ช่วยผมหน่อยครับ ผมจะเล่นงานคนพวกนี้อย่างไรดี ผมทนไม่ไหวแล้ว | |
เฮ้อ.. ผมมีเรื่องหนักใจมากๆ มาปรึกษาหน่อยครับ
ผมขอถามเพื่อนๆหน่อยนะครับ ว่าผมจะฟ้องคนพวกนี้ยังใงดี อยากให้พวกหเขารู้ว่าการที่เที่ยวไปบอกชาวบ้านว่า คนนี้ คนโน้น รวยได้เพราะขายยา บอกคนไปทั่วซอยเลยอะครับ ผมไม่รู้จะทำยังใง ช่วยแนะนำหน่อยครับ ว่าผมจะทำอะไรได้บ้าง มีขั้นตอนยังใง จริงๆ ผมไม่ใช่คนรวยอะไรมากมาย ช่วยบอกค่าใช้จ่ายให้ผมด้วยนะครับ | |
ผู้ตั้งกระทู้ SERA :: วันที่ลงประกาศ 2008-03-09 22:42:39 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (1615282) | |
คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟก็ไม่ไหม้ สุภาษิตโบราณว่าไว้ กินให้อิ่ม นอนมากๆ ทุกอย่างจะดีเอง | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-03-10 17:59:49 |
ความคิดเห็นที่ 2 (1615283) | |
มาตรา 393 ผู้ใดดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณาต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาทหรือ ทั้งจำทั้งปรับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-03-10 21:25:19 |
ความคิดเห็นที่ 3 (1615284) | |
มาตรา 326 ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะ ทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำ ความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ ปรับไม่เกินสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-03-10 21:26:58 |
ความคิดเห็นที่ 4 (1615285) | |
การทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายถึงแก่ชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ กฎหมายถือว่า เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ที่ได้รับความเสียหายในทางแพ่ง ผู้ที่ได้รับความเสียหายมีสิทธิที่จะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ทำละเมิด และถ้าหากการทำละเมิดนั้น เข้าองค์ประกอบของความผิดทางอาญาด้วย นอกจากผู้ทำละเมิดจะต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในทางแพ่งแล้ว ยังจะต้องรับผิดและรับโทษในทางอาญา จากการกระทำอันเดียวกันนั้นด้วย เช่น ทำให้ผู้อื่นตายโดยเจตนา เป็นการกระทำโดยละเมิดในทางแพ่ง ฐานทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายถึงแก่ชีวิต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 และมีความผิดทางอาญาฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 คดีแพ่งในลักษณะเช่นนี้กฎหมายเรียกว่า คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา หรือภาษาทางกฎหมายโบราณเรียกว่า อาญาสินไหม อย่างไรก็ดี การกระทำโดยละเมิด ไม่จำเป็นจะต้องเป็นความผิดทางอาญาเสมอไป เช่น การกระทำให้ผู้อื่น ได้รับความเสียหายแก่ทรัพย์สินโดยประมาทเลินเล่อ เป็นการกระทำโดยละเมิดในทางแพ่งแต่เพียงอย่างเดียว ผู้กระทำไม่มีความผิดในทางอาญา เพราะไม่มีความผิดทางอาญาฐานทำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหายโดยประมาท การกระทำโดยละเมิดในทางแพ่งกรณีเช่นนี้จึงไม่อาจเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาได้เลย เช่น ทำปืนลั่นโดยประมาทเลินเล่อกระสุนปืนไปโดนรถยนต์ผู้อื่นเสียหาย ผู้ที่ทำปืนลั่นโดยประมาท คงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่เจ้าของรถยนต์ ฐานที่ทำละเมิดในทางแพ่งเท่านั้น แต่ถ้าทำปืนลั่นโดยประมาทถูกผู้อื่นบาดเจ็บ ผู้ที่ทำปืนลั่นโดยประมาทจะต้องรับผิดต่อผู้เสียหาย ทั้งฐานละเมิดในทางแพ่ง และฐานทำโดยประมาทให้ผู้อื่นบาดเจ็บ หรือตายในทางอาญา การกระทำโดยละเมิดทางแพ่งกรณีเช่นนี้ เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา มีการกระทำโดยละเมิดในทางแพ่งอยู่อย่างหนึ่ง ที่บางกรณีเป็นความผิดอาญา บางกรณีไม่เป็นความผิดทางอาญา คือ การกระทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียง หรือที่เรียกว่า หมิ่นประมาท การหมิ่นประมาทผู้อื่นย่อมทำให้ผู้อื่นนั้นได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียง จึงเป็นการกระทำโดยละเมิดในทางแพ่งเสมอ ไม่ว่าผู้หมิ่นประมาทจะกระทำโดยจงใจ หรือประมาทเลินเล่อหรือไม่ก็ตาม การหมิ่นประมาทผู้อื่น ที่จะเป็นทั้งการกระทำโดยละเมิดในทางแพ่งและความผิดในทางอาญา ก็เฉพาะแต่ การหมิ่นประมาทที่ผู้กระทำกระทำโดยเจตนาเท่านั้น เพราะการทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียงโดยไม่เจตนา ไม่เป็นความผิดในทางอาญา จำเลยได้รับคำบอกกล่าวจากญาติของโจทก์ว่า โจทก์รักใคร่กับชายทางชู้สาว นอนกอดจูบและได้เสียกัน ต่อมามีผู้ถามจำเลยถึงเรื่องนี้ จำเลยก็เล่าข้อความตามที่ได้รับคำบอกเล่ามาให้ผู้นั้นฟังเช่นนี้ ถือว่าถ้อยคำที่จำเลยกล่าวเป็นข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ (คำพิพากษาฎีกาที่ 380/2503) จำเลยถามนายประกอบว่า "พี่กอบ ได้ข่าวว่ามีอะไรกับติ๋มหรือเปล่า ถ้ามีความสัมพันธ์ทางชู้สาว ก็ขอให้เลิกเสีย มันไม่ดี เพราะติ๋มก็มีผัวอยู่แล้ว" คำถามดังกล่าว เป็นเพียงการคาดคะเนของจำเลย มิได้ยืนยันข้อเท็จจริงอันน่าจะทำให้โจทก์ (ติ๋ม) เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง แต่ประการใด จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท และเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยกล่าวดังกล่าวต่อหน้าโจทก์ ย่อมไม่เป็นการดูหมิ่นซึ่งหน้า (คำพิพากษาฎีกาที่ 2180/2531) การทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียงที่เป็นละเมิดในทางแพ่งโดยผู้กระทำไม่จำต้องมีเจตนานั้น ได้แก่ การกระทำละเมิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 423 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า "ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลาย ซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่นก็ดี หรือเป็นที่เสียหาย แก่ทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของเขาโดยประการอื่นก็ดี ท่านว่าผู้นั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เขา เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การนั้น แม้ทั้งเมื่อตนมิได้รู้ว่า ข้อความนั้นไม่จริงแต่หากควรจะรู้ได้" เมื่อการกระทำละเมิด ตามมาตรา 423 นี้ ผู้กระทำไม่จำต้องกระทำโดยเจตนา การกระทำละเมิดชนิดนี้ จึงเป็นการละเมิดที่อาจจะเป็นความผิดทางอาญาด้วยหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้กระทำเป็นสำคัญ กล่าวคือ ถ้าผู้กระทำทำละเมิดตามมาตรา 423 โดยเจตนา การกระทำนั้นย่อมเป็นความผิดทางอาญาฐานหมิ่นประมาท กรณีที่เป็นการกระทำละเมิดโดยไม่มีเจตนาใส่ความผู้อื่นเช่นนี้ การกระทำที่เป็นการละเมิดในทางแพ่ง ย่อมไม่ใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ฉะนั้นถ้าหากโจทก์ได้นำคดีที่จำเลยทำละเมิดต่อชื่อเสียง เกียรติคุณทางทำมาหาได้ หรือทางเจริญของโจทก์ไปฟ้องจำเลยทั้งทางแพ่งและทางอาญา แล้วศาลในคดีส่วนอาญาพิพากษายกฟ้องโจทก์ เพราะเห็นว่า ข้อความที่จำเลยกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายนั้น จำเลยไม่มีเจตนาใส่ความโจทก์ ศาลในคดีส่วนแพ่งก็น่าจะนำ หลักในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ที่ว่า ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญา มาใช้ไม่ได้ มีคนไปบอกหนังสือพิมพ์ว่าถูกธนาคารโกงเงินที่ฝากไว้กับธนาคาร เพราะธนาคารไม่ยอมให้ถอนเงินที่ฝากไว้ หนังสือพิมพ์เชื่อได้ลงข่าวแพร่หลายไปตามที่ได้รับคำบอกเล่านั้น ธนาคารย่อมได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียง เกียรติคุณทางทำมาหาได้และทางเจริญของธนาคาร เพราะคงไม่มีลูกค้าคนใดติดต่อธุรกิจกับธนาคารที่ขี้โกงอีกต่อไป ทั้ง ๆ ที่ความจริงธนาคารไม่ยอมให้ลูกค้าถอนเงินจริง แต่ธนาคารอาจไม่ได้โกงลูกค้า เป็นเพราะลูกค้าเป็นหนี้ธนาคารอยู่ ธนาคารได้ใช้สิทธิหักกลบลบหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 341 เมื่อนำเงินฝาก ไปหักกลบลบหนี้ที่ลูกค้าเป็นหนี้ธนาคารอยู่ จนหนี้ของลูกค้าระงับไปแล้ว จึงไม่มีเงินฝากที่จะคืนให้ลูกค้าได้อีก กรณีอย่างนี้คนที่บอกให้หนังสือพิมพ์ลงข่าว และหนังสือพิมพ์อาจไม่มีความผิดในทางอาญาฐานหมิ่นประมาท เพราะไม่มีเจตนาใส่ความธนาคาร แต่อาจจะต้องรับผิดในทางแพ่งฐานละเมิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 423 ครับ ได้ข่าวอะไรมา ตรวจสอบเสียหน่อยก่อนจะเผยแพร่ข่าว ต่อ ๆ ไปก็น่าจะดี ชื่อเสียงของใครใครก็รักก็หวงแหน ไม่อยากให้ใครมาทำลายด้วยกันทั้งนั้น | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-03-10 21:54:36 |
ความคิดเห็นที่ 5 (1615286) | |
ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 326 ระบุถึงการกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทไว้ว่า “ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้น เสียชื่อเสียงถูก ดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” นิติบุคคล คือ บุคคลตามกฏหมาย เช่น บริษัท ห้างหุ้นส่วนจำกัด วัด เป็นต้น บุคคลผู้ถูกหมิ่นประมาทถ้าเป็นคนธรรมดา ต้องเป็นผู้มีชีวิตอยู่ แต่ถ้าตายไปแล้วก็ผิดกฏหมายได้ จะได้กล่าวในลำดับต่อไป บุคคลที่ถูกดูหมิ่นประมาทต้องมีตัวตน ระบุไว้แน่นอนว่าเป็นใคร กลุ่มใด สามารถกำหนดตัวตนได้เป็นที่แน่นอน ถ้ากล่าวกว้างเกินไป ก็ไม่สามารเอาผิดฐานหมิ่นประมาทได้ เช่น หมิ่นประมาทคนนครปฐม คนราชบุรี เป็นการระบุไว้อย่างกว้าง ๆ ไม่เป็นผิด ตัวอย่างตามคำพิพากษาศาลฎีกา ตัวอย่างตามคำพิพากษาศาลฎีกา ตัวอย่าง ตัวอย่างตามคำพิพากษาศาลฎีกา ตัวอย่างตามคำพิพากษาศาลฎีกา ตัวอย่างตามพิพากษาศาลฎีกา ตัวอย่างตามคำพิากษาศาลฎีกา ตัวอย่างที่ศาลได้เคยพิพากษาไว้ว่าไม่เป็นหมิ่นประมาท | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-03-10 22:18:38 |
ความคิดเห็นที่ 6 (4319337) | |
แบบเดียวกะผมเลย...แต่ผมไม่รวยไม่มีทองใส่ไม่ได้ใช้ชีวิตหรูหราอะไร..วันๆทำแต่ขนมขาย(ขายส่งที่ตลาดพวกข้าวเหนียวมูลข้าวปิ้ง)ใช้ชีวิตปกตินั่งห่อข้าวเหนียวนั่งปิ้งข้าวเหนียว..ทั้งวันทั้งคืนไม่มีวัยรุ่นเข้าออกหรือมาติดต่อซื้อขายใดๆ..แต่คนกับพูดกันว่าบ้านผมขายยาเห็นผมนั่งปิ้งข้าวเหนียวมันก็บอกกันว่านั่งขายม้า...ทั้งๆที่ไม่มีการติดต่อซื้อขายใดๆไม่มีใครมาหาไม่เคยมีประเภทแบบมาจอดรถเดินจกกะเป๋าเข้ามาแล้วตอนออกมองซ้ายมองขวาแล้วบิดออกอย่างรีบร้อน..อะไรพวกนี้เลย..ไม่มีจุดที่มองแล้วชวนน่าคิดน่าสงสัยเลยหรือมีการติดต่ออะไรพวกนี้เลย..ยิ่งตอนผมปิ้งข้าวเหนียวหรือตอนห่อถึงขั้นแอบย่องมองดูข้างรั่วมากันทุกวันทุกคืน(ผมตื่นตี1ปิ้งข้าวเหนียวเพื่อให้เสร็จทันตี3ครึ่งเพื่อนำออกไปขาย...5ทุ่มเที่ยงคืนมันมากันแล้ววันไหนผมสายถึงขั้นใช้หินปาหลังคาบ้านปรุกผม...ผมโมโหมากวิ่งออกไปแต่พวกนี้มันไววิ่งหลบวิ่งแอบมันเห็นเป็นของสนุกของพวกมันเลย | |
