ยินดีรับแต่มีข้อแม้ว่าจะทำต่อไปอีกกี่ปีหรือจะทำแค่หมดสัญญาปี 2533 แล้วเลิกการทำนานายสาลีจ่าจังหวัดจึงเสนอข้อพิจารณาว่า ในปี 2533 ไม่ต้องตกลงในเรื่องเลิกการเช่านาดังกล่าว ซึ่งต่อมาที่ประชุมจึงพิจารณาตกลงในเรื่องค่าเช่านา จนเป็นที่ตกลงกันโดยจำเลยเสนอว่าจำเลยยินยอมจะชำระค่าเช่านาในปี 2527, 2528 ในปี 2529 ยกเว้นค่าเช่าตามมติของ คชก.ตำบลบางลูกเสือ ส่วนในปี 2530 จ่ายให้เต็มตามสัญญาเช่า ผู้ให้เช่าเสนอว่า ยินยอมและขอให้ที่ประชุมได้มีมติว่าในปี 2527, 2528 ชำระค่าเช่านาให้จำนวน 7,000 บาท ในปี 2529ยกเว้นค่าเช่านาตามมติ คชก.ตำบลบางลูกเสือ ส่วนในปี 2530จ่ายค่าเช่าให้ตามสัญญาจนถึงปี 2533 แล้วหมดสิทธิการเช่านาผืนนี้ตามกฎหมาย ประธานที่ประชุมเสนอว่า ได้ หากต้องการจะให้ที่ประชุมมีมติให้เช่าการทำนาจนถึงปี 2533 แล้วหมดสิทธิการเช่านาผืนนี้ตามกฎหมายและขอมีมติที่ประชุม ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้จำเลยทำนาจนถึงวันที่ 30 มีนาคม 2533 ซึ่งสิ้นสุดตามกฎหมายโดยจำเลยต้องชำระค่าเช่าปี 2527, 2528 และปี 2530 ส่วนในปี 2529 ยกเว้นไม่ต้องชำระค่าเช่านา ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ที่ประชุมได้พิจารณาในเรื่องการบอกเลิกการเช่านาและเรื่องให้จำเลยออกจากที่นาที่เช่าด้วยมติของที่ประชุมจึงเป็นการวินิจฉัยข้อพิพาทของคู่กรณีดังกล่าว จำเลยมิได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัดนครนายกดังกล่าว มติดังกล่าวย่อมเป็นที่สุด จำเลยจึงต้องปฏิบัติตามมติดังกล่าว โดยผู้ให้เช่านาไม่จำต้องบอกเลิกการเช่านาอีก เมื่อครบกำหนดถึงวันที่ 31 มีนาคม2533 จำเลยยังทำนาในที่นาที่เช่าอยู่ต่อมา จึงเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของ คชก.จังหวัดนครนายกที่ให้จำเลยออกจากนาโดยไม่มีเหตุอันสมควร จำเลยกระทำผิดตามฟ้อง | |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2012-10-20 12:09:26 |
ความคิดเห็นที่ 3 (2309315) | |
หนังสือสัญญาเช่านามีกำหนด 1 ปี ให้ถือว่ามีการเช่ากัน 6 ปี, การบอกเลิกสัญญาเช่านาก่อนกำหนดทำไม่ได้, ฟ้องขับไล่ให้ออกจากที่นา การที่โจทก์จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาเช่าฉบับใหม่ เมื่อหนังสือสัญญาเช่าฉบับเดิมครบกำหนดเวลาไปแล้ว โจทก์จำเลยคงต้องผูกพันกันตามหนังสือสัญญาเช่าฉบับใหม่ซึ่งเป็นฉบับปัจจุบัน ไม่ใช่ผูกพันกันตามหนังสือสัญญาเช่าฉบับก่อน ๆ ที่ครบกำหนดระยะเวลาการเช่าไปแล้ว และที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยว่าผิดสัญญาเช่านาก็โดยอาศัยหนังสือสัญญาเช่าตามสัญญาเช่าฉบับใหม่ ดังนั้น การเริ่มนับระยะเวลา 6 ปี จึงต้องเริ่มนับตามตามหนังสือสัญญาเช่าฉบับใหม่ หาใช่เริ่มนับตามหนังสือสัญญาเช่าฉบับเดิมไม่ ดังนั้น โจทก์ผู้ให้เช่านาจะบอกเลิกการเช่านาก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาการเช่านาไม่ได้ตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 มาตรา 31 ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่จำเลยขุดสระอันเป็นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเรียกค่าเสียหายจากจำเลยแยกต่างหากเป็นเอกเทศไปจากข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่ขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาทเพราะเหตุที่สัญญาเช่าครบกำหนด ความเสียหายของโจทก์ดังกล่าว ย่อมต้องถือว่าเป็นคำขอบังคับส่วนหนึ่งของข้อหาที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทเพราะครบกำหนดอายุสัญญาเช่าแล้ว ดังนั้น เมื่อโจทก์ยังไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยแล้ว คำขอบังคับที่ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายดังกล่าวย่อมเป็นอันตกไป พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา 31 มาตรา 31 ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกการเช่านาก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาการ เช่านาไม่ได้ เว้นแต่ในเหตุดังต่อไปนี้ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2012-10-20 12:14:51 |
ความคิดเห็นที่ 4 (2309318) | |
การเช่าช่วงที่นาที่ผู้ให้เช่ายินยอมแล้ว, สัญญาเช่าที่นากำหนด 1 ปี ให้ถือว่ามีกำหนด 6 ปี, การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม, การบอกเลิกสัญญาเช่าที่นา, มาตรา 5 "เกษตรกรรม" หมายความว่า การทำนา ทำสวน ทำไร่ ทำนาเกลือ เลี้ยงสัตว์ เลี่ยงสัตว์น้ำ และกิจการอื่นตามที่กำหนดในกฎ กระทรวง มาตรา 13 คชก.ตำบลมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ มาตรา 19 ให้ คชก.จังหวัด คชก.ตำบล หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจาก คณะกรรมการ ดังกล่าว มีอำนาจเรียกผู้เช่า ผู้ให้เช่า หรือผู้ซึ่งเกี่ยวข้อง มาให้ถ้อยคำหรือชี้แจง หรือส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวกับการเช่ามาเพื่อ ประกอบการพิจารณาของ คชก.จังหวัด หรือ คชก. ตำบล ได้แล้วแต่กรณี ในการปฏิบัติหน้าที่ ให้ประธานหรือกรมการใน คชก.จังหวัดหรือ คชก. ตำบล หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการดังกล่าว มีอำนาจเข้าไปใน ที่ดินที่เช่าหรือที่เก็บผลผลิตของผู้เช่า ผู้ให้เช่า หรือผู้ซึ่ง เกี่ยวข้องในเวลาระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก เพื่อตรวจสอบ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเช่าได้ ในการนี้ เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหา ริมทรัพย์ต้องอำนวยความสะดวก และให้ความช่วยเหลือแก่ประธานหรือกรรม การในคชก.จังหวัด หรือ คชก.ตำบล หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากคณะกรรม การดังกล่าวนั้นตามสมควร
มาตรา 31 ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกการเช่านาก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาการ เช่านาไม่ได้ เว้นแต่ในเหตุดังต่อไปนี้ มาตรา 34 การบอกเลิกการเช่านาตาม มาตรา 31 (1) (2) (3) (4) (5) (6) และ (7) ผู้ให้เช่านาต้องแจ้งเป็นหนังสือต่อผู้เช่านาพร้อมทั้งแสดง เหตุแห่งการบอกเลิกการเช่านา และส่งสำเนาหนังสือดังกล่าวต่อประธาน คชก.ตำบล มาตรา 36 การบอกเลิกการเช่านาเพราะเหตุตาม มาตรา 31(8) ผู้ให้เช่านาต้องยื่นคำขอต่อประธาน คชก.ตำบล เพื่อบอกเลิกการเช่านา มาตรา 56 ผู้เช่านา ผู้เช่าช่วงนา หรือผู้ให้เช่านาที่เป็นคู่กรณี หรือผู้มี ส่วน ได้เสียในการเช่านาอาจอุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบล ต่อ คชก. จังหวัดได้โดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อประธาน คชก.ตำบล ภายในกำหนดสามสิบ วันนับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลแต่ต้องไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่ คชก.ตำบลได้มีคำวินิจฉัย จำเลยทั้งสี่ให้การว่า สัญญาเช่าที่ดินระหว่างโจทก์กับนายประสิทธิ์ แก้วสว่าง ระบุว่าเป็นการเช่าที่ดินเพื่อทำไร่กล้วยจึงเป็นการเช่าที่ดินเพื่อทำเกษตรกรรมและกล้วยเป็นพืชไร่จึงอยู่ในบังคับตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524มาตรา 26 แม้สัญญาเช่ามีกำหนด 1 ปี ก็ให้ถือว่าการเช่านั้นมีกำหนด 6 ปี นับแต่วันทำสัญญาเช่า โจทก์บอกเลิกการเช่าโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และตามมาตรา 19 ได้กำหนดให้คณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตำบลมีอำนาจเรียกผู้เช่า ผู้ให้เช่า หรือผู้ที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำหรือชี้แจงหรือส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวกับการเช่ามาเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตำบลได้แล้วแต่กรณี เป็นการให้อำนาจคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตำบลจะเรียกคู่กรณีมาชี้แจงหรือไม่ก็ได้ แม้จำเลยที่ 4 ไม่เรียกโจทก์หรือผู้แทนมาชี้แจง คณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตำบลคลองหนึ่งก็มีอำนาจวินิจฉัยโดยดูจากคำร้องที่ยื่นและหลักฐานประกอบ ซึ่งได้ดำเนินการตามขั้นตอนตามที่กฎหมายกำหนด แม้นายประสิทธิ์จะได้ให้ผู้อื่นเช่าช่วงต่อก็ตาม แต่โจทก์ทราบนานแล้วไม่ได้โต้แย้งหรือคัดค้านตามมาตรา 31(2) โจทก์บอกเลิกการเช่านาก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลา 6 ปีไม่ได้ คำวินิจฉัยหรือคำสั่งของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตำบลคลองหนึ่งจึงชอบแล้วมีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย โจทก์มิได้ยื่นอุทธรณ์คำวินิจฉัยนั้นต่อจำเลยที่ 4 โดยตรง เหตุที่ส่งคำอุทธรณ์ไปยังประธานคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจังหวัดปทุมธานีล่าช้า เพราะมีการสับเปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ แม้ส่งไปเมื่อเลยกำหนด 15 วัน ก็ไม่ทำให้คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตำบลไร้ผลหรือขาดอายุความ เพราะมาตรา 56 วรรคสาม บัญญัติเพียงว่าให้ประธานคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตำบลส่งคำอุทธรณ์ดังกล่าวไปยังประธานคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจังหวัดภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำอุทธรณ์ในพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่มีบทบัญญัติใดว่าเมื่อล่วงเลยระยะเวลาดังกล่าวแล้ว จะทำให้คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตำบลไร้ผลบังคับหรือขาดอายุความคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจังหวัดปทุมธานีจึงชอบด้วยกฎหมายและมีผลใช้บังคับ จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นเพียงผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติ นั้น มิใช่เจ้าหน้าที่ดำเนินการแต่อย่างใด ไม่มีอำนาจเข้าไปก้าวก่ายสั่งการคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตำบลหรือจังหวัด ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์ฎีกา เห็นว่า การที่จำเลยที่ 4 ได้รับคำร้องจากนายประสิทธิ์โดยมีภาพถ่ายสัญญาเช่าและหนังสือบอกเลิกการเช่าแนบมาด้วยแล้วมีความเห็นว่า การบอกเลิกการเช่าเป็นการไม่ชอบตามมาตรา 31, 34 และ 36 แห่งพระราชบัญญัติ ดังกล่าวเนื่องจากการบอกเลิกการเช่าของโจทก์ไม่ได้แจ้งเหตุผลตามมาตรา 36 และโจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาหนังสือบอกเลิกการเช่าต่อจำเลยที่ 4 แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องแจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อให้โจทก์มาชี้แจงเพราะตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นบทบัญญัติให้อำนาจซึ่งอยู่ในดุลพินิจว่าจะใช้อำนาจหรือไม่หาใช่เป็นบทบัญญัติบังคับคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตำบลหรือจังหวัดต้องเรียกผู้ให้เช่ามาชี้แจงยิ่งกว่านี้คณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตำบลคลองหนึ่งได้วินิจฉัยลงมติเป็นเอกฉันท์โดยให้เหตุผลทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายว่าการบอกเลิกการเช่าของโจทก์เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายรายงานการประชุมเอกสารหมาย ป.ล.1 การพิจารณาของจำเลยที่ 4 ชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์ฎีกาประการสุดท้ายว่า จำเลยที่ 4 มิได้ดำเนินการส่งอุทธรณ์ของโจทก์ไปให้ประธานคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจังหวัดจำเลยที่ 3 รับไว้พิจารณาต่อภายใน 15 วัน นับแต่วันรับคำอุทธรณ์ของโจทก์ตามมาตรา 56 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตำบลคลองหนึ่งจึงเป็นอันไร้ผลบังคับเพราะขาดอายุความ คณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจังหวัดจำเลยที่ 3 จึงไม่มีอำนาจรับไว้วินิจฉัยศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะเป็นความบกพร่องต่อหน้าที่ของนายเทียนชัยตั้งทองกรรมการและเลขานุการของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตำบลคลองหนึ่งที่รับคำอุทธรณ์ของโจทก์แล้วปล่อยเรื่องทิ้งไว้เป็นปีจนกระทั่งย้ายไปรับราชการที่อื่น ไม่ดำเนินการส่งคำอุทธรณ์ไปภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันรับคำอุทธรณ์ก็ตาม แต่ตามพระราชบัญญัติ ดังกล่าวก็มิได้บัญญัติให้คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตำบลตกไปหรือไม่มีผลบังคับหรือขาดอายุความ กำหนดเวลา 15 วัน ดังกล่าวจึงเป็นแต่เพียงมุ่งหมายที่จะให้ดำเนินการไปโดยรวดเร็วไม่ชักช้าเท่านั้น หาได้มีผลทำให้คณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจังหวัดไม่มีอำนาจวินิจฉัยคำอุทธรณ์ของโจทก์ไม่ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2012-10-20 12:26:35 |
[1] |