ขโมยข้อมูคอมพิวเตอร์บริษัทผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ | |
คำพิพากษาฎีกาที่ 5161/2547 ละบุว่าไม่ผิดฐานลักทรัพย์ เพราะถือว่าไม่ใช้ทรัพย์สิน แต่กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาถือว่าผิด | |
ผู้ตั้งกระทู้ สมใจ :: วันที่ลงประกาศ 2009-11-08 15:18:29 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2004409) | |
มาตรา 137 ทรัพย์ หมายความว่าวัตถุมีรูปร่าง มาตรา 138 ทรัพย์สิน หมายความรวมทั้งทรัพย์และวัตถุไม่มีรูปร่าง ซึ่งอาจมีราคาและอาจถือเอาได้ กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาบัญญัติขึ้นมาโดยมีเจตนารมณ์เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้สร้าง ผู้ประดิษฐ์ งานต่างๆเหล่านั้น ดังนั้นทรัพย์สินทางปัญญาจึงไม่ใช่ทรัพย์ครับ การละเมิดสิทธิในทางทรัพย์สินทางปัญญา จึงไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ ตามที่ศาลฎีกา วินิจฉัยไว้ดังกล่าวครับ ที่คุณเข้าใจว่าในทางทรัพย์สินทางปัญญาถือว่าผิดนั้น ก็เป็นการผิดตามกฎหมายเฉพาะเหล่านั้น แต่ไม่ได้ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ครับ เพื่อประโยชน์สำหรับผู้อ่านท่านอื่นจึงได้คัดลอกคำพิพากษาศาลฎีกามาให้อ่านครับ คำพิพากษาที่ 5161/2547
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมต่อไปว่า การที่จำเลยนำแผ่นบันทึกข้อมูลเปล่าลอกข้อมูลจากแผ่นบันทึกข้อมูลที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของโจทก์ร่วม เป็นความผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ โจทก์ร่วมฎีกาว่าข้อมูลใน เครื่องคอมพิวเตอร์ของโจทก์ร่วมมีรูปร่างเป็นตัวอักษร ภาพ แผนผังและตราสาร จึงเป็นทรัพย์ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๗ การที่จำเลยเอาข้อมูลของโจทก์ร่วมดังกล่าวไป จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ เห็นว่า ข้อมูล ตามพจนานุกรมให้ ความหมายว่า "ข้อเท็จจริง หรือสิ่งที่ถือหรือยอมรับว่าเป็นข้อเท็จจริง สำหรับใช้เป็นหลักอนุมานหาความจริงหรือ การคำนวณ" ส่วนข้อเท็จจริงหมายความว่า "ข้อความแห่งเหตุการณ์ที่เป็นมาหรือที่เป็นอยู่ตามจริง ข้อความหรือ เหตุการณ์ที่จะต้องวินิจฉัยว่าเท็จหรือจริง" ดังนั้นข้อมูลจึงไม่นับเป็นวัตถุมีรูปร่าง สำหรับตัวอักษร ภาพ แผนผัง และตราสาร เป็นเพียงสัญญลักษณ์ที่ถ่ายทอดความหมายของข้อมูลออกจากแผ่นบันทึกข้อมูลโดยอาศัยเครื่องคอมพิวเตอร์ มิใช่รูปร่างของข้อมูล เมื่อ ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๗ บัญญัติว่า ทรัพย์ หมายความว่า วัตถุมีรูปร่าง ข้อมูลในแผ่นบันทึกข้อมูลจึงไม่ถือเป็นทรัพย์การที่จำเลยนำแผ่นบันทึกข้อมูลเปล่าลอกข้อมูลจากแผ่นบันทึกข้อมูลของโจทก์ร่วม จึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามฟ้อง ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ร่วมทุกข้อฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน.