ผู้แสดงความคิดเห็น กอล์ฟ วันที่ตอบ 2019-07-19 19:09:51 |
ความคิดเห็นที่ 7 (4401352) | |
แอบฟังโดยคนพูดไม่รู้ไม่เป็นการจงใจกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลาย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6681/2562
แม้ ป.พ.พ. มาตรา 423 ไม่ได้บัญญัติว่าเป็นการกล่าวหรือไขข่าวต่อบุคคลที่สาม แต่การกล่าวหรือไขข่าวที่แพร่หลายได้ก็ต้องมีบุคคลที่สามอยู่ การพูดคนเดียวไม่มีคนได้ยินย่อมไม่เป็นการกล่าวให้แพร่หลาย ดังนั้นถ้ามีคนแอบฟังโดยคนพูดไม่รู้ การพูดดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเป็นการจงใจกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลาย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า พ. เป็นผู้เริ่มต้นการตั้งโปรแกรมสนทนาผ่านบัญชีเฟสบุ๊ค เมสเซนเจอร์ ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ให้บริการส่งข้อความและข้อมูลมัลติมีเดียสนทนาโต้ตอบกันผ่านระบบอินเทอร์เน็ตที่เข้าในระบบเพื่อพูดคุยกัน โปรแกรมสนทนาดังกล่าวเป็นแบบระบบปิดมีสมาชิกเพียง 3 คนคือจำเลยทั้งสองและ พ. บุคคลภายนอกไม่สามารถเข้าไปดูหรืออ่านข้อความสนทนาได้ การสนทนาดังกล่าวที่มีการพูดถึงโจทก์และพนักงานอื่นรวมอยู่ด้วยจึงเป็นการกล่าวที่จำเลยทั้งสองและ พ. ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกันสนทนาร่วมกันโดย พ. เข้าร่วมสนทนากับจำเลยทั้งสองหลายครั้ง จึงมิใช่เป็นการที่จำเลยทั้งสองกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลาย ส่วนการที่โจทก์แอบดูและอ่านข้อความสนทนาและนำไปเผยแพร่ให้บุคคลอื่นรับทราบเอง ย่อมไม่ทำให้การสนทนาระหว่างกลุ่มบุคคลทั้งสามเป็นการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายให้บุคคลอื่นรับทราบได้ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 4,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จ และขอให้ศาลมีคำสั่งให้มีการโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์รายวัน 1 ฉบับ เป็นระยะเวลา 3 วัน ปิดประกาศโฆษณาภายในบริเวณที่ทำการสำนักงานและที่ทำการ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของบริษัทสายการบิน ค. เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 เดือน
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งกล่าวหาว่าโจทก์ทำละเมิดลักลอบเข้าระบบคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ
ศาลชั้นต้นไม่รับฟ้องแย้งจำเลยทั้งสองเนื่องจากไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า โจทก์ จำเลยทั้งสองและนางสาว พ. เป็นพนักงานของบริษัทสายการบิน ค. โจทก์มีตำแหน่งเป็นพนักงานต้อนรับภาคพื้นดิน นางสาว พ. มีหน้าที่อำนวยการโดยสารของบริษัททั้งขาเข้าขาออก และทำงานร่วมกับโจทก์ จำเลยทั้งสองเป็นผู้บังคับบัญชาโจทก์และนางสาว พ. โดยจำเลยที่ 1 มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายการโดยสารมีหน้าที่ควบคุมดูแล ประสานงานให้สายการบินดำเนินการไปอย่างราบรื่น และลงนามในเอกสารการเงินแทนประธานบริษัท จำเลยที่ 2 มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายการโดยสาร มีหน้าที่ช่วยควบคุมดูแลและประสานงานให้สายการบินดำเนินการไปอย่างราบรื่น นางสาว พ. เป็นผู้เริ่มต้นจัดโปรแกรมสนทนาผ่านบัญชีเฟสบุ๊ค เมสเซนเจอร์ ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ให้บริการส่งข้อความและข้อมูลมัลติมีเดียสนทนาโต้ตอบกันทางระบบอินเทอร์เน็ตเข้าในระบบเพื่อพูดคุยกันในเรื่องทั่วไป