(ชำระหนี้ตามอำเภอใจ)อยากนำดอกเบี้ยที่จ่ายให้เจ้าหนี้ไปแล้วร้อยละ 20 มาหักจากต้นเงิน | |
แม่ยืมเงินเจ้าหนี้มาร้อยละ 20 ต่อมาส่งดอกไม่ไหวเลยเลิกส่งต่อมาดิฉันไปคุยกับเจ้าหนี้ขอชดใช้เฉพาะต้นเงิน ทางเจ้าหนี้ภายหลังก็ยินยอมแล้ว อย่างนี้จะขอนำเงินที่จ่ายค่าดอกเบี้ยไปแล้วร้อยละ 20 ที่ผิดกฎหมายมาหักกับต้นเงินได้หรือไม่ | |
ผู้ตั้งกระทู้ ธิดา :: วันที่ลงประกาศ 2008-01-17 16:20:32 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (1615205) | |
การคิดดอกเบี้ยกฎหมายกำหนดไว้ไม่ให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 654 "ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ถ้าในสัญญากำหนดดอกเบี้ยเกินกว่านั้น ก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละสิบห้าต่อปี" ดังนั้นที่เจ้าหนี้ที่คุณแม่คุณกู้เงินมาและได้คิดดอกเบี้ยร้อยละ 20 ต่อเดือนนั้นจึงผิดกฎหมายย่อมตกเป็นโมฆะ แต่เป็นโมฆะเฉพาะดอกเบี้ยเท่านั้น ส่วนต้นเงินยังสมบูรณ์อยู่จึงต้องคืนต้นเงินให้แก่เจ้าหนี้ไป นอกจากนี้ยังมีพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราฝ่าฝืนเป็นความผิดมีโทษทางอาญาไว้ด้วยคือ " พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 "บุคคลใด (ก) ให้บุคคลอื่นยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ หรือ (ข) ............................................... (ค) .............................................. ท่านว่าบุคคลนั้นมีความผิดฐานเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ" กรณีต่อไปก็คือ ดอกเบี้ยที่แม่ของคุณชำระให้แก่เจ้าหนี้ไปแล้วนั้นจะเรียกคืนไม่ได้เพราะถือว่าได้ชำระไปโดยอำเภอใจเป็นการชำระที่ฝ่าฝืนกฎหมายครับ จึงเรียกคืนหรือนำมาหักต้นเงินอีกไม่ได้ครับ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-01-18 13:17:30 |
ความคิดเห็นที่ 2 (1615206) | |
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2167/2545
โจทก์คิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3ประกอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 มีผลให้ดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะ แต่เมื่อจำเลยชำระดอกเบี้ยดังกล่าวด้วยความสมัครใจตามที่ตกลงกู้ยืมเงินกับโจทก์ จึงเป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจและเป็นการชำระหนี้อันเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายตามมาตรา 407 และ 411 จำเลยจะเรียกดอกเบี้ยคืนหรือนำมาหักชำระหนี้ต้นเงินหาได้ไม่ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2541 จำเลยกู้เงินไปจากโจทก์จำนวน 200,000 บาท คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี กำหนดชำระเงินคืนภายในวันที่ 30 เมษายน 2543 โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยไม่ชำระขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 227,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 200,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การว่า จำเลยเคยกู้เงินโจทก์จำนวน 200,000 บาทโจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 3 ต่อเดือน ในวันกู้โจทก์หักดอกเบี้ยไว้จำนวน 6,000 บาท คงให้เงินจำเลยเพียง 194,000 บาท ส่วนข้อความในสัญญากู้ว่าอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี โจทก์ทำปลอมขึ้น ภายหลังกู้เงินจำเลยจ่ายดอกเบี้ยไปจำนวน 80,000 บาท คงเป็นหนี้เฉพาะต้นเงิน114,000 บาท เหตุที่จำเลยงดผ่อนชำระเนื่องจากโจทก์คิดดอกเบี้ยผิดกฎหมาย และขู่บังคับให้จำเลยโอนที่ดินให้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2543 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยได้กู้เงินไปจากโจทก์จำนวน 200,000 บาท โดยตกลงคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 3 ต่อเดือน จำเลยได้ชำระดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวให้โจทก์แล้วเป็นเงินจำนวน 80,000 บาท คงมีประเด็นข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยจะนำเงินที่ชำระเป็นดอกเบี้ยดังกล่าวไปหักชำระหนี้ต้นเงินจากโจทก์ได้หรือไม่ เห็นว่า แม้การกระทำของโจทก์ที่คิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดจะเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 อันมีผลให้ดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะ แต่เมื่อจำเลยชำระดอกเบี้ยดังกล่าวด้วยความสมัครใจตามที่ตกลงกับโจทก์ไว้ จึงเป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจและเป็นการชำระหนี้อันเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 407 และ 411 จำเลยจะเรียกเงินดอกเบี้ยจำนวนดังกล่าวคืน หรือนำมาหักชำระหนี้ต้นเงิน200,000 บาท หาได้ไม่อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-01-18 13:26:18 |
ความคิดเห็นที่ 3 (1615207) | |