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2009-11-08 16:38:53 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2004623) | |
หมายเหตุ
ท่านอาจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ อธิบายว่า ตาม ป.อ. มาตรา 334 ใช้คำว่าเอาทรัพย์ของผู้อื่น ฯลฯ ไป ฯลฯ ตราบใดที่ยังไม่มีบทกฎหมายเฉพาะสำหรับเรื่องกระแสไฟฟ้า ศาลก็ต้องตีความคำว่า "ทรัพย์" ว่าหมายความถึงกระแสไฟฟ้าด้วยหรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 877/2501 ตัดสินว่า การลักกระแสไฟฟ้าย่อมเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 334 หรือ 335 แล้วแต่กรณี และศาลฎีกาในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6384/2547 ตัดสินยืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ในข้อที่ว่า จำเลยลักคลื่นสัญญาณโทรศัพท์จากสายสัญญาณและตู้โทรศัพท์สาธารณะของผู้เสียหายไปโดยทุจริต ท่านอาจารย์จิตติ อธิบายต่อไปว่า ทรัพย์สินที่ไม่มีรูปร่างจับต้องไม่ได้ เช่น สิทธิเรียกร้องลิขสิทธิ์ สิทธิในเครื่องหมายการค้า สิทธิในการประดิษฐ์ หรือสิทธิในชื่อการค้า ฯลฯ ไม่เป็นสิ่งที่ลักได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่กำลังบันทึกหมายเหตุอยู่นี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยลักข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าของโจทก์ร่วม จำพวกที่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับการแปลเอกสารและแบบร่างสัญญาภาษาอังกฤษ โดยศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า จำเลยนำเอาแผ่นบันทึกมูลเปล่าของจำเลยเองมาคัดลอกข้อมูลดังกล่าวจากแผ่นบันทึกข้อมูลที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของโจทก์ร่วม น่าสังเกตว่าคดีนี้โจทก์มิได้ฟ้องว่าจำเลยลักแผ่นบันทึกข้อมูลของโจทก์ร่วมไปซึ่งแน่นอนว่าตัวแผ่นบันทึกข้อมูลนั้นย่อมเป็นทรัพย์ เป็นวัตถุมีรูปร่าง จับต้องได้ และย่อมเป็นสิ่งที่ลักเอาไปได้โดยไม่ต้องสงสัย แต่เมื่อสิ่งที่จำเลยถูกกล่าวหาว่าลักไปในคดีนี้คือ ข้อมูล จึงมีปัญหาที่ศาลฎีกาต้องวางหลักการอีกครั้งว่า ข้อมูล เป็นวัตถุมีรูปร่างที่ลักได้หรือไม่ ข้อมูลในคดีนอกจากจะเป็นข้อเท็จจริงแล้วยังมีลักษณะเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์อีกด้วย พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2544 ได้นิยามว่าหมายความว่า ข้อความที่ได้สร้าง ส่ง รับ เก็บรักษา หรือประมวลผลด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น วิธีการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ โทรเลข โทรพิมพ์ หรือโทรสาร ซึ่งหากข้อมูลที่อยู่ในรูปอิเล็กทรอนิกส์เหล่านั้นถูกถ่ายทอดออกมาในรูปของเอกสาร แล้วจำเลยเอาเอกสารเหล่านั้นไปเสีย ก็น่าคิดว่าจะเป็นการลักทรัพย์ที่เป็นเอกสารหรือเป็นการเอาไปเสียซึ่งเอกสาร มีข้อน่าสังเกตอีกประการหนึ่งอันสืบเนื่องมาจาก พ.ร.บ.ความลับทางการค้า พ.