ขอความช่วยเหลือกรณีเรื่องค่าสินสอดกรณีที่แต่งงานตามประเพณีแล้วฝ่ายหญิงไปร่วมหลับนอนกับชายอื่น | |
กรณีตามข้อเท็จจริง มีการทำสัญญาหมั้นโดยปรากฏตามหลักฐานสัญญาหมั้น ดดยมอบเงินสด จำนวน 50000 บาทเป็นของหมั้น ส่วนเงินที่เหลือ 100000 บาทจะมอบให้เป็นเงินค่าสินสอดทองหมั้น ในวันแต่งงานตามประเพณี ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญา ให้ปรับ 2 เท่าของเงินสินสอด ปัญหา 1. ในวันแต่งงานตามประเพณี มีการเลี้ยงแขกตามประเพณีพื้นบ้าน แล้วคู่บ่าวสาว ค้างที่บ้านเจ้าสาว 3 คืน แต่พฤติการณ์ ในเวลา 3 คืน เจ้าสาวเข้าเวรดึกตลอด และทำงานในช่วงกลางวันด้วย ( เป็นผู้ช่วยพยาบาล) 2. พอครบสามเวร เจ้าสาวก็มีพฤติการณ์ที่เข้าเวรดึกทุกวันหลังผ่านพ้น 3 คืนแรก และพักที่แฟลตโรงพยาบาลทุกวัน เจ้าบ่าวเลยมาค้างที่บ้าน 3. พอเจ้าบ่าวดทรถามก็พยายามที่จะไม่รับบ่ายเบี่ยงมีพฤติการณืที่เปลี่ยนไป และได้ขออนุญาตไปเที่ยวกับเพื่อนที่อื่นหลังจากแต่งงานได้ประมาณ 7 วัน คือวันที่ 7 หลังจากไม่มีเวร ทำงานแล้ว เจ้าบ่าวก็โทรหา ติดต่อไม่ได้ ตลอดเวลาที่ไปเที่ยว 3 วัน คือ ไปเย็นวันศุกร์กลับเที่ยงวันอาทิตย์ เจ้าบ่าวเริ่มที่จะสงสัยก็เลยติดตามสอบถามพฤติกรรมจากเพื่อนร่วมงาน และได้เข้าไปในห้องพัก มีโทรศัพท์ของเจ้าสาวและมีข้อความโทรเข้าบ่อยเช็คดูจึงรู้ว่าเป็นเบอร์ชายอื่น จึงสอบถามได้ความพอคราวๆว่าเป็นเบอร์โทรของชายอื่นในที่ทำงานเดียวกัน ในโรงพยาบาล และชายอื่นก้มีพฤติกรรมที่น่าสงสัยเพราะไม่ได้มาทำงานในวันเสาร์ อาทิตย์ พร้อมกัน จนมีพ่อชายอื่นมาถามหาที่โรงพยาบาลในเช้าวันอาทิตย์ 4. พอวันอาทิตย์กลับมาเจ้าบ่าวโทรหาไม่รับสาย มารับสายช่วงบ่ายๆ ประมาณ 2 โมงกว่าๆ และบอกว่าค่อยคุยกันอีก 2 วัน ในวันอังคาร คุยกันเจ้าสาวก็สารภาพหมดว่ามีอะไรกับชายอื่น สร้างความตะลึงแก่ฝ่ายชายและในวันดังกล่าวพฤติการณืก็ไปด้วยกัน (ด้วยความเคารพสงสารเจ้าบ่าว) จึงได้พูดคุยกันกับเจ้าสาว เจรจากับฝ่ายหญิง ในวันพฤหัสบดี โดยฝ่ายชายตัดสินใจไม่อยู่กับฝ่ายหญิงแน่นอน ไม่อยากมีผัวสองเมียหนึ่งภาษาชาวบ้าน แต่โดยฝ่ายหญิงจะขอกลับมาอยู่กับฝ่ายชาย 5. ฝ่ายชาวโดย เฒ่าแก่ฝ่ายชาย ได้ขอให้คืนค่าสินสอดทองหมั้น อยากทราบว่ากรณีดังกล่าวจะเรียกคืนของหมั้นและค่าสินสอดได้หรือไม่ ( ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายสารภาพเองว่ามีอะไรกับชายอื่นและลืมชายอื่นไม่ได้ แต่พอฝ่ายชายของคืนของหมั้นและค่าสินสอดจะอยู่กับฝ่ายชาย ) 6. ค่าสินสอดตามกฏหมาย คือค่าตอบแทนที่ฝ่ายชายมอบให้ฝ่ายหญิงเพื่อเป็นการตอบแทนที่หญิงยอมแต่งงานด้วย ( ในข้อเท็จจริงเป็นการแต่งงานตามประเพณี เรียกคืนได้หรือไม่ เพราะมีฎีกาตัดสินว่าเรียกคืนไม่ได้) 7. ในสัญญาหมั้นระบุว่าเงินที่เหลือ 100000 ให้เป็นสินสอดทองหมั้น ในวันแต่งงานตามประเพณี ( กรณีตามข้อเท็จจริง การแต่งงานมีได้ทั้ง ตามประเพณี หรือจดทะเบียนหรือเปล่า 8. เหตุที่เกิดขึ้น เป็นเหตุที่เกิดจากฝ่ายมีพฤติการณ์ที่ไม่ควรสมรส ( ฝ่ายหญิงได้กล่าวสารภาพแก่ฝ่ายชาย ว่าเคยมีอะไรกับชายอื่นมาก่อนแล้ว โดยฝ่ายชายไม่รู้เห็น 9. ประเด็นสำคัญการแต่งงานตามประเพณีนั้นจะเรียกค่าสินสอดคืนได้หรือไม ซึ่งตามฎีกาเคยวางหลังว่าการแต่งงาน มีได้ 2 กรณี แต่งงานตามประเพณี และจดทะเบียนสมรส 10 . เจรจากันแล้วฝ่ายหญิงไม่ยอมคืนทั้งของหมั้นและสินสอดจากการแต่งงานตามประเพณี ไม่ทราบว่าจะมีทางต่อสู้อย่างไร 11. จะบอกเลิกการหมั้นได้ไหม 12. จะเรียกค่าตอบแทนได้หรือเปล่า ขอขอบคุณไว้ล่วงหน้าที่ให้ความช่วยเหลือ ขอบคุณครับผม | |