มีสมาชิกเพียง 3 คนเป็นบัญชีเฟสบุ๊คประเภทปิด ในการสนทนาผ่านบัญชีเฟสบุ๊คดังกล่าวไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์กลางของบริษัท บุคคลภายนอกไม่สามารถเข้าดูหรืออ่านข้อความสนทนาได้ หากใช้คอมพิวเตอร์กลางของบริษัทแล้วจะต้องใส่รหัส จึงจะสามารถใช้การสนทนาผ่านคอมพิวเตอร์ดังกล่าวได้ วันที่ 7 เมษายน 2558 เวลาประมาณ 21 นาฬิกา ขณะที่โจทก์อยู่ที่ทำงานและใช้คอมพิวเตอร์ของบริษัทพบว่ามีการสนทนากันระหว่างจำเลยทั้งสองและนางสาว พ. ผ่านโปรแกรมเมสเซนเจอร์ที่นางสาว พ. เปิดโปรแกรมดังกล่าวค้างไว้และลืมปิด แล้วโจทก์มาใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ดังกล่าวต่อ ตามคำฟ้องระบุว่าจำเลยที่ 1 ส่งข้อความสนทนา 5 ครั้ง จำเลยที่ 2 ส่งข้อความสนทนา 2 ครั้ง วันที่ 30 กันยายน 2557 จำเลยที่ 1 ส่งข้อความว่า แหลจริง ๆ วันที่ 6 ธันวาคม 2557 ส่งข้อความว่า ไล่ออกดีไหม วันที่ 26 มกราคม 2558 ส่งข้อความว่า หน้าด้านอย่างเหลือเชื่อที่ซู้ด วันที่ 30 มีนาคม 2558 ส่งข้อความว่า กินฟรี ผู้ชายทุกคนอยากมาจีบหญิง KU เพราะรวยทุกคน แต่ขาดผู้ชาย นอนฟรี และวันเดียวกันนั้นส่งข้อความอีกครั้งว่า เก่งนะ พวกปากกัดตีนถีบ หลอกเอาเงินผู้ชาย ส่วนจำเลยที่ 2 ส่งข้อความวันที่ 11 พฤศจิกายน 2557 ว่า 2 คนเนี่ย evaluate ยากจริง ๆ เพราะมันไม่มีอะไรดีเลย และวันที่ 12 พฤศจิกายน 2557 ส่งข้อความว่า ไม่ใช่เรื่องคนอื่นเราต้องเอาไว้ยันว่าเค้าไม่เคารพซุป
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 423 หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 423 บัญญัติว่า "ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่นก็ดี ..." จะเห็นได้ว่าแม้บทมาตราดังกล่าวไม่ได้บัญญัติว่าเป็นการกล่าวหรือไขข่าวต่อบุคคลที่สาม แต่การกล่าวหรือไขข่าวที่แพร่หลายได้ก็ต้องมีบุคคลที่สามอยู่ การพูดคนเดียวไม่มีคนได้ยินย่อมไม่เป็นการกล่าวให้แพร่หลาย ดังนั้นถ้ามีคนแอบฟังโดยคนพูดไม่รู้ การพูดดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเป็นการจงใจ กล่าวหรือไขข่าวแพร่หลาย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านางสาว พ. เป็นผู้เริ่มต้นการตั้งโปรแกรมสนทนาผ่านบัญชีเฟสบุ๊ค เมสเซนเจอร์ ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ให้บริการส่งข้อความและข้อมูลมัลติมีเดียสนทนาโต้ตอบกันผ่านระบบอินเทอร์เน็ตที่เข้าในระบบเพื่อพูดคุยกัน โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์โต้แย้งว่าโปรแกรมสนทนาดังกล่าวเป็นแบบระบบปิดมีสมาชิกเพียง 3 คน คือจำเลยทั้งสองและนางสาว พ. บุคคลภายนอกไม่สามารถเข้าไปดูหรืออ่านข้อความสนทนาได้ การสนทนาดังกล่าวที่มีการพูดถึงโจทก์และพนักงานอื่นรวมอยู่ด้วยจึงเป็นการกล่าวที่จำเลยทั้งสองและนางสาว พ. ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกันสนทนาร่วมกันโดยนางสาว พ. ก็เบิกความรับว่าเข้าร่วมสนทนากับจำเลยทั้งสองหลายครั้ง จึงมิใช่เป็นการที่จำเลยทั้งสองกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลาย ส่วนการที่โจทก์แอบดูและอ่านข้อความสนทนาและนำไปเผยแพร่ให้บุคคลอื่นรับทราบเองย่อมไม่ทำให้การสนทนาระหว่างกลุ่มบุคคลทั้งสามเป็นการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายให้บุคคลอื่นรับทราบได้ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 423 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น Admin วันที่ตอบ 2020-09-26 11:04:08 |
[1] |