ศ.2545 ซึ่งได้นิยามความหมายของ "ความลับทางการค้า" ว่าหมายความว่า ข้อมูลการค้าซึ่งยังไม่รู้จักกันโดยทั่วไป หรือยังเข้าถึงไม่ได้ในหมู่บุคคลซึ่งโดยปกติแล้วต้องเกี่ยวข้องกับข้อมูลดังกล่าวโดยเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ในเชิงพาณิชย์เนื่องจากการเป็นความลับ และเป็นข้อมูลที่ผู้ควบคุมความลับทางการค้าได้ใช้มาตรการที่เหมาะสมเพื่อรักษาไว้เป็นความลับ โดยข้อมูลการค้าที่จะเป็นความลับทางการค้านั้นหมายความว่า เป็นสิ่งที่สื่อความหมายให้รู้ข้อความ เรื่องราว ข้อเท็จจริง หรือสิ่งใดไม่ว่าการสื่อความหมายนั้นจะผ่านวิธีการใด ๆ และไม่ว่าจะจัดทำไว้ในรูปใดๆ และให้หมายความรวมถึงสูตร รูปแบบ งานที่ได้รวบรวมหรือประกอบขึ้น โปรแกรม วิธีการ เทคนิค หรือกรรมวิธีด้วย และในมาตรา 6 ได้บัญญัติว่า การละเมิดสิทธิในความลับทางการค้าตามพระราชบัญญัตินี้ ได้แก่ การกระทำที่เป็นการเปิดเผย เอาไป หรือใช้ซึ่งความลับทางการค้าโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของความลับทางการค้านั้นอันมีลักษณะขัดต่อแนวทางปฏิบัติในเชิงพาณิชย์ที่สุจริตต่อกัน ทั้งนี้ ผู้ละเมิดจะต้องรู้หรือมีเหตุอันควรรู้ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการขัดต่อแนวทางปฏิบัติเช่นว่านั้น และการกระทำที่มีลักษณะขัดต่อแนวทางปฏิบัติในเชิงพาณิชย์ที่สุจริตต่อกันหมายความรวมถึงการผิดสัญญา การละเมิดหรือการกระทำในประการที่เป็นการจูงใจให้ละเมิดความลับอันเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจต่อกัน การติดสินบน การข่มขู่ การฉ้อโกง การลักทรัพย์ การรับของโจร หรือการจารกรรมโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือวิธีการอื่นใดด้วย จากบทบัญญัติดังกล่าวดูประหนึ่งว่าหากข้อมูลในคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้เป็นความลับทางการค้าแล้ว ก็สามารถที่จะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ได้ ตามกฎหมายอังกฤษ The Theft Act 1968 ศาลอังกฤษยังคงถือว่าความลับทางการค้า (Trade Secrets or Confidential Information) ไม่สามารถเป็นวัตถุแห่งการลักเอาไปได้" ทั้งนี้เนื่องจากข้อมูลอันเป็นความลับนั้นไม่ใช่ทรัพย์สิน (Property) ตามความมุ่งหมายของ The Theft Act เหตุผลหนึ่งคงเพราะแม้ความลับทางการค้าจะจัดว่าเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่ง ในประเภททรัพย์สินทางปัญญา แต่ก็เป็นการจัดให้เป็นเช่นนั้นเพื่อประโยชน์ในการให้ความคุ้มครองทางแพ่งแก่ความลับทางการค้าอันเป็นแนวความคิดในการส่งเสริมและปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาในเชิงเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม ในสหรัฐอเมริกาเองได้ใช้กฎหมายเฉพาะ (Theft and Larcery Statutes) ในการพิจารณาว่าข้อมูลอันเป็นความลับทางการค้านั้นสามารถเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ได้ สำหรับประเทศไทยนั้นดังได้กล่าวแล้วว่า พ.ร.บ.ความลับทางการค้า พ.ศ.2545 มาตรา 6 บัญญัติเป็นทำนองประหนึ่งว่าข้อมูลอันเป็นความลับทางการค้านั้นสามารถเป็นวัตถุแห่งการลักทรัพย์ได้ ในขณะที่ศาลฎีกาเองโดยคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้ เนื่องจากไม่มีประเด็นที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับสถานะของข้อมูลว่าเป็นความลับทางการค้าหรือไม่ จึงยังไม่อาจคาดหมายได้ว่า หากสิ่งที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยลักเอาไปเป็นข้อมูลอันเป็นความลับทางการค้า ศาลฎีกาจะวินิจฉัยว่าอย่างไร ...สอนชัย สิราริยกุล