ผู้ตั้งกระทู้ mex (nextnooi-at-hotmail-dot-com) :: วันที่ลงประกาศ 2010-03-04 17:10:20 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2042268) | |
ตามข้อเท็จจริงที่ให้มา ถือว่ามีกรณีสำคัญอันเกิดเเก่หญิง ทำให้ชายคู่หมั้นไม่สมควรสมรสกับหญิงนั้น ดังนั้นชายคู่หมั้นมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้น และให้หญิงคืนของหมั้นให้เเก่ชาย คำว่าสมรส ผมหมายถึงการจดทะเบียนสมรสตามกฏหมายครับ ส่วนค่าตอบเเทนเรียกไม่ได้ครับ แต่ค่าทดแทนอาจจะเรียกได้ เจรจากันก่อนดีกว่าครับ คดีประเภทนี้ขึ้นศาลแล้วต่างฝ่ายต่างต้องสาวไส้ให้กากิน
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทรงภพ (Songphobk-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-03-06 21:21:39 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2399412) | |
มีการหมั้นกันตามประเพณี, ไม่มีเจตนาจดทะเบียนสมรส เรียกของหมั้นและสินสอดคืนไม่ได้ โจทก์ที่ 2 กับจำเลยที่ 3 เพียงแต่ประกอบพิธีแต่งงานเพื่ออยู่กินกันตามประเพณีโดยไม่มีเจตนาจะจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายเงินทั้งหลายที่ฝ่ายโจทก์มอบให้ฝ่ายหญิง จึงไม่ใช่ของหมั้นและสินสอดตามกฎหมาย แม้จะมีการหมั้นกันตามประเพณีและมอบทรัพย์สินให้แก่กันในขณะจำเลยที่ 3 อายุยังไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ โจทก์ก็หามีสิทธิเรียกคืนไม่ มาตรา 1437 การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น มาตรา 1439 เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 เรียกสินสอดจากโจทก์อย่างเดียวเป็นเงิน 15,000 บาท หลังทำการสมรสโจทก์ที่ 2 อยู่กินกับจำเลยที่ 3 เป็นเวลา 2 เดือนเศษ แล้วออกจากบ้านไปเองโจทก์ที่ 2 ไม่เคยเรียกร้องให้มีการจดทะเบียนสมรสจำเลยที่ 3 ยังพร้อมที่จะจดทะเบียนสมรสและอยู่กินกับโจทก์ที่ 2 จำเลยทั้งสามไม่ผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน15,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามไม่ต้องคืนเงินของหมั้นและเงินสินสอดแก่โจทก์ทั้งสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏจากการนำสืบของโจทก์ว่า ทั้งก่อนและในวันแต่งงานฝ่ายโจทก์ได้เคยพูดกับทางฝ่ายจำเลยถึงเรื่องการจดทะเบียนสมรสให้เป็นกิจจะลักษณะ ตลอดเวลาที่อยู่กินด้วยกันประมาณ 1 เดือน โจทก์ที่ 2 ก็ไม่เคยขอให้จำเลยที่ 3ไปจดทะเบียนสมรส กลับได้ความจากโจทก์ที่ 2 เองว่า โจทก์ที่ 2ไม่เคยมีความคิดที่จะจดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 3 มาก่อน โจทก์ที่ 2ไปขอให้จำเลยที่ 3 ไปจดทะเบียนสมรสตามคำแนะนำของทนายความนอกจากนั้นโจทก์ที่ 2 ยังเบิกความว่า แม้จำเลยที่ 3 อายุไม่ครบ17 ปี โจทก์ที่ 2 ก็จะแต่งงานด้วย ซึ่งแสดงว่าโจทก์ที่ 2 มุ่งประสงค์จะแต่งงานอยู่กินกับจำเลยที่ 3 ตามประเพณีเป็นสำคัญหาได้นำพาต่อการจดทะเบียนสมรสไม่ เมื่อโจทก์ที่ 2 กับจำเลยที่ 3 เพียงแต่ประกอบพิธีแต่งงานเพื่ออยู่กินกันตามประเพณี ไม่มีเจตนาจะจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย เงินทั้งหลายที่ฝ่ายโจทก์มอบให้แก่ฝ่ายจำเลยจึงไม่ใช่ของหมั้นและสินสอดตามกฎหมาย แม้จะมีการหมั้นกันตามประเพณีและมอบทรัพย์สินให้แก่กัน ในขณะที่จำเลยที่ 3อายุยังไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ โจทก์ก็หามีสิทธิเรียกคืนไม่ พิพากษายืน
( สมศักดิ์ วิธุรัติ - เทพฤทธิ์ ศิลปานนท์ - สมมาตร พรหมานุกูล )
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร. 085-9604258 วันที่ตอบ 2013-08-12 15:25:24 |
[1] |