นาง ก. และ นาย ข. ปลูกบ้านบนที่ดินที่มีเจ้าของ ตามปกติแล้วคงต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของที่ดินให้ปลูกบ้านอยู่ หากในกรณีที่การเข้าไปครอบครองที่ดินของคนอื่นโดยที่ได้รับอนุญาตนั้นเป็นการยอมรับสิทธิของผู้อื่นไม่เป็นการแย่งการครอบครอง จึงไม่เข้าลักษณะการครอบครองปรปักษ์ ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ คือ ครอบครอง (ไม่ขออนุญาต) โดยความสงบ โดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ครบ 10 ปี ในกรณีตามข้อเท็จจริงแม้ได้ความว่า มีการปลูกบ้านบนที่ดินคนอื่นและครอบครองมาถึง 40 ปี แล้วก็ตาม ก็ไม่เกิดสิทธินับระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์ได้ ดังนั้น นาย ข. จึงไม่อาจฟ้องร้อง นาง ก. ได้ เพราะไม่มีกฎหมายรับรองให้ทำได้ เว้นแต่จะมีข้อเท็จจริงที่แตกต่างไปจากนี้ ส่วน การฟ้องขับไล่นั้น เมื่อกรรมสิทธิ์โอนไปเป็นของบุคคลอื่น (หลาน นาง ก.) ดังนั้นหลานนาง ก. เจ้าของปัจจุบันจึงมีสิทธิฟ้องนาย ข. ได้ครับ

มาตรา 1382  บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์

การครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิแล้วแต่ไม่ไปจดทะเบียน
การครอบครองปรปักษ์ หากยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มาโดยการครอบครองปรปักษ์ ผู้ได้มานั้นจะยกเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกไม่ได้ ถ้าบุคคลภายนอกได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและจดโอนทางทะเบียนโดยสุจริตแล้ว
http://www.peesirilaw.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538663569&Ntype=9

การครอบครองปรปักษ์ที่ดินของคนอื่นนั้น ต้องมีลักษณะการแย่งการครอบครองหรือเข้าไปครอบครองที่ดินของคนอื่นโดยไม่ได้ขออนุญาตเจ้าของที่ดิน และจะต้องครอบครองโดยความสงบ ซึ่งโดยความสงบก็คือ ไม่มีการฟ้องร้องกัน หรือเจ้าของไม่เคยว่ากล่าวให้ออกไป หรือมีหนังสือแจ้งบอกกล่าวให้ออกไป หรือจ่ายค่าเช่า หรือค่าเสียประโยชน์ให้เจ้าของที่ดิน โดยความสงบ โดยเปิดเผย โดยเปิดเผยก็อาจทำได้โดยการทำรั้วรอบขอบชิดนั่นเอง