โดนจับคดียาเสพติด คดีซ้อนคดี ทำยังไงครับ | |
โดนจับคดีมียาเสพติดไว้ในครอบครอง 8 เม็ด และในระหว่างรอลงอาญา โดนจับคดีมีกัญชาไว้ในครอบครอง แล้วในระว่างที่รอขึ้นศาล โดนจับคดีมีกัญชาไว้ในครอบครองอีกครั้ง (รวมเป็น3คดีซ้อน)
จะจำคุกกี่ปี และปรับไม่เกินเท่าไหร่ครับ | |
ผู้ตั้งกระทู้ เบนต์ :: วันที่ลงประกาศ 2014-08-20 00:39:00 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (3709481) | |
1. ในคดีแรกที่ศาลรอการลงโทษนั้นศาลมีคำพิพากษาให้จำคุกกี่ปีในคดีที่ 2 ศาลจะให้จำคุกหรือไม่ไม่สำคัญ แต่การที่จำเลยกระทำความผิดซ้ำเป็นการผิดเงื่อนไขการรอการลงโทษ ดังนั้นศาลจึงสามารถนำโทษที่รอลงอาญาไว้มาพิพากษาจำคุกจริงโดยไม่รอลงอาญาได้ คำถามว่าจะจำคุกกี่ปีก็ขึ้นอยู่กับโทษเดิมศาลจำคุกไว้กี่ปี 2. กระทำความผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งกัญชาอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ การที่กฎหมายกำหนดโทษขั้นสูงไว้ไม่เกิน 5 ปี และโทษปรับไม่เกิน 1 แสนบาท เป็นโทษขั้นสูงซึ่งไม่ได้กำหนดโทษขั้นต่าไว้ ดังนั้นหากจะพิจารณาความหมายก็เท่ากับว่า โทษจำคุก 1 วันก็ไม่เกิน 5 ปี ปรับ 1 บาท ก็ไม่เกิน 1 แสนบาทครับ จึงเป็นอำนาจของศาลครับ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น admin วันที่ตอบ 2014-09-21 18:38:53 |
ความคิดเห็นที่ 2 (3709482) | |
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหามีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 15 ปี และปรับ 1,500,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหามีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ส่วนข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้การปฏิเสธ จำเลยอุทธรณ์ โจทก์ฎีกา มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีนี้ตามบัญชีของกลางคดีอาญา เจ้าพนักงานตำรวจทำการยึดทรัพย์ของกลางได้ 4 รายการ ประกอบด้วยกัญชาแห้งอัดแท่งน้ำหนัก 232.54 กิโลกรัม รถยนต์กระบะ หมายเลขทะเบียน บค 248 นครพนม สร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท โทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง โจทก์มีคำขอริบของกลาง 3 รายการ ยกเว้นสร้อยคอทองคำ 1 เส้น หนัก 2 บาท ซึ่งศาลมิได้สั่งริบ จึงเห็นสมควรสั่งคืนให้จำเลย แม้ปัญหาดังกล่าวจะมิได้มีฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจสั่งคืนของกลางดังกล่าวได้
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น admin วันที่ตอบ 2014-09-21 18:44:09 |
ความคิดเห็นที่ 3 (3709486) | |
กัญชาของกลางไม่เคยอยู่ในความครอบครองของจำเลย จำเลยได้รับการว่าจ้างจาก ห. ให้มารับกัญชาจากคนลาวไปส่งมอบให้ ห. ที่จังหวัดสกลนคร และตั้งแต่เจ้าพนักงานตำรวจวางแผนตรวจค้นจับกุมจำเลยและขยายผลจนจับกุมผู้กระทำความผิดคนอื่นได้พร้อมกัญชา กัญชาของกลางไม่เคยอยู่ในความครอบครองของจำเลยแต่อย่างใด การที่จำเลยขับรถไปยังจุดนัดหมายเพื่อรอรับกัญชาของกลางเป็นเพียงการเตรียมการเพื่อกระทำความผิด แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพทั้งในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนในข้อหามีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ก็ไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9059/2555 จำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังว่า จำเลยได้รับการว่าจ้างจากนายหงษ์ ให้มารับกัญชาของกลางจากคนลาว โดยใช้โทรศัพท์ติดต่อนัดหมายส่งมอบกัญชา แล้วจะจ่ายเงินให้คนลาวที่นำกัญชามาส่งมอบ 10,000 บาท จากนั้นจำเลยจะนำกัญชาของกลางไปส่งมอบให้นายหงษ์ที่จังหวัดสกลนคร ทั้งนี้จำเลยได้รับเงินค่าจ้างเป็นเงิน 7,000 บาท แต่ปรากฏว่าจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นพบโทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง และธนบัตรจำนวน 17,000 บาท ในขณะที่จำเลยขับรถจะไปรับกัญชาของกลาง ขณะจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นและควบคุมตัวไว้ จำเลยไม่ได้มีกัญชาของกลางไว้ในครอบครอง ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจดำเนินการขยายผลให้จำเลยโทรศัพท์ติดต่อกับคนลาวเพื่อให้นำกัญชาของกลางมาส่งมอบ จนกระทั่งยึดได้กัญชาเป็นของกลาง มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกันมีกัญชาของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามคำฟ้องโจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มิได้บัญญัติหรือให้นิยามคำว่า มีไว้ในครอบครอง ว่ามีความหมายครอบคลุมเพียงใด จึงต้องถือตามความหมายที่ใช้กันโดยทั่วไป ซึ่งตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ได้บัญญัติความหมายของคำว่า ครอบครอง ไว้ว่า ยึดถือไว้ มีสิทธิปกครอง ส่วนความหมายในทางกฎหมายให้นิยามไว้ว่า ยึดถือทรัพย์สินไว้โดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน อันทำให้บุคคลได้มาซึ่งสิทธิครอบครอง ดังนั้น การมีกัญชาไว้ในครอบครองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง จะต้องเป็นการยึดถือไว้โดยมีเจตนาที่จะหวงกันไว้เพื่อตนเอง โดยอาจมุ่งหมายเพื่อใช้หรือหาประโยชน์จากทรัพย์สินนั้น หรือเพื่อที่จะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ข้อเท็จจริงกลับได้ความว่า ตั้งแต่เจ้าพนักงานตำรวจวางแผนตรวจค้นจับกุมจำเลยและขยายผลจนกระทั่งจับกุมผู้กระทำความผิดคนอื่นได้พร้อมกัญชาของกลาง กัญชาของกลางไม่เคยอยู่ในความครอบครองของจำเลยแต่อย่างใด การที่จำเลยขับรถไปยังจุดนัดหมายเพื่อรอรับกัญชาของกลางเป็นเพียงการเตรียมการเพื่อกระทำความผิด แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพทั้งในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนข้อหามีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายก็ตาม ก็ไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาร่วมกันมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น admin วันที่ตอบ 2014-09-21 18:53:56 |
ความคิดเห็นที่ 4 (3709489) | |
จำเลยมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 1 เดือน 15 วัน จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง, 76/1 วรรคหนึ่ง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 2 ปี ฐานจำหน่ายกัญชา จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 1 ปี 4 เดือน ฐานจำหน่ายกัญชา จำคุก 1 ปี 4 เดือน รวมจำคุก 2 ปี 8 เดือน บวกโทษจำคุก 1 เดือน 15 วัน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย.5303/2544 ของศาลชั้นต้น เป็นจำคุก 2 ปี 9 เดือน 15 วัน ริบกัญชาของกลาง จำเลยอุทธรณ์ โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้ และยึดกัญชาแห้ง 5 ห่อ น้ำหนักสุทธิ 23.740 กรัม เป็นของกลาง ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ขอให้พิพากษาลงโทษจำเลยตามศาลชั้นต้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายกัญชาตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง, 76/1 วรรคหนึ่ง จำคุกกระทงละ 2 ปี เมื่อลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงลงโทษจำคุกกระทงละ 1 ปี 4 เดือน รวมจำคุก 2 ปี 8 เดือน ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตมิได้มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และมิได้จำหน่ายกัญชา พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครอง ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง, 76 วรรคหนึ่ง แต่เพียงฐานเดียว ลงโทษจำคุก 3 เดือน เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงลงโทษจำคุก 1 เดือน 15 วัน ดังนั้น ความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ศาลอุทธรณ์แก้ทั้งบทลงโทษและกำหนดโทษอันเป็นการแก้ไขมาก แต่เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 การที่โจทก์ฎีกาว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบฟังได้ว่าจำเลยมีความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานของศาลอุทธรณ์ อันเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาโจทก์ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมาจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยความผิดฐานดังกล่าว คงรับวินิจฉัยให้เพียงข้อเดียวว่าจำเลยมีความผิดฐานจำหน่ายกัญชาหรือไม่ โจทก์มีผู้ร่วมจับกุมจำเลยมาเบิกความว่า เจ้าพนักงานตำรวจสืบทราบว่าจำเลยลักลอบจำหน่ายกัญชาที่บริเวณชุมชนป้าย 7 จึงวางแผนจับกุมโดยการล่อซื้อ ร้อยตำรวจโทรุ่งสกุล นำธนบัตรฉบับละ 100 บาท จำนวน 1 ฉบับ ไปลงรายงานประจำวันและถ่ายสำเนาไว้เป็นหลักฐาน หลังจากนั้นพยานทั้งสองและสายลับจึงเดินทางไปล่อซื้อกัญชาจากจำเลย โดยพยานทั้งสองไปซุ่มดูอยู่ห่างจากบ้านไม่มีเลขที่ที่เกิดเหตุในชุมชนซอย 7 ประมาณ 10 เมตร เห็นสายลับเข้าไปพูดคุยกับจำเลยแล้วมอบธนบัตรแก่จำเลย จำเลยเดินไปที่ถนนฝั่งตรงข้ามหยิบกระเป๋าแบบคาดเอวขึ้นมารูดซิบล้วงเอาสิ่งของข้างในส่งให้แก่สายลับ สายลับนำมามอบให้แก่ร้อยตำรวจโทรุ่งสกุล เมื่อตรวจดูเห็นว่าเป็นกัญชา จึงเข้าจับกุมจำเลย จากการตรวจค้นตัวจำเลยพบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อปะปนอยู่กับธนบัตรอื่นในกระเป๋ากางเกงของจำเลย และพบกัญชา 4 ห่อเล็ก ในกระเป๋าคาดเอว ชั้นจับกุมแจ้งข้อหาแก่จำเลยว่ามีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายกัญชา จำเลยให้การรับสารภาพ และมีร้อยตำรวจเอกวิรุทธิ์ พนักงานสอบสวนมาเบิกความว่า ชั้นสอบสวนแจ้งข้อหาจำเลยเหมือนกับชั้นจับกุม จำเลยให้การรับสารภาพ และพาเจ้าพนักงานตำรวจไปนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสองผู้ร่วมจับกุมจำเลยเป็นประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์ในขณะที่สายลับล่อซื้อกัญชาจากจำเลย เบิกความได้สอดคล้องต้องกันในเรื่องธนบัตรของกลางที่มอบให้สายลับใช้ล่อซื้อกัญชาจากจำเลย มีการถ่ายสำเนา และลงรายงานประจำวันไว้เป็นหลักฐานก่อนที่จะมอบให้สายลับไปดำเนินการ เมื่อสายลับล่อซื้อกัญชามาได้ พยานผู้ร่วมจับกุมได้เข้าจับกุมจำเลยทันที จากการตรวจค้นพบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อในกระเป๋ากางเกงของจำเลย ขั้นตอนต่าง ๆ เป็นไปในระยะกระชั้นชิดต่อเนื่องกัน แม้พยานทั้งสองจะเบิกความแตกต่างกันเกี่ยวกับกระเป๋าคาดเอวที่พบกัญชาของกลางจำนวน 4 ห่อ โดยร้อยตำรวจโทรุ่งสกุลเบิกความว่า ค้นพบกระเป๋าคาดเอวอยู่ในตระกร้าผ้า ซึ่งวางอยู่ฝั่งตรงข้ามบ้านจำเลย ส่วนจ่าสิบตำรวจณิพัธพงษ์ เบิกความว่า ขณะที่เข้าจับกุมจำเลย จำเลยยังถือกระเป๋าคาดเอวอยู่ ก็ยังไม่ถึงกับเป็นข้อพิรุธถึงขนาดทำให้คำเบิกความของพยานทั้งสองไม่มีน้ำหนักให้รับฟังแต่อย่างใด และเมื่อนำคำเบิกความของพยานทั้งสองมารับฟังประกอบคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและสอบสวนแล้ว แม้โจทก์จะไม่นำสายลับมาเบิกความเป็นพยาน พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบก็มีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่าจำเลยจำหน่ายกัญชาตามฟ้อง พยานจำเลยที่นำสืบต่อสู้ว่า จำเลยมีกัญชาของกลางจำนวน 5 ห่อ ไว้ในครอบครองเพื่อเสพ และจำเลยลงชื่อในเอกสารที่เจ้าพนักงานตำรวจนำมาให้ลงชื่อโดยไม่ได้อ่านข้อความไม่สามารถหักล้างพยานโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาในส่วนนี้ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ในส่วนนี้ฟังขึ้น พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง, 76/1 วรรคหนึ่ง อีกกระทงหนึ่ง ฐานจำหน่ายกัญชา จำคุก 2 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงลงโทษจำคุก 1 ปี 4 เดือน เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วเป็นจำคุก 1 ปี 5 เดือน 15 วัน บวกโทษจำคุก 1 เดือน 15 วัน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีหมายเลขแดงที่ ย.5303/2544 ของศาลชั้นต้น เป็นจำคุก 1 ปี 6 เดือน 30 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น admin วันที่ตอบ 2014-09-21 19:15:17 |
ความคิดเห็นที่ 5 (3709513) | |
จำเลยผลิตกัญชาอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 โดยการเพาะปลูกกัญชา โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผลิตกัญชาอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 โดยการเพาะปลูกกัญชา 5 ต้น น้ำหนักรวมทั้งราก กิ่ง ลำต้น ใบ และเมล็ด 501.420 กรัม และจำเลยมีกัญชาดังกล่าวไว้ในครอบครองขอให้ลงโทษและริบกัญชาของกลาง จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดการกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานผลิตกัญชาซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 2 ปี และปรับ 200,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 1 ปี และปรับ 100,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ริบกัญชาของกลาง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 436/2550 จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง, 75 วรรคหนึ่ง, 76 วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานผลิตกัญชาซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี และปรับ 200,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี และปรับ 100,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบกัญชาของกลาง จำเลยอุทธรณ์ จำเลยฎีกา
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น admin วันที่ตอบ 2014-09-21 20:37:20 |
ความคิดเห็นที่ 6 (3709516) | |
ความผิดฐานผลิตกัญชาโดยการแบ่งบรรจุ รถจักรยานยนต์ไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรงจึงไม่ริบ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดกัญชาที่จำเลยผลิตมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายเป็นจำนวนเดียวกัน การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานผลิตกัญชาซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดจำคุก 2 ปี ส่วนโทษปรับเห็นว่าของกลางมีเพียงเล็กน้อยและจำเลยอายุ 20 ปี ยังเป็นนักศึกษา จึงเห็นควรปรับน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำ ปรับ 20,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 1 ปี และปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี และคุมความประพฤติของจำเลยไว้ 2 ปี โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 8 ครั้ง และให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรมีกำหนด 20 ชั่วโมง รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นเพียงยานพาหนะที่จำเลยใช้ในการเดินทาง ไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรงจึงไม่ริบ จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง, 75 วรรคหนึ่ง, 76/1 วรรคหนึ่ง กัญชาที่จำเลยผลิต มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายเป็นจำนวนเดียวกัน การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานผลิตกัญชาซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี ส่วนโทษปรับเห็นว่าของกลางมีเพียงเล็กน้อยและจำเลยอายุ 20 ปี ยังเป็นนักศึกษา จึงเห็นควรปรับน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/1 วรรคสอง ปรับ 20,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี และปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี และคุมความประพฤติของจำเลยไว้ 2 ปี โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 8 ครั้ง ภายในกำหนดเวลาดังกล่าว และให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรมีกำหนด 20 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นเพียงยานพาหนะที่จำเลยใช้ในการเดินทาง ไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรงจึงไม่ริบ โจทก์อุทธรณ์ โจทก์ฎีกา พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง, 76/1 วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีระวางโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานจำหน่ายกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาต ยกฟ้องข้อหาผลิตกัญชา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8.
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น admin วันที่ตอบ 2014-09-21 21:01:28 |
[1] |