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 407 "บุคคลใดได้กระทำการอันใดตามอำเภอใจเหมือนหนึ่งว่าเพื่อชำระหนี้โดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระ ท่านว่าบุคคลผู้นั้นหามีสิทธิจะได้รับคืนทรัพย์ไม่" | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-01-18 13:36:06 |
ความคิดเห็นที่ 4 (1615208) | |
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 411 "บุคคลใดได้กระทำการเพื่อชำระหนี้ เป็นการอันฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี ท่านว่า บุคคลนั้นหาอาจจะเรียกร้องคืนทรัพย์ได้ไม่" | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-01-18 13:38:16 |
ความคิดเห็นที่ 5 (1615209) | |
แม้ข้อตกลงในสัญญากู้ที่ให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดจะตกเป็นโมฆะมีผลให้โจทก์หมดสิทธิที่จะเรียกดอกเบี้ยตามสัญญาได้ก็ตาม แต่เมื่อเป็นหนี้เงินซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ให้คิดดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดได้ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี โจทก์จึงมีสิทธิที่จะได้ดอกเบี้ยตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3053/2533
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์จำนวน 79,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2528 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยได้แจ้งย้ายภูมิลำเนาจากบ้านเลขที่ 109 หมู่ 1 ตำบลและอำเภอพุทพชไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ไปอยู่บ้านเลขที่ 3/1293 ตำบลคลองถนน อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานครตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2528 โจทก์ฟ้องวันที่ 24 กันยายน 2528หลังจากจำเลยย้ายภูมิลำเนา 1 เดือน จึงถือได้ว่า จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจศาลแพ่ง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์นั้น ได้ความว่า ทนายโจทก์ไปยื่นคำร้องต่อนายทะเบียนท้องถิ่นเขตบางเขนขอคัดสำเนาทะเบียนบ้านดังกล่าวปรากฏว่าเจ้าหน้าที่หาเลขที่บ้าน 3/1293 ตำบลคลองถนน อำเภอบางเขนกรุงเทพมหานคร ที่จำเลยแจ้งประสงค์จะย้ายเข้าไปไม่พบ ทนายโจทก์จึงขอคัดสำเนาทะเบียนบ้านเลขที่ 3/1193/ หมู่ 6 ตำบลคลองสานอำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร ซึ่งโจทก์ทราบจากนายสมชาย มันตาเสรีบุตรจำเลย ปรากฏว่าเป็นบ้านของนางสาววรรษมน มันตาเสรี บุตรสาวของจำเลย แต่ไม่มีชื่อจำเลยย้ายเข้า ซึ่งนายทะเบียนท้องถิ่นรับรองสำเนาเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2528 เห็นว่า จำเลยแจ้งย้ายออกจากบ้านเดิมที่จังหวัดบุรีรัมย์แล้วไม่แจ้งย้ายเข้าบ้านที่แจ้งไว้ในกรุงเทพมหานคร จึงไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยไปอยู่ที่ใดทั้งยังได้ความว่า จำเลยแจ้งย้ายออกเฉพาะตัวจำเลยคนเดียวมิได้แจ้งย้ายครอบครัวไปด้วย แสดงว่าไม่มีเจตนาย้ายถิ่นที่อยู่ และจงใจจะเปลี่ยนภูมิลำเนา ต้องถือว่าจำเลยมีภูมิลำเนาครั้งสุดท้ายอยู่ที่บ้านเลขที่ 109 หมู่ 1 ตำบลพุทไธสง อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอศาลจังหวัดบุรีรัมย์ โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลดังกล่าวได้ จำเลยฎีกาว่า ข้อตกลงในสัญญากู้ที่ให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเมื่อจำเลยผิดนัดในอัตราสูงสุดของธนาคารเป็นโมฆะเพราะอัตราดอกเบี้ยของธนาคารสูงกว่าร้อยละสิบห้าต่อปีที่เอกชนผู้ให้กู้จะเรียกร้องเอาได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเลยนั้น เห็นว่า แม้ข้อตกลงให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ข้อกำหนดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ มีผลให้โจทก์หมดสิทธิที่จะเรียกดอกเบี้ยตามสัญญาได้ก็ตาม แต่เมื่อเป็นหนี้เงินซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 224 ให้คิดดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดได้ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีโจทก์จึงมีสิทธิที่จะได้ดอกเบี้ยตามบทกฎหมายดังกล่าว พิพากษายืน | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-01-18 14:04:25 |
ความคิดเห็นที่ 6 (1615210) | |
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 "หนี้เงินนั้น ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัด การพิสูจน์ค่าเสียหายอย่างอื่นนอกกว่านั้น ท่านอนุญาตให้พิสูจน์ได้" | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-01-18 14:09:15 |
ความคิดเห็นที่ 7 (2399433) | |
ชำระหนี้ตามอำเภอใจ(มาตรา 407),สัญญาหมั้นตกเป็นโมฆะ, ไม่ทราบว่าหญิงอายุไม่ครบ 17 ปี, ต้องคืนของหมั้นและสินสอด | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร. 085-9604258 วันที่ตอบ 2013-08-12 16:32:10 |
[1] |