ยกที่ดินให้เป็นทางสาธารณะประโยชน์ | |
คุณพ่อยกที่ดินให้เป็นที่สาธารณะประโยชน์โดยแกเข้าใจว่า ยกเพื่อให้ลูกหลานเดินเท่านั้นโดยตอนหลังมีคนมาพูดให้แกฟังว่าแกไม่มีสิทธ์แล้ว คุณพ่อเสียใจมากเพราะเเกไม่เข้าใจกฏหมายข้อนี้ คุณพ่อต้องการเพียงให้ลูกๆมีทางเดินสะดวกเท่านั้นไม่อยากให้ลูกๆปิดทางกันเวลาทะเลาะกัน ทางที่ยกให้กว้าง 5ศอกยาวตลอดรวมๆประมาณงานกว่าๆ คุณพ่ออยากได้ที่คืนโดยอยากเปลี่ยนเป็นทางเดินส่วนบุคคลแทน ทำได้หรือเปล่าคะ่ | |
ผู้ตั้งกระทู้ น้อง :: วันที่ลงประกาศ 2013-02-28 03:07:01 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2338759) | |
ตามที่เล่ามานั้น ผู้ถามไม่ได้แจ้งรายละเอียดว่า ได้ไปทำการยกที่ดินเป็นทางสาธารณะประโยชน์ที่ไหน (อำเภอ/เขต หน่วยราชการ) เมื่อใด เนื่องจากภายหลังปี 2544 เป็นต้นมกระทรวงมหาดไทยได้ทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดในกรณีมีการอุทิศที่ดินให้กับทางราชการจะต้องจัดทำหนังสือแสดงความประสงค์เกี่ยวกับการอุทิศที่ดินให้กับทางราชการด้วย ดังนั้นการที่จะอ้างว่าการยกที่ดินให้เป็นที่สาธารณะประโยชน์เป็นการเข้าผิดว่ายกเพื่อให้ลูกหลานเดินเท่านั้นจึงเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น การจะอ้างเหตุยกให้เป็นการสำคัญผิดก็เป็นสิทธิของผู้ยกให้ ต้องฟ้องร้องให้ศาลเพิกถอนการยกให้ดู แต่แนวโน้มคงเป็นเรื่องยากที่จะพิสูจน์ความสำคัญผิดนี้ครับ เมื่อตกเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินไปแล้วก็ไม่สามารถกลับมาเป็นทางเดินส่วนบุคคลได้อีก | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายลีนนท์0859604258 วันที่ตอบ 2013-02-28 11:11:27 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2338761) | |
คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติแนวทางปฏิบัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอและกระทรวงมหาดไทยได้มีหนังสือ ที่ มท 0723/ว 2251 ลงวันที่ 10 สิงหาคม 2544 แจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดถือปฏิบัติ กรณีที่ทางราชการขอให้ราษฎรอุทิศที่ดินให้ หรือกรณีเข้าไปดำเนินการในที่ดินของเอกชน เพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ร่วมกัน ให้ดำเนินการดังนี้ การจดทะเบียนโอนเป็นที่สาธารณประโยชน์หรือแบ่งหักที่สาธารณประโยชน์ หากเจ้าของที่ดินมีเจตนาอุทิศที่ดินให้เป็นทางสาธารณประโยชน์โดยตรง เช่นให้เป็นทางสาธารณะ และประสงค์จะให้มีการจดทะเบียนด้วย ก็ต้องนำหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินไปยื่นคำขอจดทะเบียนต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่ ณ สำนักงานที่ดิน โดยต้องนำหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินและหลักฐานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น บัตรประจำตัวเจ้าของที่ดิน ฯลฯ หากต้องการให้ที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์ทั้งแปลง ก็จดทะเบียนประเภท “โอนเป็นที่สาธารณประโยชน์” เมื่อได้จดทะเบียนโอนเป็นที่สาธารณประโยชน์แล้ว หนังสือแสดงสิทธิในที่ดินฉบับเจ้าของที่ดินจะไม่คืนให้เจ้าของที่ดิน พนักงานเจ้าหน้าที่จะเก็บหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินฉบับ เจ้าของที่ดินเข้าสารบบของสำนักงานที่ดิน หากเป็นการแบ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์บางส่วน ก็จะจดทะเบียนในประเภท “แบ่งหักที่สาธารณประโยชน์” โดยต้องทำการรังวัดแบ่งแยกส่วนที่เป็นทางสาธารณประโยชน์ออกไป เมื่อจดทะเบียนแบ่งหักที่สาธารณประโยชน์เรียบร้อยแล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่จะคืนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินให้เจ้าของที่ดินไป ในกรณีที่ส่วนที่เป็นทางที่เจ้าของที่ดินประสงค์จะแบ่งหักออกไปนั้นอยู่ตอนกลางที่ดิน ทำให้แยกที่ดินออกจากกันเป็นหลายแปลง นอกจากจะขอจดทะเบียนแบ่งหักเป็น ที่สาธารณประโยชน์แล้ว ควรจะต้องขอจดทะเบียนแบ่งแยกในนามเดิมเพิ่มเติมด้วย เพื่อให้ที่ดินแต่ละส่วนมีหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินประจำแต่ละแปลง | |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2013-02-28 11:12:04 |
ความคิดเห็นที่ 3 (2338762) | |
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3656/2529 พนักงานอัยการ จังหวัด นครนายก โจทก์ ป.อ. มาตรา 362 | |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2013-02-28 11:13:10 |
ความคิดเห็นที่ 4 (2338764) | |
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4900/2528 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นเห็นว่า เป็นฎีกาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ไม่รับฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า ตามสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 145/2521 ที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในคดีนี้กับพวกเป็นจำเลยศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า ที่ดินพิพาทส่วนที่อยู่ในโฉนดที่ 495 นายประสิทธิ์ เจ้าของเดิมได้ยกให้เป็นที่สาธารณะไปแล้วก่อนจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ศาลฎีกาเห็นว่าการอุทิศที่ดินให้เป็นสาธารณะนั้นเพียงแต่เจ้าของกรรมสิทธิ์ผู้ยกให้แสดงเจตนาให้ปรากฏโดยตรงหรือโดยปริยายว่าได้อุทิศให้เป็นที่สาธารณะที่ดินดังกล่าวก็ตกเป็นที่สาธารณะแล้ว ดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ตามฟ้องของโจทก์ว่า จำเลยที่ 3 ได้ร่วมกันกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ทำเอกสารบันทึกถ้อยคำให้นายประสิทธิ์ลงลายมือชื่อแสดงว่า นายประสิทธิ์ยกที่ดินของตนให้เป็นที่สาธารณะเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2521 โดยเป็นการทำบันทึกภายหลังเมื่อที่ดินแปลงนั้นตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์แล้วก็ตาม การกระทำนั้นก็เพื่อยืนยันความจริงที่นายประสิทธิ์ได้อุทิศที่ดินให้เป็นที่สาธารณะแก่ทางราชการไว้ให้ปรากฏหลักฐานเป็นหนังสืออีกชั้นหนึ่งจึงหาเป็นความเท็จไม่ อีกทั้งไม่ทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ เพราะที่ดินส่วนนั้นได้ตกเป็นที่สาธารณะไปแล้วก่อนโจทก์จดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินมา จำเลยทั้งสามจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 162 ดังโจทก์ฟ้องที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น | |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2013-02-28 11:13:57 |
[1] |