*Addition สรุปเกี่ยวกับแนวคำพิพากษาศาลฎีกาในเรื่องการลักพลังงานนั้น ศาลฎีกาวางแนวบรรทัดฐาน(Precedent)ไว้ดังนี้ ตามแนวฎีกา แยกได้ 2 กรณี ดังนี้ กรณีแรก ลักทรัพย์ คือ การลักกระแสไฟฟ้า (ฎ. ประชุมใหญ่) และ การลักสัญญาณโทรศัพท์จากตู้โทรศัพท์สาธารณะ (ฎ.1880/2540 ประชุมใหญ่) กรณีที่สอง ไม่เป็นลักทรัพย์ คือ การลักลอบใช้สัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ (ฎ.5354/2539 และ ฎ.8177/2543)
แนวแรก มี 2 คำพิพากษา
ป.อ. มาตรา 334, 335 การลักกระแสไฟฟ้า ย่อมเป็นผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 หรือ 335 แล้วแต่กรณี (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2501)
พนักงานอัยการ จังหวัด ชัยภูมิ โจทก์ ป.อ. มาตรา 56, 334 คำว่า "โทรศัพท์" สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนอธิบายว่าโทรศัพท์เป็นวิธีแปลงเสียงพูดให้เป็นกระแสไฟฟ้าแล้วส่งกระแสไฟฟ้าให้กลับเป็นเสียงพูดอีกครั้งหนึ่ง สัญญาณโทรศัพท์จึงเป็นกระแสไฟฟ้าที่แปลงมาจากเสียงพูดเคลื่อนที่ไปตามสายลวดตัวนำจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง การที่จำเลย ลักเอาสัญญาณโทรศัพท์จากตู้โทรศัพท์แห่งประเทศไทยไปใช้ เพื่อประโยชน์ของจำเลยโดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์เช่นเดียวกับการลักกระแสไฟฟ้า จำเลยเป็นนักศึกษา อายุยังน้อย ประกอบกับได้ บรรเทาผลร้ายโดยชดใช้เงินให้แก่ผู้เสียหายไปแล้วและเพิ่ง กระทำความผิดครั้งนี้เป็นครั้งแรกจึงเห็นควรให้รอการลงโทษ จำเลยไว้ แต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำเห็นสมควรลงโทษปรับด้วย หมายเหตุ 2. จากข้อสังเกตตามข้อ 1 ข้างต้น จึงควรมีกฎหมายเฉพาะที่ใช้ในการวินิจฉัยคดีทำนองนี้ในอนาคต ไม่ใช่ยังคงอาศัยประมวลกฎหมายอาญาที่ร่างขึ้นมาภายใต้หลักกฎหมายและแนวความคิดที่แตกต่างจากวิวัฒนาการของโลกในปัจจุบัน 3. ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่กำลังศึกษาอยู่นี้ จำเลยกระทำผิดโดยลักสัญญาณโทรศัพท์จากผู้เสียหายคิดเป็นเงิน 861 บาท และ1,822 บาท ตามลำดับ แต่จำเลยต้องถูกปรับกระทงละ 2,000 บาทอีกสถานหนึ่ง โดยศาลฎีกามิได้อ้างเหตุผลไว้ในคำพิพากษาว่าศาลฎีกาเห็นอย่างไร คงมีเพียงว่า "เพื่อให้จำเลยหลาบจำ" ซึ่งคงเป็นเพราะคดีนี้กระทบต่อผลประโยชน์ของสาธารณชน หรือมิฉะนั้นก็คงเป็นเพราะศาลพยายามใช้โทษปรับให้มากขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่ลงโทษจำคุกซึ่งรอไว้อยู่แล้ว มิฉะนั้น จำเลยจะรู้สึกเหมือนไม่ได้รับโทษเท่าใดนัก พรชัยด่านวิวัฒน์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5354/2539 ป.อ. มาตรา 334 ป.วิ.อ. มาตรา 185 จำเลยนำโทรศัพท์มือถือมาปรับจูนและก๊อปปีคลื่นสัญญาณโทรศัพท์ของผู้เสียหายแล้วใช้รับส่งวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นเพียงการแย่งใช้คลื่นสัญญาณโทรศัพท์ของผู้เสียหายโดยไม่มีสิทธิ มิใช่เป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ แม้จำเลยให้การรับสารภาพ ก็ต้องพิพากษายกฟ้อง โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคมพ.ศ. 2498 มาตรา 4, 6, 22, 23 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334ริบของกลางเพื่อให้ไว้ใช้ในราชการกรมไปรษณีย์โทรเลข และให้จำเลยใช้ราคาทรัพย์จำนวน 24,733 บาท แก่ผู้เสียหายด้วย หมายเหตุ (1) เป็นการแน่นอนที่โทรศัพท์มือถือของจำเลยก็ดี ของผู้เสียหายก็ดี ย่อมเป็นทรัพย์หรือทรัพย์สิน แต่สัญญาณโทรศัพท์ไม่ใช่ทรัพย์หรือทรัพย์สิน การนำโทรศัพท์มือถือมาปรับจูนและก๊อปปีคลื่นสัญญาณโทรศัพท์แล้วใช้ทำการรับส่งวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เสียหายหรือเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต จึงไม่ใช่เป็นการลักทรัพย์เพราะเป็นเพียงการรับส่งวิทยุคมนาคมโดยอาศัยคลื่นสัญญาณโทรศัพท์ของผู้เสียหายหรือเป็นการแย่งใช้คลื่นสัญญาณโทรศัพท์ของผู้เสียหายโดยไม่มีสิทธิอย่างศาลฎีกาว่า (2) แม้ในทางอาญา จำเลยจะไม่มีความผิด แต่ในทางแพ่ง ก็ต้องถือว่าจำเลยกระทำต่อสิทธิของผู้เสียหายโดยไม่มีสิทธิ (sansdroit)จึงเป็น "โดยผิดกฎหมาย"(unlawfully) ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420 และเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้เสียหาย คดีนี้โจทก์ฟ้องให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 และฐานลักทรัพย์ศาลฎีกาเห็นว่าไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ ผู้เสียหายมิได้ฟ้องเป็นคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายเข้ามาด้วย เป็นตัวอย่างคดีอีกเรื่องหนึ่งที่แสดงว่า แม้เป็นการล่วงละเมิดสิทธิผิดหน้าที่ต่อเอกชนทางแพ่ง แต่ในทางอาญานั้น จำเลยไม่มีความผิด ไพจิตรปุญญพันธ์
พนักงานอัยการจังหวัดขอนแก่น โจทก์ ป.อ. มาตรา 334 การกระทำของจำเลยตามฟ้องที่ระบุว่าจำเลยร่วมกับพวกลักเอาคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอันเป็นทรัพย์ของผู้เสียหายที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้กับวิทยุคมนาคม โดยจำเลยกับพวกนำเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ปรับคลื่นสัญญาณและรหัสเลขหมายของโทรศัพท์ผู้อื่นมาใช้ติดต่อสื่อสารโทรออกหรือรับการเรียกเข้าผ่านสถานีและชุมสายโทรศัพท์ระบบเซลลูลาร์ของผู้เสียหายนั้น เป็นเพียงการรับส่งวิทยุคมนาคมหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า เป็นการแย่งใช้คลื่นสัญญาณโทรศัพท์โดยไม่มีสิทธินั่นเอง จึงมิใช่เป็นการเอาไปซึ่งทรัพย์สินของผู้อื่นโดยทุจริตการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1)(7) วรรคสอง แต่จำเลยคงมีความผิดตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคมฯ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น หลอ วันที่ตอบ 2009-11-09 11:03:50 |
[1] |