ต้นไม้บนที่ดิน | |
เรียนคุณลีนน ขอคำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องต้นไม้บนที่ดินครับ เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้วผมได้ทำสัญญาซื้อที่ดินเนื่อที่ประมาณ 100 ตารางวาที่ โดยผ่อนส่งเดือนละ 1000 บาทจนกว่าจะหมดกับเจ้าของที่เดิม โดยมีสัญญาจะซื้อจะขายเรียบร้อย ที่ผ่านมา ผมและคุณแม่ได้นำต้นลีลาวดี เข้าไปปลูกบนผืนดินนั้นประมาณ 100 ต้นแต่ไม่นานทางผมเองมีปัญหาเรื่องการเงิน ไม่สามารถผ่อนส่งได้เป็นเวลาหลายงวด ทางเจ้าของที่เดิม จึงขอยึดที่คืนซึ่งทางผมเองก็ยินยอมโดยเจ้าของที่เดิมสัญญาว่าจะคืนเงินที่ส่งมาแล้วบางส่วนให้ทันทีที่มีผู้ซื้อที่ดินนั้นต่อด้วยเงินสด และเมื่อวันอังคารที่ 22/7ได้มีผู้ซื้อที่ดินนี้ต่อโดยจ่ายเป็นเช็คเ งินสด แต่ทางเจ้าของที่เดิมได้ บ่ ยนเบี่ยงว่ายังไม่ได้จ่ายเงินทั้งหมดจึงยังไม่คืนเงินส่วนที่สัญญาว่าจะให้ซึ่งประเด็นนี้ทางผมคงต้องรอ เพราะเขาบอกว่าอีกประมาณ 20 วัน(ทราบว่าเป็นเช็คเงินสด เนื่องจากสืบทราบมา ไม่เป็นด้วยต เพราะไม่ได้อยู่เวลาเขาจ่ายเงินกัน ) แต่มีประเด็นอื่นเข้ามาแทรกครับต้นไม้ที่อยู่บนผืนดินนั้น ผมสามารถทางเจ้าของที่ใหม่บอกว่าห้ามตัดถ้าตัดมีเรื่อง เพราะเขาเป็นเจ้าที่แล้ว ผมอยากถามว่า ผมสามารถทำอะไรกับต้นไม้เหล่านั้นได้บ้างหรือได้หรือไม่ เพราะเจ้าของที่ใหม่บอกว่าเขาจ่ายเงินหมดแล้ว แต่เจ้าของที่เดิมบอกว่าจ่ายแค่เงินมัดจำเท่านั้นยังไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ขอรบกวนด้วยครับ | |
ผู้ตั้งกระทู้ สายชล :: วันที่ลงประกาศ 2008-07-25 10:51:50 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (1807821) | |
มาตรา 139 อสังหาริมทรัพย์ หมายความว่าที่ดินและทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดินมีลักษณะเป็นการถาวรหรือประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดินนั้นและหมายความรวมถึงทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับที่ดินหรือทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดินหรือประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดินนั้นด้วย มาตรา 144 ส่วนควบของทรัพย์หมายความว่าส่วนซึ่งโดยสภาพแห่งทรัพย์หรือโดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของทรัพย์นั้นและไม่อาจแยกจากกันได้นอกจากจะทำลายทำให้บุบสลายหรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือ สภาพไป เจ้าของทรัพย์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในส่วนควบของทรัพย์นั้น
มาตรา 145 ไม้ยืนต้นเป็นส่วนควบกับที่ดินที่ไม้นั้นขึ้นอยู่ กฎหมายบอกว่าไม้ยืนต้นเป็นส่วนควบกับที่ดิน และเจ้าของที่ดินเป็นเจ้าของส่วนควบซึ่งหมายถึงต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ในที่ดินนั้นด้วยครับ ประเด็นคำถามของคุณนั้นเมื่อคุณใช้สิทธิปลูกต้นไม้ตามสัญญาจะซื้อขายคุณน่าจะเจรจากับเจ้าของที่ดินเดิมตกลงกับผู้ซื้อคนใหม่ว่าขายที่ดินไม่รวมกับต้นไม้โดยอนุญาตให้คุณขนย้ายต้นไม้ออกไปได้ หากเจ้าของไม่ให้ความร่วมมือก็คงเสียเปรียบผู้ซื้อคนใหม่อยู่ดีเพราะถ้าเขาโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเมื่อใดต้นไม้ก็เป็นของเขาทันทีตามหลักกฎหมายที่ผมยกมาให้ดูนั้นครับผม
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-07-25 16:09:21 |
ความคิดเห็นที่ 2 (1807863) | |
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินอันเป็นทรัพย์สินของรัฐ หากข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้โจทก์จะเข้าปลูกต้นยูคาลิปตัสโดยสุจริต ก็หาอาจใช้ยันจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐได้ไม่ และต้นยูคาลิปตัสในที่ดินพิพาทที่โจทก์ปลูกย่อมไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่จะถือว่าไม่เป็นส่วนควบของที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 146 หากให้โจทก์ตัดต้นยูคาลิปตัสไปในระหว่างพิจารณา ภายหลังจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีย่อมจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐได้ จึงสมควรสั่งห้ามไม่ให้โจทก์เข้าตัดฟันต้นยูคาลิปตัสในที่ดินพิพาทระหว่างพิจารณาคดีไว้เป็นการชั่วคราว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้ศาลสั่งห้ามจำเลยทั้งสองเกี่ยวข้องและห้ามกระทำการใดอันเป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์และให้จำเลยทั้งสองระงับงดเว้นการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงในที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองให้การเป็นสาระสำคัญว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่พลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกันโจทก์ไม่มีสิทธิในที่ดิน ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้คุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา ห้ามโจทก์ตัดต้นยูคาลิปตัสในที่ดินพิพาท ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ห้ามโจทก์ตัดต้นยูคาลิปตัสในที่ดินพิพาทในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้เข้าครอบครองและปลูกต้นยูคาลิปตัสในที่ดินพิพาทและจะเข้าทำการตัดต้นไม้ดังกล่าว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า มีเหตุสมควรที่ศาลจะมีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างพิจารณาหรือไม่ ที่โจทก์ฎีกาว่า ต้นยูคาลิปตัสที่โจทก์ปลูกในที่ดินพิพาทไม่เป็นส่วนควบของที่ดินเพราะโจทก์ปลูกเพื่อตัดขายเป็นการปลูกลงในที่ดินเป็นการชั่วคราวและโจทก์เข้าปลูกโดยสุจริตจึงมีสิทธิในต้นยูคาลิปตัสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310, 1313, 1314 และมาตรา 1316 นั้น เห็นว่าต้นยูคาลิปตัสเป็นต้นไม้ที่มีอายุหลายปี โดยสภาพถือว่าเป็นไม้ยืนต้น จึงเป็นส่วนควบกับที่ดินที่ไม้นั้นขึ้นอยู่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 145 วรรคหนึ่ง แม้โจทก์จะอ้างว่าปลูกไว้เพื่อตัดขาย เป็นการปลูกลงในพื้นดินเป็นการชั่วคราว แต่โจทก์ก็รับว่าจะต้องใช้เวลาปลูกนานประมาณ3 ถึง 5 ปี จึงจะตัดฟันนำไปใช้ประโยชน์ได้ และหลังจากตัดฟันแล้วตอที่เหลือก็จะแตกยอดเจริญเติบโตขึ้นเป็นลำต้นใหม่ หลังจากนั้นประมาณ 3 ปี ก็จะเจริญงอกงามเหมือนเดิม แสดงให้เห็นว่า โจทก์มีเจตนาปลูกต้นยูคาลิปตัสไว้เพื่อใช้ประโยชน์เป็นช่วงระยะเวลานานตลอดไป หาใช่ปลูกแล้วตัดฟันใช้ครั้งเดียวก็สิ้นสุด อันจะทำให้ต้นยูคาลิปตัสที่ปลูกเป็นทรัพย์ที่ติดกับที่ดินชั่วคราวดังที่โจทก์อ้าง ฉะนั้น ต้นยูคาลิปตัสจึงเป็นส่วนควบของที่ดินพิพาท คดีนี้จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินอันเป็นทรัพย์สินของรัฐ หากข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายแม้โจทก์จะเข้าปลูกต้นยูคาลิปตัสโดยสุจริต ก็หาอาจใช้ยันจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐแต่อย่างใดไม่ และต้นยูคาลิปตัสในที่ดินพิพาทที่โจทก์ปลูกย่อมไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่จะถือว่าไม่เป็นส่วนควบของที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 146 ฉะนั้น หากให้โจทก์ตัดต้นยูคาลิปตัสไปในระหว่างพิจารณา ภายหลังจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีย่อมจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐได้ จึงสมควรที่จะสั่งห้ามไม่ให้โจทก์เข้าตัดฟันต้นยูคาลิปตัสในที่ดินพิพาทระหว่างพิจารณาคดีไว้เป็นการชั่วคราว" พิพากษายืน ( สุรพล เจียมจูไร - ธีระจิต ไชยาคำ - บัญชา สหเกียรติมนตรี )
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7340/2542 นายวิชิต แสงทอง โจทก์/ กรมที่ดิน กับพวก จำเลย
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-07-25 16:51:34 |
ความคิดเห็นที่ 3 (4321886) | |
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6666/2561 แม้ปาล์มน้ำมันที่ให้ผลผลิตผลปาล์มน้ำมันของกลางจะเกิดจากการเพาะปลูกของบริษัท บ. ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐ แต่ต้นปาล์มน้ำมันดังกล่าวเป็นไม้ยืนต้นที่ปลูกบนที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาที่รัฐอนุญาตแล้ว ไม่ปรากฏว่ารัฐหรือบริษัท บ. ได้ดำเนินการให้รื้อถอนต้นปาล์มออกไป แสดงว่าต่างมีความประสงค์ให้ต้นปาล์มน้ำมันเป็นส่วนควบของผืนป่า และเป็นส่วนหนึ่งของต้นไม้ที่เกิดขึ้นหรือมีอยู่ในป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าว ผลปาล์มน้ำมันของกลางที่เกิดจากต้นปาล์มน้ำมันนั้น จึงเป็นดอกผลที่เกิดขึ้นหรือมีอยู่ในป่า ผลปาล์มน้ำมันจึงเป็นของป่า จำเลยเข้าไปเก็บเกี่ยวผลปาล์มน้ำมันของกลาง การกระทำของจำเลยจึงครบองค์ประกอบความผิด อันเป็นความผิดฐานเก็บของป่าตามมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 และผลปาล์มน้ำมันของกลางย่อมเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดจึงต้องริบ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความลีนนท์ 085-9604258 วันที่ตอบ 2019-08-03 19:55:51 |
[1] |